การกระทำของผู้ที่เชื่อฟังและรักท่านนบีอย่างแท้จริง
โดย... อบู ค็อลฟาน
โอ้มนุษย์ทั้งหลาย ขอให้พวกท่านทั้งหลาย ยำเกรงต่ออัลลอฮฺ อย่างแท้จริง.........
โอ้บ่าวของอัลลอฮฺ อัลลอฮฺทรงกำหนดให้สองประโยคของเตาฮีด เป็นรากฐานของแนวทาง และศาสนา นั่นคือ การยืนยันคำปฏิญานตนที่ว่า “ไม่มีพระเจ้าอื่นใด ที่ถูกกราบใหว้โดยเที่ยงแท้ นอกจากอัลลอฮฺ และแท้จริงท่านนบีมูฮำหมัด เป็นศาสนทูตของพระองอัลลอฮฺ” ด้วยการที่เรา เคารพอิบาดะห์ ต่อพระองค์ ด้วยกับสิ่งที่พระองค์ได้ทรงบัญญัติไว้โดยผ่านท่านนบี มูฮำหมัด
การยืนยันคำปฏิญานตนว่า “แท้จริงท่านนบีมูฮำหมัด เป็นศาสนทูตของอัลลอฮฺ” หมายถึง การศรัทธาอย่างจริงใจ และการเชื่อมั่นอย่างสมบูรณ์ ( โดยปราศจากข้อสงสัยใดๆ ) ว่าท่านนบีมูฮำหมัดเป็นบ่าวของอัลลอฮฺ และศาสนทูตของพระองค์ ซึ่งพระองค์ได้ส่งท่านมายัง สิ่งถูกสร้างในฐานะผู้แจ้งข่าวดี และตักเตือน (จากการกระทำที่ฝ่าฝืน)
" ผู้ศรัทธาทั้งหลาย จงศรัทธาต่ออัลลอฮฺ และร่อซูลของพระองค์เถิด และคัมภีร์ที่พระองค์ได้ทรงประทานลงมาแก่ร่อซูลของพระองค์
และคัมภีร์ที่พระองค์ได้ทรงประทานลงมาก่อนนั้น "
( อันนิซาอฺ 136)
พระองค์อัลลอฮฺ ทรงส่งท่านนบี มาพร้อมกับศาส์นทั่วไป (เพื่อทำหน้าที่ในการแจ้งข่าวดี และตักเตือน จากการกระทำที่ฝ่าฝืน) แก่สิ่งถูกสร้างทั้งหลาย ทั้งที่เป็นชาวอาหรับ และมิใช่ชาวอาหรับ ทั้งที่เป็นมนุษย์ และญิน
" จงกล่าวเถิด (มูฮำหมัด) ว่า โอ้มนุษย์ทั้งหลาย แท้จริงฉันคือร่อซูลของอัลลอฮฺ (ที่ถูกส่ง) มายังพวกท่านทั้งมวล "
(อัลอะอฺรอฟ 158)
และเช่นเดียวกัน อัลลอฮฺ ผู้ทรงสูงส่ง ตรัสว่า
"และเรามิได้ส่งเจ้ามาเพื่ออื่นใด เว้นแต่เป็นผู้แจ้งข่าวดี เป็นผู้ตักเตือนแก่มนุษย์ทั้งมวล"
(สะบะอ์ 28)
อัลลอฮฺ ผู้ทรงสูงส่ง ตรัสว่า
"ความจำเริญยิ่งแด่พระองค์ ผู้ทรงประทานอัลฟุรกอน แก่บ่าวของพระองค์ (มูฮำหมัด) เพื่อเขาจะได้เป็นผู้ตักเตือนแก่มนุษยชาติทั้งหลาย"
(อัลฟุรกอน 1)
พระองค์อัลลอฮฺ ได้กำหนดให้ท่านนบีมูฮำหมัด เป็นนบีและร่อซูลท่านสุดท้ายของพระองค์ ดังนั้น จะไม่มีนบี ท่านใดอีกแล้วหลังจากท่าน และจะไม่มีบทบัญญัติใดๆ อีกแล้ว หลังจากบทบัญญัติของท่าน
" มูฮำหมัด มิได้เป็นบิดาผู้ใดในหมู่บุรุษของพวกเจ้า แต่เป็นร่อซู้ลของอัลลอฮฺ และนบีท่านสุดท้าย"
(อัลอะฮฺซาบ 40)
ดังนั้นผู้ใดก็ตามที่ศรัทธาต่อท่าน และศรัทธาต่อบทบัญญัติที่ท่านนำมา และให้เอกภาพต่ออัลลอฮฺ ผู้ทรงสูงส่ง แท้จริง เขาได้เข้ารับอิสลามแล้ว และเขาจะได้รับการปกป้องทั้งทรัพย์สินและเลือดเนื้อของเขา และมีสิทธิที่จะได้เข้าสวรรค์ ด้วยความเมตตาของอัลลอฮฺผู้ทรงเมตตายิ่ง และปลอดภัยจากการพำนักอย่างถาวร ในไฟนรก ท่านร่อซู้ล กล่าวว่า
