การจำแนกระหว่างศรัทธาและไม่ศรัทธา
อับดุลอะซีซ บิน มัรซูก อัฏ-เฏาะรีฟีย์
อีมาน และ กุฟรฺ คือ คำนามสองคำและหุก่มสองหุก่มที่พระองค์อัลลอฮฺเท่านั้นเป็นผู้ชี้ขาด ดังนั้น จึงไม่สามารถเจาะจงว่าผู้ใดเป็นกุฟรฺเว้นแต่จะมีหลักฐานอ้างอิงอย่างชัดเจน โดยมนุษย์บนโลกนี้แบ่งเป็นสองกลุ่มเท่านั้น คือ ผู้ศรัทธา และ ผู้ไม่ศรัทธา พระองค์อัลลอฮฺได้ตรัสว่า
“พระองค์ คือผู้ทรงสร้างสูเจ้า แล้วในหมู่สูเจ้าก็มีคนที่เป็นกาฟิรฺ และมีคนที่เป็นมุอ์มิน”
(อัต-ตะฆอบุน :2)
ทั้งนี้ หุก่มชี้ขาดต่อบุคคลสองกลุ่มนี้ต้องเป็นหุก่มที่ถูกประทานโดยพระองค์อัลลอฮฺในคัมภีร์ของอัลลอฮฺและในหะดีษนบีของพระองค์เท่านั้น
ส่วนคนมุนาฟิกนั้น พวกเขาแบ่งออกเป็นกลุ่มต่างๆ ดังนี้
หนึ่ง : คนกาฟิรที่ปกปิดความกุฟรฺและแสร้งแสดงความอีมาน เช่น ผู้แสร้งแสดงให้ผู้อื่นเห็นว่าตนเป็นผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮฺ คัมภีร์ และ เราะสูลของพระองค์ แต่ภายในใจพวกเขากลับต่อต้าน ไม่ศรัทธา ซึ่งการกระทำเช่นนี้ถือเป็น การนิฟากใหญ่
สอง : คนมุสลิมที่ปกปิดมะศิยะฮฺและแสร้งแสดงทำเป็นผู้ภักดี เช่น ผู้แสร้งทำเป็นผู้ทำตามสัญญาและปกปิดการฉ้อโกงและบิดพลิ้ว หรือ แสร้งทำจริงใจในคำพูดและปกปิดความหลอกลวงไว้ในใจ นี่คือ การนิฟากเล็ก
อนึ่ง กฎในการคลุกคลีกับคนมุนาฟิกนั้นให้ยึดหุก่มผิวเผินหรือให้มองจากการแสดงออก กล่าวในที่นี้คือให้คลุกคลีกันในฐานะที่เขาเป็นชาวมุสลิมตามสิ่งที่เห็นจากการแสดงออกของพวกเขากฎเดิมของทรัพย์สมบัติและเลือดเนื้อของชาวมุสลิมคือหะรอม และของกาฟิรฺคือหะลาล แต่ก็ไม่ใช่จะคงที่เช่นนี้เสมอไป เพราะบางทีคนกาฟิรฺอาจได้รับการคุ้มครองอันเนื่องจากพันธะสัญญา การสงบศึก หรือการเป็นประชาชนของประเทศอิสลาม ในขณะที่คนมุสลิมเองอาจต้องโทษประหารชีวิตเพราะความผิดบาป เช่น การฆ่าผู้อื่น หรือการซินาหลังจากที่แต่งงานแล้ว เป็นต้น
ทั้งนี้ บุคคลหนึ่งย่อมไม่ถูกตราว่าเป็นกุฟรฺนอกจากเป็นผู้ที่พระองค์อัลลอฮฺและเราะสูลของพระองค์ชี้ขาดเท่านั้น เช่น
♥- เป็นผู้ปฏิเสธพระองค์อัลลอฮฺหรือนบีของพระองค์อัลลอฮฺ
♥- หรือ เยาะเย้ย ดูหมิ่นพระองค์อัลลอฮฺและเราะสูลของพระองค์ พระองค์อัลลอฮฺได้ตรัสว่า
“จงกล่าวเถิด (มุหัมมัด) ว่าพวกท่านทำเล่นๆ กับพระองค์อัลลอฮฺ โองการของพระองค์และเราะสูลของพระองค์กระนั้นหรือ?
พวกท่านอย่ามาแก้ตัวเลย แท้จริงพวกท่านได้ตกเป็นกาฟิรฺแล้ว หลังจากที่เคยศรัทธามา
หากเราจะอภัยโทษให้แก่กลุ่มหนึ่งในหมู่พวกเจ้า เราก็จะลงโทษอีกกลุ่มหนึ่ง เพราะพวกเขาเป็นผู้กระทำความผิด”
(อัต-เตาบะฮฺ :65-66)
♥- หรือ ดื้อดึง ไม่นอบน้อมต่อทั้งสอง
♥- หรือ ปฏิเสธบทบัญญัติอิสลามที่ชัดเจน
♥- หรือ ปั้นเรื่องเท็จโดยกล่าวอ้างไปยังพระองค์ พระองค์อัลลอฮฺได้ตรัสว่า
"มีเพียงพวกที่ไม่ศรัทธาต่อโองการต่างๆ ของพระองค์อัลลอฮฺเท่านั้นที่ปั้นเรื่องเท็จขึ้น พวกเหล่านี้แหละคือพวกโกหก”
(อัล-นะห์ลฺ :105)
พระองค์อัลลอฮฺได้ตรัสว่า
“และใครเล่าจะอธรรมยิ่งไปกว่าผู้กุความเท็จขึ้นแอบอ้างพระองค์อัลลอฮฺ หรือปฏิเสธสัจธรรมเมื่อมาถึง
ในนรกญะฮันนัมนั้นมีที่พำนักสำหรับบรรดาคนกาฟิรฺไม่ใช่ดอกหรือ ?”
