การศรัทธาต่อมลาอิกะฮฺผู้จดบันทึก
ดร.อะมีน บิน อับดุลลอฮฺ อัช-ชะกอวีย์
มวลการสรรเสริญเป็นสิทธิ์ของอัลลอฮฺ ขอความสุขความจำเริญและศานติจงประสบแด่ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ฉันขอปฏิญาณว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺเพียงองค์เดียว ไม่มีภาคีใดๆ สำหรับพระองค์ และฉันขอปฏิญาณว่ามุหัมมัดเป็นบ่าวของอัลลอฮฺและเป็นศาสนทูตของพระองค์
อัฏ-เฏาะหาวีย์ เราะหิมะฮุลลอฮฺ ระบุว่าหลักยึดมั่นศรัทธาประการหนึ่งของ อะฮฺลุสสุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺ คือการศรัทธาต่อ “อัล-กิรอม อัล-กาติบีน” (มลาอิกะฮฺผู้ทำหน้าที่จดบันทึกความดีความชั่ว) อัลลอฮฺ ตรัสว่า
"และแท้จริงมีผู้คุ้มกันรักษาพวกเจ้าอยู่คือ (มลาอิกะฮฺ) ผู้ทรงเกียรติ เป็นผู้บันทึก พวกเขารู้ในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำ"
(อัล-อินฟิฏอรฺ: 10-12)
"จงรำลึกขณะที่มลาอิกะฮฺผู้บันทึกสองท่านบันทึก ท่านหนึ่งนั่งทางด้านขวา และอีกท่านหนึ่งนั่งทางด้านซ้าย
ไม่มีคำพูดคำใดที่เขากล่าวออกมา เว้นแต่ใกล้ๆเขานั้นมีผู้เฝ้าติดตาม ผู้เตรียมพร้อมที่จะบันทึก"
(กอฟ: 17-18)
มีรายงานหะดีษบันทึกโดยอัล-บุคอรียฺ และมุสลิม จากท่านอบู ฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮฺ เล่าว่า ท่านนบี กล่าวว่า
"บรรดามลาอิกะฮฺจะคอยสลับสับเปลี่ยนกันติดตามเฝ้าดูพวกท่าน กลุ่มหนึ่งอยู่เวรในเวลากลางคืน และอีกกลุ่มหนึ่งอยู่เวรในเวลากลางวัน โดยพวกท่านเหล่านั้นจะรวมตัวกันช่วงเวลาละหมาดฟัจญรฺและอัศรฺ จากนั้นมลาอิกะฮฺซึ่งอยู่เวรติดตามพวกท่านในตอนกลางคืน ก็จะขึ้นไปสู่ฟากฟ้า
แล้วพระผู้อภิบาลก็จะกล่าวถามพวกท่านว่า: 'พวกเจ้าพบเห็นว่าบ่าวของเราเป็นอย่างไรบ้าง?' ทั้งนี้ พระองค์ทรงรู้ดียิ่งถึงสภาพของพวกเขา
บรรดามลาอิกะฮฺก็ตอบว่า: พวกข้าพระองค์จากพวกเขามาโดยที่พวกเขากำลังทำการละหมาด และเมื่อพวกข้าพระองค์ไปหาพวกเขา ก็พบว่าพวกเขากำลังทำการละหมาด"
(อัล-บุคอรียฺ หะดีษเลขที่ 555 และมุสลิม หะดีษเลขที่ 632)
อัลลอฮฺ ตรัสว่า
"สำหรับเขามีมะลาอิกะฮฺผู้เฝ้าติดตาม ทั้งข้างหน้าและข้างหลังเขา คอยปกป้องดูแลเขาตามพระบัญชาของอัลลอฮฺ"
(อัรฺ-เราะอฺด์: 11)
อิบนุ กะษีรฺ กล่าวว่า
"หมายความว่า มีมลาอิกะฮฺกลุ่มหนึ่งคอยหมุนเวียนสลับสับเปลี่ยนกันเฝ้าติดตามบ่าว โดยแบ่งเป็นเวรกลางวัน และเวรกลางคืน โดยพวกท่านมีหน้าที่ปกป้องเขาจากสิ่งชั่วร้ายต่างๆ ในขณะเดียวกันก็มีมลาอิกะฮฺอีกกลุ่มหนึ่ง คอยจดบันทึกการงานทั้งความดีและความชั่ว โดยส่วนหนึ่งคอยจดบันทึกในเวลากลางคืน และอีกส่วนหนึ่งคอยจดบันทึกในเวลากลางวัน