( والله لا يسمع بي أحد من هذه الأمة، يهودي أو نصراني، ثم لا يؤمن بالذي أرسلت به إلا كان من أهل النار )
“ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ ไม่มีผู้ใดที่ได้ยินฉัน จากประชาชาตินี้ คนยิว หรือคริสเตียน หลังจากนั้นเขาไม่ศรัทธาต่อสิ่งที่ฉันถูกส่งมา
นอกจากพวกเขาจะเป็นคนหนึ่งจากชาวนรก”
โอ้มุสลิมทั้งหลาย การศรัทธาต่อท่านนบีมูฮำหมัด สิ่งที่จำเป็นหลังจากการศรัทธาดังกล่าวคือ เราจะต้องเชื่อฟังท่านร่อซูล ในสิ่งที่ท่านได้สั่งใช้ให้เราปฏิบัติ และเราจะต้องหลีกห่าง จากสิ่งที่ท่านได้ห้ามปรามเราไม่ให้ปฏิบัติ ดังนั้นแท้จริงการเชื่อฟังท่านร่อซูล ก็คือการเชื่อฟังอัลลอฮฺ อัลลอฮฺ ผู้ทรงสูงส่ง ตรัสว่า
" จงกล่าวเถิด (มูฮำหมัด) พวกเจ้าจงเชื่อฟัง ปฏิบัติตามอัลลอฮฺ และจงเชื่อฟัง ปฏิบัติตามอัรร่อซู้ล หากพวกเขาผินหลังให้ แท้จริงหน้าที่ของเขา (ร่อซู้ล) คือสิ่งที่ได้ถูกมอบหมาย และหน้าที่ของพวกเจ้าคือสิ่งที่ได้ถูกมอบหมายเช่นกัน และหากพวกเจ้าเชื่อฟัง ปฏิบัติตามเขาแล้ว พวกเจ้าก็จะได้รับทางนำ(ฮิดายะห์) สู่แนวทางที่ถูกต้อง และหน้าที่ของอัรร่อซู้ล ไม่มีอื่นใด นอกจากการเผยแพร่อันชัดแจ้ง "
( อันนูร 54 )
พระองค์อัลลอฮฺ ผู้ทรงสูงส่ง ตรัสว่า
" และอันใดที่ร่อซู้ลได้นำมายังพวกเจ้า ก็จงยึดเอาไว้ และอันใดที่ท่านได้ห้ามพวกเจ้า พวกเจ้าก็จงละเว้นเสีย
พวกเจ้าจงยำเกรงอัลลอฮฺเถิด แท้จริงอัลลอฮฺ เป็นผู้ทรงเข้มงวดในการลงโทษ "
พระองค์อัลลอฮฺ ได้เตือนเรา จากการฝ่าฝืนคำสั่งใช้ ของท่านร่อซูล อัลลอฮฺผู้ทรงสูงส่ง ตรัสว่า
"ดังนั้น บรรดาผู้ที่ฝ่าฝืนคำสั่งของเขา (มูฮำหมัด) จงระวังตัวเถิดว่า เคราะห์กรรมจะเกิดขึ้นแก่พวกเขา
หรือว่าการลงโทษอันเจ็บปวด จะเกิดขึ้นแก่พวกเขาเช่นกัน "
ท่านอีหม่าม อะห์หมัด (ขออัลลอฮฺทรงเมตตาท่าน) กล่าวว่า “เคราะห์กรรม คือการทำชิริก (ตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺ) เป็นไปได้ว่า เมื่อเขาปฏิเสธบางส่วนของคำพูดท่านนบี จะทำให้เกิดความเอนเอียงบางอย่าง ในหัวใจของเขา ทำให้เขาต้องประสบกับความวิบัติ”
♥ ส่วนหนึ่งของการอีหม่าน ศรัทธาต่อท่านร่อซูล คือความรักที่มีให้กับท่านร่อซูล เนื่องจากว่าความรักที่มีให้กับท่านร่อซูล เป็นรากฐานของการศรัทธา และความสมบูรณ์ของความรัก ก็เป็นส่วนหนึ่งของ อีหม่านที่สมบูรณ์ คือ การที่มุสลิมคนหนึ่ง รักท่านนบีมูฮำหมัด ศาสนทูตของอัลลอฮฺ ด้วยความรักที่เหนือกว่า ความรักที่มีต่อครอบครัว ลูก บิดามารดา และบรรดามนุษย์ทั้งหลาย
ท่านร่อซูล ได้กล่าว ในขณะที่ท่านอุมัรได้บอกกับท่านว่า
يا رسول الله ، والله إنك لأحب الناس إلي إلا من نفسي، قال : لا يا عمر، حتى أكون أحب إليك من نفسك، قال: يا رسول الله، وأنت الآن أحب إلي من نفسي، قال : الآن يا عمر .
