ความเสมอภาคของสตรีในอิสลาม
อับดุรเราะห์มาน บิน อับดุลกะรีม อัช-ชีหะฮฺ
ข้อสงสัยเกี่ยวกับสิทธิ อิสระภาพ และความเสมอภาคของสตรีในอิสลาม
การสรรเสริญทั้งมวลเป็นสิทธิของอัลลอฮฺ เราขอสรรเสริญพระองค์ เราความช่วยเหลือจากพระองค์ เราขออภัยโทษจากพระองค์ ขอความคุ้มครองจากพระองค์ให้พ้นจากความชั่วร้ายในตัวของเรา จากการงานที่เลวร้ายของเรา ผู้ใดก็ตามที่อัลลอฮฺทรงนำทางเขาจะไม่หลงทาง และผู้ใดที่อัลลอฮฺทรงให้เขาหลงทาง ก็จะไม่มีผู้ใดนำทางเขา ข้าพเจ้าขอปฎิญานตนว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺเพียงองค์เดียวเท่านั้น และไม่มีภาคีใดๆ สำหรับพระองค์ และข้าพเจ้าขอปฎิญานตนว่ามุฮัมมัดคือบ่าว และศาสนทูตแห่งพระองค์ ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน และครอบครัวของท่าน สาวกของท่าน และบรรดาผู้ปฏิบัติตามเขาเหล่านั้นด้วยความดีงาม
อัลลอฮฺ สุบหานะฮูวะตะอาลา ตรัสในคัมภีร์อัลกุรอานว่า :
“โอ้มนุษยชาติทั้งหลาย แท้จริงเราได้สร้างพวกเจ้าจากเพศชายและเพศหญิง และเราได้ให้พวกเจ้าแยกเป็นเผ่าและตระกูลเพื่อจะได้รู้จักกัน
แท้จริงผู้ที่มีเกียรติยิ่งในหมู่พวกเจ้า ณ ที่อัลลอฮฺนั้น คือผู้ที่มีความยำเกรงยิ่งในหมู่พวกเจ้า”
( อัล-หุญุรอต : 13)
อนึ่ง ถือเป็นความผิดอันใหญ่หลวง สำหรับการกล่าวถึงอิสลามในสิ่งที่ไม่เป็นความจริง ตัวอย่างเช่น การเข้าใจว่า อิสลามคือศาสนาที่ไม่ให้เกียรติเเก่สตรี หรือไม่เคารพเธออย่างสมควร อิสลามคือศาสนาที่ข่มเหงเเละรังแกสตรีมาตลอด
อัลลอฮฺ สุบหานะฮูวะตะอาลา ได้ตรัสไว้ในคัมภีร์อัลกุรอานว่า :
“หากพวกเจ้าเกลียดพวกนาง ก็อาจเป็นไปได้ว่า การที่พวกเจ้าเกลียดสิ่งหนึ่งขณะเดียวกันอัลลอฮฺก็ทรงให้มีในสิ่งนั้นซึ่งความดีอันมากมาย”
(อัน-นิสาอ์ : 19 )
เเละอัลลอฮฺ สุบหานะฮูวะตะอาลา ได้ตรัสในคัมภีร์อัลกุรอานอีกว่า :
“และหนึ่งจากสัญญาณทั้งหลายของพระองค์คือ ทรงสร้างคู่ครองให้แก่พวกเจ้าจากตัวของพวกเจ้า เพื่อพวกเจ้าจะได้มีความสุขอยู่กับนาง
และทรงมีความรักใคร่ และความเมตตาระหว่างพวกเจ้า แท้จริงในการนี้แน่นอน ย่อมเป็นสัญญาณแก่หมู่ชนผู้ใคร่ครวญ”
(อัรฺรูม : 21 )