ทั้งนี้ มีมลาอิกะฮฺสองท่านอยู่ประจำทางขวามือและทางซ้ายมือ โดยท่านที่อยู่ทางขวามือจะคอยจดการงานที่ดี ส่วนท่านที่อยู่ทางซ้ายมือจะคอยจดบาปความผิดต่างๆ นอกจากนี้ยังมีมลาอิกะฮฺอีกสองท่านคอยปกป้องดูแลเขา โดยท่านหนึ่งจะประจำอยู่ข้างหลังเขา ส่วนอีกท่านจะประจำอยู่ข้างหน้า
จึงสรุปได้ว่ารอบๆตัวเรานั้นมีมลาอิกะฮฺประจำอยู่สี่ท่านในตอนกลางวัน และอีกสี่ท่านในตอนกลางคืน โดยสองท่านทำหน้าที่ปกป้องดูแล ส่วนอีกสองท่านทำหน้าที่จดบันทึกความดีความชั่ว"
(ตัฟสีรฺ อิบนิ กะษีรฺ เล่ม 8 หน้า 114-115)
ท่านอับดุลลอฮฺ บิน มัสอูด เราะฎิยัลลอฮุอันฮฺ เล่าว่า
ท่านนบี กล่าวว่า “ทุกคนในหมู่ท่านล้วนมี ‘เกาะรีน’ (ผู้ตามประกบ) ซึ่งเป็นญิน คอยติดตามทั้งสิ้น”
เศาะหาบะฮฺก็ถามว่า: แม้แต่ท่านหรือครับท่านเราะสูลุลลอฮฺ ?
ท่านกล่าวตอบว่า “ใช่ แม้แต่ฉัน เพียงแต่ว่าอัลลอฮฺทรงช่วยเหลือฉัน โดยให้เขาเข้ารับอิสลาม เขาจึงชักชวนฉันแต่ในทางที่ดี”
ในอีกสายหนึ่งซึ่งรายงานโดยสุฟยานระบุว่า
“ทุกคนในหมู่ท่านล้วนมี ‘เกาะรีน’ (ผู้ตามประกบ) คอยติดตามทั้งสิ้น โดยตนหนึ่งเป็นญิน และอีกหนึ่งเป็นมลาอิกะฮฺ”
(บันทึกโดยมุสลิม หะดีษเลขที่ 2814)
นักวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันว่า .......ในหะดีษมีความหมายว่าอย่างไร? ฝ่ายหนึ่งมีทัศนะว่า หมายถึงการนอบน้อมศิโรราบด้วยความต่ำต้อย อีกฝ่ายหนึ่งมีทัศนะว่า หมายถึงการเข้ารับอิสลาม
อัน-นะวะวีย์ กล่าวแสดงความเห็นว่า "ทัศนะนี้คือสิ่งที่เห็นชัดจากตัวบท"
อัล-กอฎีย์ อิยาฎ กล่าวว่า "ดังนั้นจงทราบเถิดว่าปวงประชาชาติได้เห็นพ้องกันอย่างเป็นเอกฉันท์ ว่าท่านนบี นั้นรอดพ้นปลอดภัยจากการคุกคามของชัยฏอนมารร้าย ไม่ว่าจะทางร่างกาย ความรู้สึกนึกคิด หรือวาจาคำพูดของท่าน"
(ชัรหฺ เศาะฮีหฺ มุสลิม เล่ม 6 หน้า 158)
ทั้งนี้ ญินมีทั้งที่เป็นผู้ศรัทธาและผู้ปฏิเสธ ซึ่งชัยฏอนก็คือญินฝ่ายที่ปฏิเสธศรัทธา ส่วนญินที่เป็นผู้ศรัทธาจะไม่เรียกว่าชัยฏอน ตัวบทหลักฐานต่างๆระบุว่า มลาอิกะฮฺจะทำการจดบันทึกคำพูด การกระทำ และเจตนาซึ่งเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นในใจ จึงอยู่ในข่ายของคำตรัสที่ว่า “พวกเขารู้ในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำ"
(อัล-อินฟิฏอรฺ: 10-12)
อัลลอฮฺ ตรัสว่า