“โอ้ท่านร่อซู้ลของอัลลอฮฺ ขอสาบานต่ออัลลอฮฺว่า แท้จริงท่านนั้น เป็นผู้ที่ฉันรักมากที่สุด นอกจากตัวของฉันเอง”
ท่านร่อซูล กล่าวว่า “ ไม่ โอ้ท่านอุมัร จนกว่าฉันจะเป็นที่รักของท่าน มากกว่าตัวของท่านเอง”
ท่านอุมัรกล่าวว่า “โอ้ท่านร่อซู้ล ขณะนี้ท่านเป็นที่รักยิ่งของฉัน มากกว่าตัวของฉันเอง”
ท่านนบี กล่าวว่า “เช่นนี้แหละ ท่านอุมัร”
ท่านร่อซูล ได้กล่าวว่า
"لا يؤمن أحدكم حتى أكون أحب إليه من أهله وماله والناس أجمعين "
" คนหนึ่งคนใดในหมู่พวกท่านจะยังไม่มีอีหม่าน (ที่สมบูรณ์) จนกว่าฉันจะเป็นที่รักยิ่งของเขา
มากกว่า ครอบครัวของเขา และทรัพย์สินของเขา และมนุษย์ทั้งหมด "
ความรักที่มีต่อท่านนบีมูฮำหมัด เช่นนี้ไม่ใช่เพียงแค่คำกล่าวอ้าง แต่เป็นความรักที่เกิดขึ้นจริงสำหรับบรรดาผู้ศรัทธา ดังนั้น ไม่ใช่ว่าทุกคนที่อ้างว่ารักท่านร่อซูล จะรักจริงตามที่ได้พูดไว้ ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องผ่านการทดสอบ ฉะนั้นผู้ที่รักท่านร่อซู้ล อย่างจริงใจ คือผู้ที่ปฏิบัติตามคำสั่งใช้ต่างๆ ของท่านร่อซูล และหลีกห่างจากสิ่งที่ท่านร่อซูลสั่งห้าม มีจรรยามารยาทเหมือนกับจรรยามารยาทของท่าน มีจริยธรรมเหมือนจริยธรรมของท่าน และสำนึกอยู่เสมอว่า ท่านร่อซูล มิได้กล่าวสิ่งใด นอกจากจะเป็นสัจธรรมและความจริง
♥ ส่วนหนึ่งของการศรัทธาต่อท่านนบี คือเราเชื่อในสิ่งต่างๆที่ท่านนบีได้แจ้งให้เราทราบ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต หรือสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต เพราะท่านนบี มิได้พูดด้วยอารมณ์ ดังคำตรัสของอัลลอฮ์ ว่า
"และเขามิได้พูดตามอารมณ์ สิ่ง (ที่เขาพูด) นั้นมิใช่อื่นใด นอกจากเป็นวาฮีย์ที่ถูกประทานลงมา"
(อันนัจมุ 3-4)
♥ ส่วนหนึ่งของความรักที่มีให้แก่ท่านร่อซูล คือการที่มุสลิมเกื้อกูล สนับสนุน และปกป้องซุนนะห์ ของท่านร่อซูล อัลลอฮฺ ทรงตรัสว่า
"ดังนั้น บรรดาผู้ที่ศรัทธาต่อเขา และปกป้องเขา และช่วยเหลือเขา
และปฏิบัติตามแสงสว่างที่ถูกประทานลงมาแก่เขาแล้วไซร้ ชนเหล่านี้แหละคือบรรดาผู้ที่สำเร็จ"
(อัลอะอฺรอฟ 157)
โอ้บรรดามุสลิมทั้งหลาย แท้จริงการรักท่านร่อซูล คือการปฏิบัติตามคำสั่งใช้ของท่านร่อซูล อย่างเคร่งครัด และหลีกห่างจากสิ่งที่ท่านร่อซู้ลห้าม แท้จริงบรรดาซอฮาบะห์ ผู้ทรงเกียรติ ของท่านร่อซู้ล เป็นกลุ่มชนที่ปฏิบัติตามคำสั่งใช้ของท่านมากที่สุด และห่างไกลจากสิ่งที่ท่านได้ห้ามไว้ เป็นผู้ที่ปฏิบัติตามคำสั่งต่างๆของท่านร่อซูล ได้อย่างรวดเร็วที่สุด และเป็นผู้ที่หลีกห่างจากสิ่งต่างๆที่ท่านได้ห้ามไว้ได้รวดเร็วที่สุดเช่นเดียวกัน
♣ อัลลอฮฺ ประทานโองการให้แก่ท่านนบี เกี่ยวกับการเปลี่ยนทิศกิบละห์ จากบัยตุลมักดิส ไปสู่ กะห์บะห์ และวันหนึ่ง ขณะที่ชาวกุบาอฺกำลังละหมาดโดยผินหน้าไปทางบัยตุลมักดิส เพราะพวกเขายังไม่ทราบข่าวการเปลี่ยนทิศกิบละห์ ทันใดนั้น ได้มีชายคนหนึ่งไปหาพวกเขาและกล่าวว่า
"โอ้ชาวกุบาอฺ แท้จริง โองการอัลกุรอ่านได้ถูกประทานแก่ท่านร่อซูลเมื่อคืน ท่านได้ถูกสั่งให้ผินหน้าไปทางกะบะห์"
ดังนั้น พวกเขาจึงหมุนตัวสู่ทิศกะบะห์ พวกเขาหมุนตัวเพื่อผินหน้าไปทางกะบะห์ทันที ในขณะที่พวกเขากำลังละหมาดอยู่ เพื่อเป็นการปฏิบัติตามคำสั่งใช้ของท่านร่อซู้ล
♣ เรื่องราวที่ท่านอนัส บินมาลิก ท่านกล่าวว่า “วันหนึ่งขณะที่ฉันอยู่ในบ้านของอบีต็อลหะห์ คอยรินสุราให้พวกเขาดื่ม มีชายคนหนึ่งเข้ามาและกล่าวว่า พวกท่านยังไม่ทราบข่าวเรื่องการห้ามสุราหรือ ? แท้จริงอัลลอฮฺได้ประทานโองการ ห้ามเรื่องสุรา
อบูต็อลหะห์กล่าวกับฉันว่า อนัสเอ๋ย จงลุกขึ้นแล้วเทเหล้าทิ้ง
ท่านอนัสกล่าวว่า ดังนั้นบรรดาซอฮาบะห์ต่างเทสุราทิ้ง จนกระทั่งสุราไหลเจิ่งนองในเมืองมาดีนะห์
