ทางนำจากอัลกุรอาน
โดย อ.อาลี เสือสมิง
قَالَ اللهُ تَعَالى :{ وَأَطِيْعُوا اللهَ وَرَسُوْلَهُ وَلا تَنَازَعُوْا فَتَفْشَلُوْا وَتَذْهَبَ رِيْحُكُمْ ،
وَاصْبِرُوْا إِنَّ اللهَ مَعَ الصَّابِرِيْنَ } الأنفال آية 46
คำอรรถธิบาย
และสูเจ้าทั้งหลายจงภักดีอัลลอฮฺ และศาสนทูตของพระองค์ ด้วยการดำเนินตามวิถีแห่งอัลกุรอาน และสุนนะฮฺของนบีมุฮัมมัด ดำรงตนในวิถีนั้นด้วยการปฏิบัติตามคำบัญชาใช้อย่างสุดกำลัง และหลีกเลี่ยงจากสิ่งที่มีบัญชาห้ามไว้โดยสิ้นเชิง การภักดีอัลลอฮฺ โดยไม่อาศัยวิถีแห่งสุนนะฮฺของนบีมุฮัมมัด คือการหลงทางโดยแท้
และสูเจ้าทั้งหลายอย่าได้พิพาทขัดแย้งซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะเรื่องหลักมูลฐานของศาสนาที่อัลลอฮฺ และศาสนทูตของพระองค์ได้วางบัญญัติไว้ อาทิ การเชื่อฟังผู้นำในสิ่งที่ไม่ขัดต่อบัญชาของอัลลอฮฺ และศาสนทูตของพระองค์อีกทั้งมีหลักมูลฐานของศาสนารองรับ เป็นต้น
ทั้งนี้เนื่องจากกรณีพิพาทขัดแย้งในหมู่สูเจ้าจักเป็นเหตุทำให้สูเจ้าทั้งหลายอ่อนแอ ขลาดเขลา และประสบความล้มเหลวในการกิจทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นการศึกสงครามซึ่งเป็นสาระสำคัญในการประทานอายะฮฺนี้ลงมา ตลอดจนการบริหารและการปกครองซึ่งจำต้องธำรงเอกภาพและสามัคคีธรรมของหมู่ชนเป็นหลัก อีกทั้งการพิพาทขัดแย้งนั้นจักเป็นเหตุในการที่พลัง และความเข้มแข็งของหมู่สูเจ้าจะวิปโยคและสูญไป เนื่องจากพลังและความเข้มแข็งของหมู่ชนขึ้นอยู่กับสภาวะที่มีเอกภาพและสามัคคีธรรมเป็นสำคัญ
และสูเจ้าทั้งหลายจงยึดในหลักแห่งขันติธรรมด้วยการอดทนอดกลั้นต่อสิ่งที่ไม่พอใจ ไม่ต้องจริต ไม่สบอารมณ์ และไม่เข้าด้วยพวกพ้องของตน ตราบใดที่สิ่งเหล่านั้นเป็นความชอบธรรมตามศาสนบัญญัติ หรือเป็นไปตามการลิขิตและพระประสงค์ของอัลลอฮฺ หรือเป็นการธำรงรักษาบูรณภาพของสังคมโดยรวมให้ดำเนินไปตามวิถีแห่งบัญญัติของศาสนา
ทั้งนี้เพราะหมู่ชนใดมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันบนพื้นฐานแห่งหลักขันติธรรม หมู่ชนนั้นย่อมได้รับการช่วยเหลือ และการเอื้ออำนวยจากอัลลอฮฺ ให้ดำรงอยู่ได้โดยไม่แตกสลาย และบรรลุสู่ความสัมฤทธิผลในกิจการทั้งปวง
วิทยญาณอันเป็นคุณค่าจากธรรมบัญญัติข้างต้น
1) การภักดีอัลลอฮฺ และศาสนทูตของพระองค์ คือวิถีแห่งศรัทธาชน และถือเป็นบรรทัดฐานในทุกการกิจนับแต่เบื้องต้น เบื้องกลาง และเบื้องปลาย
2) การพิพาทขัดแย้งที่นำไปสู่สามัคคีเภท การละเมิดซึ่งกันและกัน การบ่อนทำลายสภาวะความเชื่อมั่นที่มีต่อผู้นำที่ชอบธรรมและเกิดสภาวะที่สับสนในหมู่ผู้ตามถือเป็นสิ่งต้องห้ามตามศาสนบัญญัติ เพราะสิ่งดังกล่าวคือปัจจัยเหตุแห่งความอ่อนแอ ความขลาดเขลา การขาดเสถียรภาพ และการไร้พลังในการขับเคลื่อนกระบวนการทางสังคม ตลอดจนสูญเสียศักยภาพในการต่อรองหรือการผลักดัน
คราใดที่ปรากฏการณ์ที่ไม่พึงประสงค์นี้เกิดขึ้นในหมู่ชนผู้ศรัทธาแล้วไซร้ ครานั้นเกียรติภูมิของศาสนาก็ย่อมถูกหมิ่นความสูงส่งของศรัทธาชนที่อัลลอฮฺ ทรงยอยกเอาไว้ก็จะถูกกระชากลงสู่การหยามเหยียดและดูแคลน เหล่าปัจจามิตรที่จดจ้องและรอคอยจะสบโอกาสในการบีฑาและเหยียบย่ำซ้ำเติมโดยที่พวกเขาไม่ต้องทุ่มสรรพกำลังอันใดเลยแม้แต่น้อย เพราะการบ่อนทำลายที่เกิดขึ้นภายในหมู่ชนด้วยกันเองนั้นคือศาสตราวุธที่ทรงประสิทธิภาพยิ่งกว่าทุกตำราพิชัยสงคราม
3) หลักธรรมอันเป็นเครื่องประคับประคองบูรณภาพของหมู่ชนให้ธำรงอยู่ได้ หรือเป็นเครื่องบรรเทาผลข้างเคียงอันเกิดจากโรคร้ายแห่งสามัคคีเภทคือ ความมีขันติในระหว่างสมาชิกของหมู่ชน มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันบนพื้นฐานของความอดทน อดกลั้น การรู้จักใช้สติยับยั้งชั่งใจ การมีปัญญารู้คิด การไม่จองเวรอาฆาตพยาบาท การรู้จักละวางและให้อภัย
ตลอดจนการมองโลกว่าเป็นสิ่งไม่เที่ยงแท้แน่นอน และยอมรับในสัจธรรมที่ว่า มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ มีได้ก็ต้องมีเสีย มีคนรักก็ต้องมีคนชัง มีคนชื่นชมก็ย่อมมีคนแช่งชักหักกระดูกเป็นธรรมดา ท้ายที่สุดแล้วก็ต้องม้วยมรณาด้วยกันทุกคน สังคมใดขาดขันติธรรม สังคมนั้นย่อมไร้เสถียรภาพด้วยประการทั้งปวง
สำนักจุฬาราชมนตรี