(อัล-อันกะบูต :68)
♥- หรือ ทำอิบาดะฮฺต่อผู้อื่นนอกเหนือพระองค์อัลลอฮฺ พระองค์อัลลอฮฺได้ตรัสว่า :
“และผู้ใดวิงวอนขอจากพระเจ้าอื่นคู่เคียงกับอัลลอฮฺ โดยไม่มีหลักฐานพิสูจน์แก่เขาในการนี้
แท้จริงบัญชีของเขาอยู่ที่พระเจ้า แท้จริงบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาจะไม่ประสบความสำเร็จ”
(อัล-มุอ์มินูน :117)
ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นอิบาดะฮฺที่ทำเพื่อผู้อื่นนอกเหนือจากพระองค์อัลลอฮฺ หรือ ยึดเอาพระเจ้าจอมปลอมต่างๆ เป็นสื่อกลาง ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นกุฟรฺ พระองค์อัลลอฮฺได้ตรัสว่า :
“และพวกเขาจะเคารพภักดีสิ่งอื่นนอกเหนือจากพระองค์อัลลอฮฺ ที่มิให้คุณให้โทษแก่พวกเขา
และพวกเขาจะกล่าวว่า เหล่านี้คือผู้ช่วยเหลือเรา ณ พระองค์อัลลอฮฺ
จงกล่าวเถิด (มุหัมมัด) พวกท่านจะมาบอกอัลลอฮฺเกี่ยวกับสิ่งในชั้นฟ้าต่างๆ และในแผ่นดินที่พระองค์ไม่ทรงรู้กระนั้นหรือ ?
พระองค์ทรงมหาบริสุทธิ์และทรงสูงส่งเหนือสิ่งที่พวกเขาตั้งภาคีขึ้น”
(ยูนุส :18)
♥- หรือ ทำอิบาดะฮฺต่อผู้อื่นในสิ่งที่สมควรกระทำต่อพระองค์อัลลอฮฺเพียงผู้เดียวเท่านั้น เช่น ละเมิดสิทธิในการตราบทกฎหมายและออกหุก่ม โดยทำเรื่องหะรอมให้เป็นเรื่องหะลาล เพราะการตราบทกฎหมายและออกหุก่มเป็นสิ่งที่อัลลอฮฺเรียกว่าอิบาดะฮฺ ดังที่พระองค์อัลลอฮฺ ได้ตรัสว่า :
“การบัญญัติกฎเป็นสิทธิสงวนไว้สำหรับพระองค์อัลลอฮฺเท่านั้น พระองค์ทรงใช้มิให้พวกท่านเคารพอิบาดะฮฺสิ่งใด
นอกจากต่อพระองค์เพียงผู้เดียวเท่านั้น นั่นคือศาสนาที่เที่ยงธรรมแต่มนุษย์ส่วนใหญ่มักไม่รู้”
(ยูซุฟ :40)
♥- หรือ ยอมรับว่ามีผู้อื่นนอกเหนือพระองค์อัลลอฮฺล่วงรู้สิ่งเร้นลับ เช่น ทำไสยศาสตร์ หรือ ดูหมอ พระองค์อัลลอฮฺได้ตรัสว่า :
“จงกล่าวเถิด (มุหัมมัด) ไม่มีผู้ใดในชั้นฟ้าต่างๆ และแผ่นดินจะรู้ในสิ่งพ้นญาณวิสัย นอกจากพระองค์อัลลอฮฺ
และพวกเขาจะไม่รู้ว่า เมื่อไหร่พวกเขาจะถูกฟื้นคืนชีพ”
(อัน-นัมลฺ :65)
♥- หรือ อ้างความสามารถในการสร้างและบริหารจักรวาล ชีวิต และความตาย พระองค์อัลลอฮฺได้ตรัสว่า
“หรือพวกเขานั้นได้ยึดเอาเหล่าภาคีที่สามารถบันดาลสร้างเหมือนกับการสร้างของพระองค์ จนพวกเขาสับสนแยกแยะงานสร้างไม่ถูกกระนั้นหรือ?