การกระทำทั้งหมดล้วนเป็นการน้อมรับคำสั่งใช้ของท่านร่อซูล และเป็นการเชื่อฟัง และภักดีต่อท่านร่อซูล
♣ ท่านอับดุลลอฮฺ บุตรของอุมัร กล่าวว่า ท่านนบี ใส่แหวนทองคำ และเมื่อท่านร่อซูล ถอดมันออก ซอฮาบะห์ทั้งหลายต่างก็ถอดแหวนที่ทำจากทองคำของพวกเขาออกด้วย และพวกเขาไม่ใส่มันอีกเลย เพื่อเป็นการปฏบัติตามท่านร่อซู้ล
♣ ในวันสงครามคอยบัร ผู้ประกาศของท่านร่อซูล ได้ประกาศว่า แท้จริงอัลลอฮฺและร่อซูล ของพระองค์ ได้ห้ามพวกท่านไม่ให้ทานเนื้อลาบ้าน และเมื่อบรรดาซอฮาบะห์ได้ทราบข่าวดังกล่าว พวกเขาจึงคว่ำหม้อที่มีเนื้อลากำลังเดือดอยู่ ทั้งหมดนั้นล้วนเป็นแสดงถึงความภักดีของพวกเขาที่มีต่อท่านร่อซูล และเป็นการสนองตอบคำสั่งใช้ต่างๆของท่านร่อซูล
อัลลอฮฺประทานโองการให้แก่ท่านนบี ว่า
"และถ้าหากพวกเจ้าเปิดเผยสิ่งที่อยู่ในใจของพวกเจ้า หรือปกปิดมันไว้ก็ตาม อัลลอฮฺจะทรงนำมันมาชำระสอบสวนกับพวกเจ้า"
(อัลบะเกาะเราะฮฺ 284)
ตามความหมายของอายะห์นี้ เราจะต้องถูกชำระสอบสวนในสิ่งที่เรานึกคิดในจิตใจ ดังนั้นบรรดาซอฮาบะห์จึงไปหาท่านร่อซูล แล้วนั่งลงคุกเข่า พลันกล่าวว่า
“ โอ้ท่านร่อซูลุ้ลลอฮฺ พวกเราได้ถูกมอบภาระหน้าที่จากการงาน ที่เราสามารถกระทำได้ ทั้งการละหมาด การถือศีลอด และการจ่ายซากาต และแท้จริงอัลลอฮฺได้ประทานอายะห์หนึ่งซึ่งเราไม่สามารถกระทำได้ นั่นคือ อัลลอฮฺจะทรงชำระสอบสวนพวกเรา ในสิ่งที่พวกเรานึกคิดในจิตใจ”
ท่านร่อซู้ล จึงกล่าวว่า
( أتريدون أن تقولوا كما قال أهل الكتاب من قبلكم : سمعنا وعصينا ، قولوا : سمعنا وأطعنا)
"พวกท่านทั้งหลายต้องการที่จะกล่าว ดังเช่นชาวคัมภีร์ก่อนหน้าพวกท่านที่กล่าวว่า: “พวกข้าพระองค์ได้ยินแล้ว และพวกเราก็ฝ่าฝืน” กระนั้นหรือ?
พวกท่านทั้งหลายจงกล่าวว่า “พวกเราได้ยินแล้ว และได้ปฏิบัติตามแล้ว"
ดังนั้นพวกเขา (บรรดาซอฮาบะห์) จึงกล่าวว่า เราได้ยินแล้วและได้ปฏิบัติตามแล้ว
หลังจากที่พวกเขาได้เข้าใจถึงความหมายที่แท้จริงแล้ว พระองค์อัลลอฮฺก็ทรงยกเลิกโองการนี้ ด้วยกับตรัสของพระองค์ที่ว่า
"ร่อซูลนั้น (นบีมูฮำหมัด) ได้ศรัทธาต่อ สิ่งที่พระผู้อภิบาลของเขาได้ประทานแก่เขา เช่นเดียวกับมุมินทั้งหลาย ทุกคนล้วนศรัทธาต่ออัลลอฮฺ ศรัทธาต่อมลาอิกะฮฺของพระองค์ บรรดาคัมภีร์ของพระองค์ และบรรดาศาสนทูตของพระองค์ (พวกเขากล่าวว่า) เราจะไม่แยกท่านหนึ่งท่านใดจากบรรดาร่อซูลของพระองค์ และพวกเขาได้กล่าวว่า เราได้ยินแล้ว และได้ปฏิบัติตามแล้ว การอภัยโทษจากพระองค์เท่านั้นที่พวกเราปราถนา โอ้พระผู้อภิบาลของเรา และยังพระองค์นั้น คือการกลับไป อัลลอฮฺจะไม่ทรงมอบหมายภาระแก่ชีวิตหนึ่งชีวิตใด นอกจากเป็นสิ่งที่ชีวิตนั้นสามารถทำได้ ชีวิตนั้นจะได้รับการตอบแทนในสิ่งที่เขาได้กระทำดีไว้ และชีวิตนั้นจะได้รับการลงโทษในสิ่งที่เขาได้กระทำชั่วไว้"
( อัลบะเกาะเราะฮฺ 285-286 )
ดังนั้น พระองค์อัลลอฮฺ จึงไม่ทรงเอาผิดจากการนึกคิดในจิตใจ และด้วยเหตุนี้ ท่านร่อซูล กล่าวว่า
"แท้จริงพระองค์อัลลออฺทรงไม่เอาผิดกับประชาชาติของฉัน ในสิ่งที่จิตใจของพวกเขานึกคิด ตราบใดที่พวกเขายังไม่ได้พูดออกมา หรือกระทำมัน"
♥ ส่วนหนึ่งจากผลที่เกิดจากความรักของบรรดาซอฮาบะห์ที่มีต่อท่านนบีมูฮำหมัด และมารยาทเช่นนี้ ควรจะมีอยู่ในตัวมุสลิมทุกคนด้วยเช่นกัน คือพวกเขาจะยกย่องทุกคนที่ปฏิบัติตนสอดคล้องกับแบบฉบับของท่านร่อซูล และปฏิบัติตามบทบัญญัติของท่าน เพื่อเป็นการส่งเสริมเขาที่ได้เชิดชูซุนนะห์ของท่านร่อซูล
ท่านอนัส บินมาลิก ได้ละหมาดตามหลังท่านอุมัร บินอับดุลอาซีซ เมื่อท่านละหมาดเสร็จ และได้เห็นอุมัรได้ปฏิบัติตามซุนนะห์ (ของท่านร่อซู้ล ) ในละหมาด ท่าน อนัส กล่าวว่า
“แท้จริงผู้ที่ละหมาดเหมือนกับท่านร่อซู้ลมากที่สุดในหมู่พวกท่าน คือเด็กหนุ่มคนนี้”