ในโลกยุคปัจจุบันนี้เราจะเห็นกันบ่อยครั้งว่า มีกลุ่ม และองค์กรต่างๆ ได้ออกมาเคลื่อนไหวในการเรียกร้องเพื่อสิทธิสตรี เเละความอิสระของเธอ ด้วยจุดประสงค์ คือ ต้องการความเท่าเทียมกันระหว่างชาย และหญิง การเรียกร้องในลักษณะนี้อาจได้รับการยอมรับ หากกระทําในสังคมที่ไม่เคยให้ความยุติธรรมเเก่เหล่าสตรี หรือไม่เคยเคารพสิทธิความชอบธรรมของพวกเธอเลย แต่ในสังคมมุสลิมมีการเคารพสิทธิ เเละให้อิสรภาพเเก่พวกเธออย่างสมํ่าเสมอนับตั้งเเต่ยุคเริ่มเเรกของอิสลามก่อนที่พวกเธอจะเรียกร้องสิทธิของพวกเธอเองเสียอีก
การเรียกร้องดังกล่าวข้างต้นจึงถือเป็นเรื่องน่าขันยิ่ง อันเนื่องจากว่าอิสลามได้วางกรอบ และจัดระเบียบของสิทธิความชอบธรรมเหล่านั้นไว้ในข้อบังคับทางศาสนาประการหนึ่งที่มิอาจต่อรองได้ ซึ่งอาจจะสร้างความคลางแคลงใจให้กับผู้คนในสังคมที่มิได้มีความเข้าใจในระบอบอิสลาม แต่กระนั้นก็เป็นไปได้ว่า อาจจะมีผู้ที่ข่มเหงรังเเกสตรีหรือละเมิดสิทธิของเธอในสังคมมุสลิมบางสังคม เพราะความบกพร่องในการปฏิบัติตามคําสอนของอิสลามนั่นเอง
เเท้จริงเเล้ว บรรดาผู้คนที่ได้เรียกร้องเพื่อความอิสระ เเละสิทธิของสตรี - ตามที่พวกเขากล่าวอ้าง ก็คงไม่พ้นจากจุดประสงค์ดังต่อไปนี้ :
1- ต้องการปลดปล่อยสตรีให้เป็นอิสระเสรี
2- เพื่อให้สตรีได้รับความเท่าเทียมกันกับผู้ชาย
3- เรียกร้องสิทธิความชอบธรรมของสตรี
♥ การเรียกร้องเพื่อปลดปล่อยสตรีให้เป็นอิสระ
คําว่า ปลดปล่อยให้เป็นอิสระ ฟังดูเหมือนว่าเธอนั้นกําลังโดนกีดกันจนไม่มีอิสระเลย ซึ่งเป็นการกล่าวที่ห่างไกลจากความเป็นจริงมาก เพราะบ่งบอกให้เราเข้าใจว่า สตรีเปรียบเสมือนทาสคนหนึ่งที่สมควรปลดปล่อยเธอให้เป็นอิสระ พึงรู้เถิดว่า ความอิสระที่ให้ความหมายอย่างไม่มีขอบเขตนั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เนื่องจากว่าตามธรรมชาติของมนุษย์ต้องอยู่ภายใต้ขอบเขต ทั้งนี้ก็เพราะความสามารถ เเละพลังของมนุษย์มีขีดจํากัด ดังนั้นถึงเเม้ว่ามนุษย์จะอาศัยอยู่ในสังคมที่ก้าวหน้าหรือสังคมสมัยเก่าดั้งเดิมก็ตาม ล้วนย่อมต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย ซึ่งคอยควบคุมการดําเนินชีวิตของพวกเขา หรือคอยจัดระเบียบความเรียบร้อยของชีวิตเเต่ละวันของพวกเขา เช่นนี้เราจะบอกว่าพวกเขาไม่ได้รับอิสระกระนั้นหรือ ?