จงกล่าวเถิด พระองค์อัลลอฮฺคือผู้ทรงสร้างทุกสิ่ง และพระองค์คือผู้ทรงเอกะ ผู้ทรงพิชิต”
(อัร-เราะอฺด์ :16)
♥- เช่นเดียวกับการยึดถือคนกาฟิรฺเป็นขวัญใจเฉกเช่นชาวมุสลิม ไม่ว่าจะอยู่ในรูปการมอบความรักหรือการให้ความช่วยเหลือ พระองค์อัลลอฮฺได้ตรัสว่า
“และผู้ใดในหมู่สูเจ้ายึดติดผูกพันกับพวกเขา แน่นอนผู้นั้นก็เป็นผู้หนึ่งของพวกเขา”
(อัล-มาอิดะฮฺ :51)
และผู้ใดสามารถจะเข้าถึงความรู้อิสลามได้แต่เขากลับละเว้นและหันหลังด้วยความสมัครใจ คนเช่นนี้คือคนกาฟิรฺ แม้ว่าจะกระทำโดยไม่รู้ก็ตาม เพราะเขาจัดเป็นคนไม่รู้ประเภทที่สามารถเรียนได้แต่ไม่ยอมเรียนรู้ ด้วยเหตุนี้ พระองค์อัลลอฮฺ จึงได้ตรัสว่า
“แต่ว่าพวกเขาส่วนใหญ่มักไม่รู้ความจริง เลยจึงหันหลังเมินห่าง”
(อัล-อันบิยาอ์ :24)
ซึ่งพระองค์อัลลอฮฺ ได้ระบุว่าพวกคนเหล่านี้เป็นคนโง่ด้วยความยินยอม พระองค์อัลลอฮฺได้ตรัสว่า :
“แต่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาเป็นผู้หันหลังให้กับคำตักเตือน”
(อัล-อะหฺกอฟ :3)
ทั้งนี้ ความไม่รู้ในรายละเอียดของอิสลามเพราะการหันหลังให้กับความจริงยามเมื่อได้ฟังนั้น ไม่สามารถใช้เป็นข้ออ้างต่อหน้าอัลลอฮฺได้ ส่วนมากผู้คนมักตกอยู่ในความหลงผิดเพราะกรณีเช่นนี้แหละ เพราะได้ฟังความจริงแบบขาดวรรคขาดตอนแล้วก็หันหลังทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ในรายละเอียดดังนั้น การไม่รู้จักไตร่ตรองในหลักฐานทางธรรมชาติที่อัลลอฮฺทรงสร้างและทางศาสนาที่ทรงบัญญัติจึงเป็นคุณลักษณะของคนกาฟิรฺส่วนใหญ่ พระองค์อัลลอฮฺได้ตรัสว่า :
“และมีสัญญาณในชั้นฟ้าและแผ่นดินมากไหนแล้วที่พวกเขาเจอพบ แต่พวกเขากลับหันหลังไม่แยแส”
(ยูซุฟ :105)
และพระองค์อัลลอฮฺ ได้ตรัสว่า :
“แต่ทว่าเราได้นำบทเตือนตนของพวกเขา(คืออัลกุรอาน)มาให้พวกเขาแล้ว แต่พวกเขาเป็นผู้หันหลังให้กับบทเตือนตนของพวกเขา”
(อัล-มุอ์มินูน :7)
การไม่ปฏิบัติเพราะมีความรู้ไม่เพียงพอนั้น ไม่สามารถใช้เป็นข้ออ้างให้หลุดพ้นจากความบกพร่องไม่ปฏิบัติตามสิทธิและหน้าที่ในระหว่างมนุษย์ด้วยกันได้ แล้วนับประสบอะไรกับความบกพร่องในสิทธิและหน้าที่ที่ผูกพันกับพระองค์อัลลอฮฺ ฉะนั้น สติปัญญา จึงไม่มีความหมายหากไม่วิเคราะห์และไตร่ตรองสัญญาณความยิ่งใหญ่ของพระองค์อัลลอฮฺ มันจะใช้ประโยชน์ไม่ได้เลยแม้ว่าจะมีสิ่งแปลกประหลาดทุกๆ วันปรากฏให้เห็น
พระองค์อัลลอฮฺได้ตรัสว่า :
“และเราได้สร้างชั้นฟ้าให้เป็นหลังคาที่แข็งแกร่ง และพวกเขาก็ยังไม่แยแสกับสัญญาณความอลังการต่าง ๆ ของมัน”
(อัล-อันบิยาอ์ :32)
มนุษย์จึงเข้าใจผิดที่คิดว่าเขาสามารถลอยนวลจากความผิดบาปในการไม่ปฏิบัติตามศาสนาอย่างละเอียดและหันหลังให้กับอิสลาม
สรุปแล้ว สาเหตุแห่งการเพิกเฉยต่อศาสนานั้นเป็นเพราะความหยิ่งยโส หรือ หลงระเริง หรือ ใฝ่ต่ำตามอารมณ์ ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อความทุกข์ยากเกิดขึ้น มันจะกวาดความหยิ่งยโสและความสุขสบายออกไป เขาก็จะมองเห็นความจริงและหวนกลับอยู่ในหนทางที่ถูกต้องอีกครั้ง
ที่มา : ประเด็นต่างๆ เกี่ยวกับหลักความเชื่อของมุสลิม
แปลโดย : ทีมงานภาษาไทยเว็บอิสลามเฮ้าส์