เพราะท่านอนัสเห็นว่า การละหมาดของท่านอุมัรนั้นสอดคล้องกับซุนนะห์และท่านได้ยึดมั่นกับแบบฉบับของท่านร่อซูล
♥ ส่วนหนึ่งจากผลที่เกิดจากความรัก พวกเขาจะตำหนิ ทุกคนที่ไม่ปฏิบัติตามหรือปฏิบัติขัดแย้งกับแบบฉบับของท่านร่อซูล และใช้คำพูดที่รุนแรงกับผู้นั้น เพื่อเชิดชูซุนนะห์ของท่านร่อซูลุลลอฮฺ และปกป้องไม่ให้เกิดการละเลย ไม่ให้ความสำคัญ และถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม
ท่านอับดุลลอฮฺบินอุมัรบินอัลค็อฏฏอบ กล่าวว่า ฉันได้ยินท่านร่อซู้ล กล่าวว่า
"เมื่อภรรยาของคนหนึ่งคนใดในหมู่พวกท่าน ได้ขออนุญาตไปมัสยิด ก็จงอย่าห้ามนาง"
ดังนั้น ลูกชายของท่านอิบนิอุมัร ที่ชื่อบิล้าล จึงกล่าวว่า “ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ แน่นอนเราจะห้ามพวกนางไม้ให้ไปมัสยิด”
ผู้รายงานฮาดีษบทนี้กล่าวว่า: ดังนั้น ท่านอับดุลลอฮฺ จึงได้ด่าลูชายของเขา ชนิดฉันไม่เคยได้ยินการด่าเช่นนี้มาก่อนเลย ,
และท่านอิบนุอุมัรกล่าวแก่ลูกชายของท่านว่า : “ฉันเล่าคำกล่าวของท่านร่อซูลให้เจ้าฟัง , แต่เจ้ากลับพูดว่า: ฉันจะห้ามพวกนางอย่างแน่นอน กระนั้นหรือ ?”
พิจารณาเถิดว่า ทำไมท่านอิบนุอุมัรจึงได้ตำหนิท่านบิล้าลอย่างรุนแรงเช่นนั้น?, ซึ่งบางทีจุดประสงค์ของท่านบิล้าลอาจจะเป็นการอิจติฮาด (การวินิจฉัย) เพราะท่านอาจพบสิ่งหนึ่งสิ่งใดในบรรดาสตรี , หมายความว่า บรรดาสตรีอาจเปลี่ยนแปลงไปจากที่เคยเป็นมาก่อน , แต่ว่าท่านอิบนุอุมัรไม่ชอบที่จะได้ยินคำพูดใดที่ขัดแย้งกับคำพูดของท่านร่อซูล
ท่านอัลดุลลอฮฺบินมุฆ็อฟฟัล ได้รายงานฮาดีษ โดยกล่าวว่า : ฉันได้ยินท่านร่อซูล กล่าวว่า
"พวกท่านทั้งหลายจงระวังจากการดีดก้อนหินด้วยสองนิ้วมือ (อัลค็อซฟ)
เพราะมันจะทำให้ตาบอด และฟันหัก เท่านั้น แต่ไม่สามารถสร้างบาดแผลให้แก่ศัตรูได้"
แต่แล้วก็มีชายคนหนึ่งในเผ่าของท่านได้ใช้สองนิ้วของเขาดีดก้อนหิน ท่านอัลดุลลอฮฺจึงห้ามเขา แต่ชายคนนั้นได้กระทำอีกเป็นครั้งที่สอง ท่านอับดุลลอฮฺก็ห้ามเขาอีก และกล่าวว่า:
"ฉันยกฮาดีษจากท่านร่อซูลให้พวกท่านฟัง แต่พวกท่านกลับกระทำขัดในสิ่งที่แย้งกับคำสั่งของท่านร่อซู้ล ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ ต่อแต่นี้ไปฉันจะไม่ขอพูดกับท่านอีก”
เช่นเดียวกัน ชายคนหนึ่งจากบรรดาซอฮาบะห์ ซึ่งได้สวมแหวนทองที่นิ้วมือ ท่านนบีจึงได้ถอดมันออกแล้วโยนทิ้งไป และกล่าวว่า
“คนหนึ่งคนใดในหมู่พวกท่าน เจตนาที่จะเอาถ่านไฟจากนรกมาวางในมือของเขากระนั้นหรือ”
หลังจากได้มีคนกล่าวกับชายผู้นั้นว่า “ไปหยิบแหวนของท่านขึ้นมาสิ”
ชายผู้นั้นกล่าวว่า: “ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ ฉันจะไม่หวนกลับไปหยิบแหวนนั้นอีก หลังจากที่ท่านร่อซู้ลได้โยนมันทิ้งไปแล้ว”
และนี่คือชีวประวัติของบรรดาซอฮาบะห์ ที่บ่งบอกถึงความรักอันสมบูรณ์ของพวกเขาต่อท่านร่อซู้ล แท้จริงความรักของพวกเขาที่มีต่อท่านร่อซูล มิใช่เป็นเพียงแค่ลมปาก แต่ทว่ามันคือสัจธรรมที่เผยให้เห็นในขณะที่พวกเขาน้อมนำปฏิบัติตามคำสั่งใช้ของท่านร่อซูล และหลีกห่างจากสิ่งที่ท่านร่อซูลห้าม
เมื่อครั้งที่ท่านอับดุลลอฮฺบินอับบาส ถูกซักถามในเรื่องการทำฮัจย์แบบต่ะมั๊ตตั๊ว เพราะท่านอบูบักร อุมัร และท่านอุสมาน ล้วนเห็นว่า การทำฮัจย์แบบอิฟรอดประเสริฐกว่า ท่านอิบนุอับบาสได้กล่าวกับผู้ที่มาพูดกับท่านว่า: ก้อนหินจากฟากฟ้าเกือบจะหล่นลงบนพวกเจ้าแล้ว ฉันกล่าวว่า: ท่านร่อซูล กล่าว (เช่นนั้น เช่นนี้) แต่พวกเจ้ากลับกล่าวว่า: อบูบักร และอุมัร กล่าว (เช่นนั้น เช่นนี้)
เมื่อครั้งที่อับดุลลอฮฺบินอุมัรถูกถามว่า: แท้จริงพ่อของท่านห้ามไม่ให้ทำฮัจย์แบบตะมั๊ตตั๊ว แต่ท่านกลับสั่งให้กระทำ !!!