ดังกล่าวนี้เราจะเห็นได้ว่าความอิสระย่อมมีขอบเขต ซึ่งเมื่อใดก็ตามที่ความอิสระของมนุษย์เกินเลยเกินขอบเขต มนุษย์ก็คงไม่ต่างอะไรจากสัตว์ ที่ไม่มีการเคารพกฎระเบียบเเละกฎหมายใดๆ ทั้งสิ้น
ดร. เฮนรี่ มาโคว์ ( PhD Henry Makow )นักวิชาการชาวอเมริกา นักวิจัยเเละผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านสังคมสตรีระดับโลก กล่าวว่า
“เเท้จริงเเล้วการเรียกร้องเพื่ออิสระของสตรีคือ การหลอกลวงชนิดหนึ่งในโลกปัจจุบัน การหลอกลวงที่โหดเหี้ยมทําให้สตรีอเมริกาหลงผิด เเละทําลายอารยธรรมยุโรป”
อิสลาม เป็นศาสนาเเรกที่ให้อิสระเเก่สตรีในการเข้าร่วมกับสังคมส่วนรวมโดยตรง แต่ความอิสระนั้นย่อมมีขอบเขตภายใต้การดูแลและการอนุญาตของผู้ปกครองของเธอ หรือผู้รับหน้าที่ดูเเลเธอเท่านั้น เพื่อปกป้องมิให้เธอเสื่อมเสียเกียรติ ไร้ค่าไร้ราคา ซึ่งความอิสระในทํานองนี้ก็มีขอบเขตจำกัดสําหรับบุรุษเช่นเดียวกัน ความอิสระในอิสลามที่เเท้จริง คือตามนิยามของท่านศาสนทูตมุฮัมมัด กล่าวความว่า :
“อุปมาผู้ที่ยืนหยัดบนขอบเขตแห่งอัลลอฮฺกับผู้ที่ล่วงเกินนั้น ดั่งคนกลุ่มหนึ่งซึ่งทั้งหมดอยู่ในเรือลําเดียวกัน บางคนได้อยู่ชั้นบน บางคนได้อยู่ชั้นล่าง สําหรับคนที่อยู่ชั้นล่างต้องเดินผ่านคนชั้นบนเมื่อต้องการตักน้ำมาใช้ ดังนั้นพวกเขาจึงกล่าวว่า ถ้าพวกเราเจาะรูที่ไหนสักเเห่งใกล้ตัวเราพวกเราคงไม่จําเป็นต้องไปรบกวนคนชั้นบน ฉะนั้นถ้าพวกเขาละเลยเเละวางเฉยปล่อยให้คนที่อยู่ชั้นล่างกระทำในสิ่งที่พวกเขาต้องการ โดยไม่ห้ามปรามกัน พวกเขาทั้งหมดต้องเผชิญกับความหายนะ หากพวกเขาต่างห้ามปรามซึ่งกันและกัน พวกที่อยู่ชั้นล่างเเละทุกคนก็จะปลอดภัยกันหมด”
(อัลบุคอรีย์ 2/ 882 เลขที่ 2361)
เช่นนี้คือ นิยามอันเเท้จริงของความอิสระในทัศนะอิสลาม โดยความอิสระส่วนตัวต้องเป็นไปด้วยเงื่อนไขเเห่งศาสนบัญญัติ ด้วยการไม่สร้างผลเสียต่อตนเองเเละสังคม
ฉะนั้น สิ่งที่พวกเขาควรเรียกร้องเพื่อความอิสระของสตรี ก็คือ ต้องหาว่ากฎหมายใดกันที่สมควรยิ่ง เเละมีประโยชน์ในการพิทักษ์รักษาเกียรติของสตรีเเละปกป้องสังคมมนุษย์มากกว่า ? และแน่นอนเราสามารถกล่าวได้ว่า กฎหมายอิสลามคือกฎหมายที่ยกระดับของสตรีได้ดีที่สุด ในฐานะที่เธอคือส่วนหนึ่งของบุรุษเพศเเละเป็นพี่น้องร่วมชีวิตในโลกนี้ ท่านศาสนทูตมุฮัมมัด กล่าวความว่า
“ท่านจงรักเพื่อนของท่านเสมือนที่ท่านรักตัวของท่านเอง”
เช่นนี้แล้ว พวกเขายังต้องการเรียกร้องกฎหมายอื่นๆ ที่เขียนขึ้นโดยฝีมือมนุษย์ซึ่งเเอบเเฝงด้วยจุดมุ่งหมายเเละเจตนาเฉพาะที่เป็นอื่นอีกหรือ ?
