ทัศนะของอิสลามต่อธรรมชาติ
ในยุคแห่งความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ มีผู้คนจำนวนมากมายที่ยึดเอาวิทยาศาสตร์เป็นศาสนาและนับถือนักวิทยาศาสตร์บางคนเป็นศาสดา ตลอดจนเชื่อว่าสิ่งที่มีอยู่และเป็นจริงนั้น จะต้องสัมผัสและพิสูจน์ได้ด้วยมาตรการทางวิทยาศาสตร์ มิเช่นนั้นแล้วสิ่งนั้นย่อมไม่มีอยู่และไม่เป็นจริง
เมื่อพูดถึงการสร้างโลกและกำเนิดมนุษย์ สาวกผู้คลั่งไคล้วิทยาศาสตร์จะกล่าวว่าโลกและชีวิตตลอดจนสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นจากวิวัฒนาการทางธรรมชาติ จนถึงกับดูถูกเผ่าพันธุ์ของตนเองว่า มีวิวัฒนาการมาจากลิง แต่เมื่อถามว่า “ธรรมชาติ” คืออะไร ? และเกิดขึ้นได้อย่างไร ? คนเหล่านั้นกลับตอบอย่างไม่เป็นวิทยาศาสตร์ว่า มันคือกฎที่เกิดขึ้นเองหรือความเป็นไปเองของสิ่งต่าง ๆ โดยบังเอิญ
ในอิสลาม “ความบังเอิญ” ดังกล่าวนี้ไม่มี เพราะ อิสลามถือว่าทุกสรรพสิ่งในสากลจักรวาลนั้นมีขึ้นและเป็นไปโดยเจตนารมณ์ของอัลลอฮฺทั้งสิ้น กล่าวคือ อัลลอฮฺทรงสร้างทรงวางกฎกำหนด ทรงบริหารและทรงทำให้สมบูรณ์
ดังนั้นในอิสลาม “ธรรมชาติ” ก็คือกฎระเบียบที่อัลลอฮฺ ได้ทรงวางไว้ให้แก่ทุกสรรพสิ่งในสากลจักรวาลตั้งแต่การเคลื่อนไหวของอะตอมในโมเลกุล การทำงานของระบบอวัยวะต่างๆ ในร่างกายมนุษย์ ไปจนถึงการโคจรของดวงดาวต่างๆ ในจักรวาล กฎระเบียบเหล่านี้คัมภีร์อัลกุรอานกล่าวว่าเป็น “สุนนะฮฺ” (แบบแผน) ของอัลลอฮฺ ที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้และเป็นสิ่งที่อยู่เบื้องหลังสิ่งที่มนุษย์เรียกว่า ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ มนุษย์เป็นเพียงแต่ผู้ที่ค้นพบกฎเหล่านี้และนำมันมาใช้ประโยชน์เท่านั้น
ส่วนปรากฏการณ์ที่เรามองเห็นด้วยตาเช่น การเต้นของหัวใจ การเคลื่อนไหวของดวงดาว กลางวันกลางคืน น้ำขึ้นน้ำลงนั้น สิ่งเหล่านี้ คัมภีร์อัลกุรอานเรียกมันว่า “อายะฮฺ” (สัญญาณ) ของอัลลอฮฺ และอายะฮฺหรือปรากฏการณ์เหล่านี้เอง ที่คัมภีร์อัลกุรอานบอกว่ามันเป็นสิ่งที่ยืนยันถึงการมีผู้สร้าง และผู้วางกฎเกณฑ์ให้แก่มัน ผู้ทรงอยู่เบื้องหลังนั่นคือ อัลลอฮฺ
islamhouse