ท่านอิบนุอุมัร จึงกล่าวว่า: ระหว่างท่านร่อซูล กับท่านอุมัร ผู้ใดที่สมควรปฏิบัติตามมากกว่ากัน?
การกระทำและจุดยืนของซอฮาบะห์ทั้งหมดนั้น ล้วนเป็นการเชิดชูซุนนะห์ เชิดชูท่านร่อซูลุ้ลลอฮฺ เพื่อเป็นการบ่งชี้ถึงความรักที่จริงใจที่มีให้แก่ท่านร่อซูล
โอ้มุสลิมทั้งหลาย แท้จริงอัลลอฮฺ ผู้ทรงสูงส่ง ได้ทดสอบ ผู้ที่กล่าวอ้างว่า รักพระองค์ ด้วยกับคำดำรัสของพระองค์ที่ว่า
"จงกล่าวเถิด(มูฮำหมัดแก่ประชาชาติของเจ้า) ว่า หากพวกท่านรักอัลลอฮฺ ก็จง(ปฏิบัติ)ตาม(แบบอย่างของ) ฉัน แล้วอัลลอฮฺก็จะทรงรักพวกท่าน"
ดังนั้น การเจริญรอยตามบทบัญญัติของท่านนบีมูฮำหมัด และการปฏิบัติตามบทบัญญัติดังกล่าวนั้น เป็นสิ่งที่ยืนยันถึงความรักที่มีให้แก่อัลลอฮฺผู้ทรงสูงส่งยิ่ง
จึงสรุปได้ว่า ผู้ที่รักอัลลอฮฺ คือผู้ที่ปฏิบัติตามแบบฉบับของท่านร่อซู้ล ผู้ที่เจริญรอยตาม และผู้ที่ไม่ปฏิบัติเกินเลยซุนนะห์ของท่านร่อซู้ล
ด้วยเหตุนี้ ท่านร่อซู้ล จึงกล่าวว่า
“คนหนึ่งคนใดในหมู่พวกท่านจะยังไม่ศรัทธา จนกว่าอารมณ์ของเขาจะคล้อยตามในสิ่งที่ฉันนำมา”
อัลลอฮฺ ผู้ทรงสูงส่ง ตรัสว่า
"ไม่เป็นการบังควรสำหรับผู้ศรัทธาชาย และหญิง เมื่ออัลลอฮฺ และร่อซูลของพระองค์
ได้กำหนดกิจการใดแล้ว ที่จะมีทางเลือกอื่นอีกสำหรับกิจการของพวกเขา"
ดังนั้น คำสั่งใช้ของอัลลอฮฺ และคำสั่งใช้ของร่อซูลของพระองค์ จึงเป็นคำสั่งใช้ที่จะต้องปฏิบัติให้ลุล่วง , และผู้ใดก็ไม่มีสิทธิเลือกที่จะไม่ปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าว มุสลิมทุกคน จึงต้องยกย่องและเชิดชูซุนนะห์ แบบฉบับของท่านร่อซูล และพวกเขาจะนำทุกๆความขัดแย้งที่พวกเขามีความขัดแย้งกันกลับไปสู่ กิตาบุ้ลลอฮฺ (อัลกุรอ่าน) และซุนนะห์ แบบฉบับของท่านนบี
อัลลอฮฺ ผู้ทรงสูงส่ง ตรัสว่า
"ดังนั้น หากพวกเจ้าขัดแย้งกันในสิ่งใด ก็จงนำสิ่งนั้นกลับไปยังอัลลอฮฺ และร่อซูล หากพวกเจ้าศรัทธาต่ออัลลอฮฺ และวันปรโลก
นั่นแหละเป็นสิ่งที่ดียิ่ง และเป็นการคืนกลับไปที่สวยงามยิ่ง"
บรรดาผู้นำอิสลาม พวกเขาต่างถอนตัวออกจากคำพูดของพวกเขาที่ขัดแย้งกับซุนนะห์ของท่านนบีมูฮำหมัด และพวกเขาเห็นว่า คำพูดใดๆของพวกเขา เมื่อขัดแย้งกับแบบฉบับของท่านร่อซูล จำเป็นที่จะต้องตัดทิ้ง และต้องไม่นำไปปฏิบัติ และอย่าไปใส่ใจกับคำพูดเหล่านั้นอีกต่อไป
ประชาชาติอิสลามทั้งหลาย แท้จริงท่านนบี มูฮำหมัด ได้เตือนเรา ไม่ให้เราปฏิบัติต่อท่านนบี เหมือนดังที่ชาวยิวและคริสต์ได้ปฏิบัติต่อบรรดานบีของพวกเขา ซึ่งยิวและคริสต์ได้ปฏิบัติเกินเลยขอบเขตต่อบรรดานบีของพวกเขา เป็นการเกินเลยที่ทำให้พวกเขาออกนอกแนวทางของอัลลอฮฺ โดยพวกเขาได้ทำการภักดีต่อบรรดานบีอื่นแทนอัลลอฮฺ พวกเขาได้ยึดเอาบรรดานบีของพวกเขาเป็นพระเจ้าอื่นจากอัลลอฮฺ และด้วยเหตุนี้ ท่านนบีของเรา จึงกลัวว่าสิ่งที่ได้ประสบกับกลุ่มชนก่อนหน้าพวกเราจะประสบกับพวกเรา ดังนั้นท่านนบี จึงกล่าวกำชับพวกเราว่า