♥ การเรียกร้องให้สตรีได้รับความเท่าเทียมกันเสมอชาย
การเรียกร้องเพื่อความเท่าเทียมกันระหว่างชายหญิงในทุกด้านนั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เนื่องจากธรรมชาติของเพศชาย และหญิงนั้นมีความเเตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นในด้านสรีระร่างกาย มันสมอง หรือด้านจิตใจ แม้แต่ระหว่างเพศเดียวกันก็ย่อมมีความแตกต่างกันออกไปตามแต่ละบุคคล เช่นนี้แล้วหากจะกล่าวถึงความเท่าเทียมกันระหว่างเพศย่อมเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
อัลลอฮฺ สุบหานะฮุวะตะอาลา ตรัสในคัมภีร์อัลกุรอานว่า :
“และจากทุก ๆ สิ่งนั้น เราได้สร้าง (มัน) ขึ้นเป็นคู่ ๆเพื่อพวกเจ้าจะได้ใคร่ครวญ”
(อัซ-ซาริยาต อายะฮฺที่ 49)
เนื่องจากอัลลอฮฺทรงสร้างมนุษย์ออกเป็นสองเพศ กําหนดให้เเต่ละเพศมีรูปลักษณ์ที่แตกต่างจากเพศตรงข้าม และทั้งสองมีหน้าที่ที่เเตกต่างซึ่งจะมีส่วนช่วยให้เกิดความสมบูรณ์ซึ่งกันและกัน การสร้างมนุษย์ออกเป็นสองเพศแสดงให้เห็นว่า เเต่ละเพศนั้นมีคุณลักษณะพิเศษบางอย่าง
ตัวอย่างที่จะเปรียบเทียบให้เห็นได้ชัดเจนในเรื่องนี้คือ เวลากลางวันและกลางคืน ทั้งสองมีลักษณะร่วมกันคือ เวลา แต่เวลาทั้งสองนั้นก็มีความพิเศษต่างกันออกไป หน้าที่ของเวลากลางคืนคือให้ความสงบ และหน้าที่ของเวลากลางวันคือการให้โอกาสในการเเสวงหาปัจจัยยังชีพ
เช่นเดียวกันนี้ มนุษย์เพศชายและหญิงก็มีลักษณะร่วมกันคือความเป็นมนุษย์ แต่หน้าที่บางประการระหว่างทั้งสองนั้นจะมีความแตกต่างกันออกไป บางประการมีไว้สำหรับเพศชายเท่านั้น เเละบางประการก็เฉพาะเจาะจงสำหรับเพศหญิง ณ ที่นี้เราสามารถสรุปได้ว่า ทั้งสองมาจากจุดร่วมเดียวกัน มีหน้าที่ที่เหมือนกันในฐานะของความเป็นมนุษย์ และมีหน้าที่อื่นๆ เป็นการเฉพาะในฐานะเพศที่เเตกต่างกัน จะเห็นได้ว่าความเท่าเทียมกันระหว่างชายหญิงในทุกเรื่องย่อมเป็นไปไม่ได้
ฉะนั้นการเรียกร้องเพื่อความเท่าเทียมกันดูจะเป็นเรื่องที่ไร้สาระ เพราะเป็นการพยายามปรับเปลี่ยนธรรมชาติดั้งเดิมที่ถูกสร้างมา ในขณะเดียวกันถือว่าเป็นการดูถูกศักดิ์ศรีความเป็นสตรีของเธอ เพราะการเรียกร้องในเชิงนี้ดูเหมือนว่าต้องการให้เธอเฉออกจากธรรมชาติดั้งเดิมที่อัลลลอฮฺสร้างมาเพื่อเธอ ซึ่งจะส่งผลสะท้อนในเเง่ร้ายต่อสังคม
♥ การเรียกร้องเพื่อสิทธิความชอบธรรมของสตรี