"นี้คือบันทึกของเราจะพูดถึงเรื่องของพวกเจ้าด้วยความจริง แท้จริงเราได้ให้บันทึกไว้ตามที่พวกเจ้าได้กระทำไว้"
(อัล-ญาษิยะฮฺ: 29)
และพระองค์ตรัสว่า
"หรือพวกเขาคิดว่าเราไม่ได้ยินความลับและการประชุมลับของพวกเขา แน่นอน (เราได้ยิน) และทูตของเราอยู่กับพวกเขาเพื่อจดบันทึก"
(อัซซุครุฟ: 80)
ท่านอบู ฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮฺ เล่าว่า ท่านนบี กล่าวว่า
"อัลลอฮฺตรัสว่า: เมื่อบ่าวของข้าคิดที่จะทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เป็นความดี แล้วไม่ได้ทำ ข้าก็จะบันทึกสิ่งนั้นเป็นหนึ่งความดีสำหรับเขา แต่ถ้าเขาได้ลงมือทำสิ่งนั้น ข้าก็จะบันทึกมันเป็นความดีสิบเท่า และเมื่อเขาคิดที่จะทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เป็นความชั่ว แล้วไม่ได้ลงมือทำ ข้าจะอภัยให้แก่เขา แต่ถ้าหากเขาได้ลงมือทำสิ่งนั้น ข้าก็จะบันทึกมันเป็นความผิดเท่ากับสิ่งที่เขาได้ทำ"
ท่านเราะสูล กล่าวต่อว่า
“มลาอิกะฮฺจึงกล่าวว่า: ‘โอ้พระผู้อภิบาลของข้าพระองค์ บ่าวของพระองค์ผู้นั้นคิดที่จะทำความชั่ว’
พระองค์ตรัสตอบ (โดยที่พระองค์ทรงรู้ดีถึงสภาพของบ่าวผู้นั้น) ว่า
”พวกเจ้าจงคอยติดตามเขา ถ้าเขาได้ทำความชั่วตามที่คิด ก็จงจดบันทึกมันเป็นความผิดเท่ากับสิ่งที่เขาได้ทำ
แต่ถ้าเขาได้ละเว้นความชั่วดังกล่าว พวกเจ้าก็จงบันทึกสิ่งนั้นเป็นหนึ่งความดีสำหรับเขา เพราะแท้จริงเขาได้ละเว้นความชั่วดังกล่าวเพราะยำเกรงต่อข้า”
(บันทึกโดยอัล-บุคอรียฺ หะดีษเลขที่ 42 และมุสลิม หะดีษเลขที่ 129)
และมีบันทึกในหนังสือ อัล-มุอฺญัม อัล-กะบีรฺ ของอัฏ-เฏาะบะรอนีย์ จากท่านอบูอุมามะฮฺ เล่าว่า ท่านนบี กล่าวว่า
"มลาอิกะฮฺที่คอยจดบันทึกอยู่ทางด้านซ้าย จะยังไม่จดบันทึกความผิดของบ่าวมุสลิม จนกว่าเวลาจะล่วงเลยไปหกชั่วโมง
ถ้าในระหว่างนั้นเขาสำนึกผิดและขออภัยโทษต่ออัลลอฮฺในสิ่งที่กระทำไป ความผิดของเขาก็จะไม่ถูกจดบันทึก
แต่ถ้าเขาไม่สำนึก มันจะถูกบันทึกว่าเป็นหนึ่งความผิด"
(บันทึกโดยอัฏเฏาะบะรอนีย์ หะดีษเลขที่ 7765 โดยชัยคฺ อัล-อัลบานีย์ ระบุไว้ในเศาะฮีหฺ อัล-ญามิอฺ อัศ-เศาะฆีรฺ เล่ม 1 หน้า 422 หะดีษเลขที่ 2097 ว่าเป็นหะดีษเศาะฮีหฺ)
กวีท่านหนึ่งกล่าวว่า
"และจงตระหนักถึงวินาทีแห่งการสอบสวนพิพากษา เมื่อทุกสิ่งที่ทำไปและถูกบันทึกไว้จะได้รับการเปิดเผย
มลาอิกะฮฺทั้งสองไม่เคยลืมแม้ว่าคุณนั้นจะหลงลืมไป โดยได้จดบันทึกทุกๆสิ่งขณะที่คุณหลงระเริงเพลินใจ”
แปลโดย : อัสรัน นิยมเดชา / Islamhouse