“พวกท่านทั้งหลายจงอย่าได้ยกย่องและสรรเสริญฉัน ในสิ่งที่เป็นเท็จ และอย่าได้เกินเลยขอบเขตในการสรรเสริญฉัน
ดังเช่นที่ชาวคริสต์ได้ยกย่องและสรรเสริญบุตรของมัรยัม แท้จริงฉันเป็นเพียงบ่าวคนหนึ่ง
ดังนั้นพวกท่านทั้งหลายจงกล่าวว่า บ่าวของอัลลอฮฺ และศาสนทูตของพระองค์”
และท่านร่อซูล ได้กล่าวกับพวกเราเช่นกันว่า
“พวกท่านทั้งหลายจงระวังจากการเกินเลยของเขต แท้จริงประชาชาติก่อนหน้าพวกท่านได้ถูกทำลาย อันเนื่องจากการเกินเลยขอบเขต”
ท่านร่อซูล ยังได้เตือนเราให้ระวัง ไม่ให้ใช้หลุมศพของท่านเป็นสถานที่เฉลิมฉลอง ท่านกล่าวว่า
“พวกท่านทั้งหลายจงอย่าได้ทำให้บ้านของพวกท่านเป็นสุสาน และอย่าทำให้หลุมฝังศพของฉันเป็นสถานที่เฉลิมฉลอง
และพวกท่านทั้งหลายจงกล่าวซอลาวาตให้แก่ฉัน แท้จริงการซอลาวาตของพวกท่านจะมาถึงฉัน ไม่ว่าพวกท่านจะอยู่ที่ใดก็ตาม”
ในห้วงสุดท้ายของชีวิตท่านร่อซูล ท่านได้เปิดผ้าปิดหน้าของท่านออก ในขณะที่ท่านกำลังจะเสียชีวิต ท่านกล่าวว่า
“อัลลอฮฺทรงสาปแช่ง ยิวและคริสต์ พวกเขาใช้สุสานของบรรดานบีของพวกเขาเป็นสถานที่อิบาดะฮฺ”
“พึงทราบเถิดว่า พวกท่านทั้งหลายจงอย่าใช้สุสานเป็นสถานที่ปฏิบัติอิบาดะฮฺ”
โอ้มุสลิมทั้งหลาย บางคนชอบอ้างว่ารักท่านนบี แต่เมื่อท่านพิจรณาถึงคำพูดและการกระทำต่างๆ ของเขาท่านจะพบว่า มันขัดแย้งกับบทบัญญัติของท่านนบี มูฮำหมัด ดังนั้นมุสลิมที่แท้จริง สายสัมพันธ์ของเขาที่มีต่อท่านนบี มูฮำหมัด เป็นสายสัมพันธ์ที่ถาวร ในทุกๆ สภาวะการ ไม่ว่าจะเป็นการอาบน้ำละหมาดของเขา การละหมาดของเขา การถือศีลอดของเขา การทำฮัจย์ของเขา การจ่ายซากาตของเขา และทุกๆการกระทำของเขาล้วนเป็นผู้ที่เจริญรอยตาม ท่านนบีมูฮำหมัด ทั้งการกินและดื่มของเขา การนอนและตื่นของเขา และทุกๆอิริยาบทของชีวิตเขา แบบฉบับของท่านร่อซูล นั้นจะอยู่เบื้องหน้าของเขาตลอดไป สิ่งใดที่เขาได้ยินว่าเป็นซุนนะห์ เขาก็จะปฏิบัติตามสิ่งนั้น
ส่วนชนบางกลุ่มที่อ้างตนว่ารักร่อซู้ล แต่ทว่าความรักของพวกเขาที่มีให้แก่ท่านร่อซูล เกิดขึ้นในคืนใดคืนหนึ่ง จากบรรดาค่ำคืนต่างๆเท่านั้นเอง ด้วยการอ่านวิริดบางอย่าง หรือชีวประวัติ หรือโคลงกลอนที่เป็นการตั้งภาคี หลงผิด และห่างไกลจากทางนำของท่านร่อซูล แล้วพวกเขาก็อ้างว่า พวกเขาเป็นผู้เชิดชูซุนนะห์ของท่านร่อซูล และเมื่อท่านพิจรณาอิริยาบทต่างๆของพวกเขา ท่านก็จะพบว่าพวกเขาเป็นกลุ่มชนที่ห่างไกลจากซุนนะห์ในทุกๆ สภาพการณ์ แม้กระทั่งภาพลักษณ์ภายนอก
และส่วนใหญ่ สิ่งที่พวกเขาบอกกล่าวนั้นจะขัดแย้งกับซุนนะห์ของท่านร่อซู้ล และท่านจะไม่พบฮูก่มซุนนะห์ใดๆสำหรับพวกเขา ไม่มีในจรรยามารยาทของซุนนะห์ และไม่มีในคำสั่งใช้ต่างๆที่เป็นซุนนะห์ และไม่ห่างไกลจากสิ่งต้องห้ามต่างๆที่มาจากซุนนะห์ แต่ว่าพวกเขาจะปฏิบัติที่แตกต่างและขัดแย้งกับซุนนะห์ และพวกเขาเพียงแค่ปฏิบัติในคืนใดคืนหนึ่งจากบรรดาค่ำคืนทั้งหลาย แล้วก็เข้าใจว่าพวกเขารักซุนนะห์แบบฉบับของท่านร่อซูล ค่ำคืนดังกล่าวก็คือค่ำคืนเมาลิด