ไม่มีกฎหมายใดหรือระบบใดในอดีต และปัจจุบันที่ปกป้องรักษาสิทธิของสตรี เเละยกฐานะของเธออันสูงส่งนอกเหนือจากอิสลาม นับตั้งเเต่รัศมีเเห่งอิสลามเริ่มฉายพร้อมๆ กับการมาเยืยนของท่านศาสนทูตมุฮัมมัด นับว่าเป็นเหตุการณ์ครั้งประวัติศาสตร์ที่สร้างความอัศจรรย์ใจเเก่เหล่าผู้ศรัทธาในสมัยนั้น เเละผู้คนอื่นๆ ที่ศรัทธาต่อมา อันเนื่องมาจากการทุ่มเทของพวกเขาในการเผยเเผ่อิสลาม จนกระทั่งอิสลามได้รับการยอมรับจากผู้คนอย่างกว้างขวาง
เนื่องด้วยความสมบูรณ์เเบบของอิสลาม ความละเอียดอ่อน เเละง่ายต่อการเข้าใจ เหมาะสมกับธรรมชาติของมนุษย์ ผู้เขียนขอหยิบยกส่วนหนึ่งจากเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ในเรื่องที่เกี่ยวกับทัศนะของอิสลามต่อฐานะความเป็นอยู่ของสตรี เเละเรื่องอื่นๆ ด้านสิทธิความชอบธรรมของสตรีในทัศนะอิสลาม ซึ่งถือว่าสําคัญที่สุดที่จะกล่าวถึงในหนังสือฉบับนี้ Dr. G Lebon เจ้าของหนังสือ อารยธรรมชาวอาหรับ หน้า 488 กล่าวว่า :
“ความประเสริฐของอิสลามนั้นไม่เพียงเเต่เน้นหนักด้านการยกฐานะของสตรีเท่านั้น ทว่าอิสลามคือศาสนาเเรกที่ได้ปฏิบัติต่อสตรีในลักษณะเช่นนี้ หลักฐานที่เห็นได้อย่างเด่นชัดในเรื่องนี้ คือ ศาสนาอื่นๆ แเละประชาชาติต่างๆ ก่อนอาหรับล้วนเเล้วแต่ทําลายเกียรติอันสูงส่งของเธอ”
ท่านได้กล่าวในหน้า 497 อีกว่า :
“สิทธิความชอบธรรมระหว่างสามีภรรยาที่ถูกจารึกไว้ในคัมภีร์อัลกุรอาน มีความประเสริฐยิ่งกว่าสิทธิ เเละความชอบธรรมที่ใช้กันในสังคมยุโรป”
เเท้จริงเเล้วการเรียกร้องเพื่อสิทธิของสตรีน่าจะกระทํากันในสังคมยุโรปที่พยายามยึดครองสิทธิของเธออย่างไม่ชอบธรรม หรือในสังคมที่ให้อิสระแก่เธออย่างไม่มีขอบเขตจนทําให้เธอต้องตกอยู่ในหนทางที่ไร้ความบริสุทธิ์ สร้างความเสื่อมเสียกับชีวิตเธอ เป็นเหตุให้เธอต้องตกเป็นเหยื่อเพื่อสนองตอบความสนุกสนาน เเละความต้องการบางอย่าง หรือเเค่เพียงได้รับความสุขจากเธอเท่านั้น
ถ้าเรามองตามบทบัญญัติของอิสลามเเล้ว อิสลาม คือ ศาสนาที่ให้ความยุติธรรมเเก่สตรีมากที่สุด ปกป้องรักษาเธอซึ่งสิทธิของเธอ ทําให้เธอได้มีชีวิตในโลกนี้ที่เปี่ยมด้วยความสุขที่เเท้จริง เธอจึงได้รับความสงบ เเละความปลอดภัยที่เเท้จริง ส่งผลให้เธอปฏิบัติทําหน้าที่ในฐานะความเป็นสตรีของเธอตามที่อัลลลอฮฺทรงมอบให้เธออย่างเต็มรูปเเบบ
แปลโดย : อิบนุรอมลี ยูนุส / Islamhouse