ซึ่งเป็นค่ำคืนที่ทำให้พวกเขารำลึกถึงท่านร่อซูล และเป็นค่ำคืนที่ทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขากับท่านร่อซูลแน่นแฟ้นขึ้น และเป็นค่ำคืนที่เชื่อมโยงพวกเขากับท่านร่อซูล แต่ทว่าหลังจากค่ำคืนดังกล่าว พวกเขาต่างปฏิบัติตนที่สวนทางกับบทบัญญัติและซุนนะห์ของท่านร่อซูล และพวกเขามิได้ดำรงไว้ซึ่งแนวทางซุนนะห์ และพวกเขามิได้ให้คุณค่ากับซุนนะห์ แม้แต่น้อย ดังกล่าวนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งจากการกระทำที่ขัดแย้งกับทางนำของท่านนบีมูฮำหมัด
แท้จริงผู้ที่รักท่านร่อซูล มากที่สุดคือบรรดาซอฮาบะห์ผู้เกียรติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเคาะลีฟะฮฺผู้ทรงธรรมทั้งสี่ท่าน พวกเขาคือผู้ที่รักท่านร่อซู้ลมากที่สุด แต่เราก็ไม่พบว่าพวกท่านให้คุณค่ากับค่ำคืนเมาลิดแม่แต่น้อย ไม่ได้ใช้ค่ำคืนดังกล่าวเพื่อรำลึกถึงท่านร่อซู้ล และไม่ได้ปฏิบัติอิบาดะฮฺในค่ำคืนดังกล่าวเป็นการเฉพาะ เพราะพวกท่านทราบดีว่าการกระทำดังกล่าวไม่ใช่ทางนำของท่านนบี
แท้จริงพวกเขาทราบดีว่าท่านร่อซูล เกิดเมื่อใด เกิดในปีใด เกิดในค่ำคืนใด ถึงกระนั้นก็ตามพวกเขาก็มิได้กระทำกิจกรรมดังกล่าวแม้แต่น้อย พวกเขาถือศีลอดวันจันทร์ เพราะท่านร่อซูลถือศีลอดในวันนั้น และบอกพวกเขาว่า ท่านเกิดในวันจันทร์ และเป็นวันที่อัลลอฮฺได้ทรงประทานวะฮีย์ให้แก่ท่าน ดังนั้น บรรดาซอฮาบะห์ จึงถือศีลอดในวันจันทร์ เพื่อเป็นการปฏิบัติตามแบบฉบับของท่านร่อซูล เท่านั้น
และนบีของพวกเขามิได้กำหนดให้พวกเขา ปฏิบัติอิบาดะฮฺใดๆเป็นการเฉพาะในคืนใดคืนหนึ่งจากค่ำคืนต่างๆ และท่านมิได้ให้ความสำคัญใดๆเป็นพิเศษกับค่ำคืนดังกล่าว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้ปฏิบัติอิบาดะฮฺใดๆในค่ำคืนนั้น ที่พวกเขาไม่ได้ปฏิบัติ มิใช่ว่าเพราะพวกเขาไม่รู้ แต่ทว่า เป็นการปฏิบัติตามแบบฉบับของท่านร่อซูล และเป็นการหยุด ณ ขอบเขตของศาสนา เช่นนี้แหละ ที่มุสลิมทุกคนจะต้องเป็น
การอุตริ (บิดอะห์) นั้น ถึงแม้ว่าพวกที่กระทำจะทำให้มันดูสวยงามมากเพียงใด ถึงแม้ว่าพวกเขาจะปกป้องมันสักเพียงใดก็ตาม แท้จริงมันก็ขัดแย้งกับบทบัญญัติ ไม่อนุญาตให้เชื่อถือ ไม่อนุญาตให้ปฏิบัติ และไม่อนุญาตให้ฟื้นฟู ในสิ่งที่เป็นการอุตริ เนื่องจากว่า มุมิน (ผู้ศรัทธา) นั้นถูกสั่งใช้ให้ปฏิบัติตามอัลกุรอ่าน และซุนนะห์ และการงานของเขานั้นจะยังคงเป็นการงานที่ไม่ถูกตอบรับ จนกว่าจะเป็นการงานที่กระทำโดยบริสุทธิใจเพื่ออัลลอฮฺ และเป็นการงานที่สอดคล้องกับกิตาบุ้ลลอฮฺ และซุนนะห์ ของท่านนบีมูฮำหมัด
ฉันขอให้อัลลอฮฺเตาฟีกแก่ฉันและพวกท่านในคำพูดและการกระทำ ฉันพูดคำพูดนี้ และฉันขออภัยโทษจากอัลลอฮฺผู้ทรงยิ่งใหญ่ ผู้ทรงสูงส่ง แก่ฉันและพวกท่าน และบรรดามุสลิมีนทั้งหลาย ในทุกๆความผิด ดังนั้น พวกท่านทั้งหลายจงขออภัยโทษต่อพระองค์ และพวกท่านทั้งหลายจงกลับเนื้อกลับตัวต่อพระองค์ แท้จริงพระองค์คือผู้ทรงอภัยโทษ และผู้ทรงเมตตายิ่ง