เศาะฮีหฺ อัล-บุคอรีย์
ชื่อผู้เขียน
ท่านคือ อบู อับดิลลาฮฺ มุหัมมัด บิน อิสมาอีล บิน อิบรอฮีม บิน อัล-มุฆีเราะฮฺ บิน บัรดิซบะฮฺ อัล-ญุอฺฟีย์ อัล-บุคอรีย์ เกิดที่เมืองบุคอรอ รัสเซีย เมื่อปี ฮ.ศ. 194 และเสียชีวิต เมื่อปี ฮ.ศ. 256 เมื่ออายุได้ 62 ปี
สาเหตุของการเขียนและชื่อเต็มของหนังสือ
อัล-บุคอรีย์ เป็นคนแรกที่ได้คัดเลือกและรวบรวมหะดีษที่เศาะฮีหฺหรือถูกต้องเท่านั้น เขียนขึ้นเป็นตำรา ท่านได้ให้ความสำคัญกับหนังสือเล่มนี้มาก กว่าจะออกเป็นเล่มได้ท่านต้องทุ่มเทกำลังกายและกำลังใจ ทั้งกลางวันและกลางคืนเป็นเวลาถึง 16 ปีเต็ม หะดีษที่ท่านได้รวบรวมไว้เป็นยอดหะดีษที่ได้กลั่นกรองและคัดเฟ้นจากหะดีษต่างๆ กว่า 60,000 หะดีษ
เหตุผลหนึ่งที่ อัล-บุคอรีย์ มุ่งมั่นเขียนตำราเล่มนี้ขึ้นมาเพราะท่านเห็นว่าตำราหะดีษที่ถูกเขียนขึ้นมาก่อนหน้าท่านนั้น เคล้าด้วยหะดีษเศาะฮีหฺ หะสัน และเฎาะอีฟ ซึ่งทำให้คนอ่านที่ไม่ใช่นักหะดีษไม่อาจแยกแยะได้ระหว่างหะดีษเหล่านั้น ท่านได้ตั้งชื่อหนังสือว่า "อัล-ญามิอฺ อัล-มุสนัด อัศ-เศาะฮีหฺ อัล-มุคตะศ็อรฺ มิน อุมูร เราะสูลิลลาฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม วะสุนะนิฮี วะ อัยยามิฮี" หรือเป็นที่รู้จักกันในนาม "เศาะฮีหฺ อัล-บุคอรีย์"
ความสำคัญของหนังสือ
ดูจากเป้าหมายในการเขียนของอัล-บุคอรีย์แล้ว ไม่เป็นการแปลกเลยถ้าอัล-บุคอรีย์จะโด่งดังเนื่องจากหนังสืออัล-ญามิอุศเศาะฮีหฺเล่มนี้ของท่าน เพราะบรรดาอุลามาอ์ต่างมีมติเป็นเอกฉันท์ว่า "หนังสืออัล-ญามิอุศเศาะฮีหฺเป็นหนังสือที่ถูกต้องมากที่สุดหลังจากอัลกุรอาน"
จำนวนหะดีษในเศาะฮีหฺบุคอรีย์
อิบนุศ เศาะลาหฺ กล่าวว่า จำนวนหะดีษในเศาะฮีหฺอัล-บุคอรีย์มีทั้งหมด 7,275 หะดีษ ส่วนหะดีษทีไม่ซ้ำกันมีจำนวนเพียง 4,000 หะดีษ
ข้อแม้และวิธีเขียนของบุคอรีย์
อัล-บุคอรีย์ไม่ได้ระบุอย่างชัดเจนถึงข้อแม้ในการเขียนหนังสือเล่มนี้ แต่เราสามารถสัมผัสถึงข้อแม้ของท่านจากหลายๆด้าน อาทิเช่น จากการตั้งชื่อของหนังสือ จากการวิเคราะห์และติดตามการนำเสนอหะดีษของท่าน เป็นต้น ...
คำว่า "ญามิอฺ" ซึ่งแปลว่า "รวม" บ่งบอกว่าท่านไม่ได้เจาะจงเฉพาะหะดีษเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แต่ท่านได้รวบรวมหะดีษที่เกี่ยวกับ หุก่มหรือบัญญัติศาสนา ฟะฎออีลหรือความประสริฐ ประวัติศาสตร์ มุอามะลาตหรือการสังคม การซื้อขาย อาดาบหรือจริยธรรม ฯลฯ
คำว่า "อัศ-เศาะฮีหฺ" บ่งบอกว่าทุกหะดีษที่ท่านได้บันทึกในหนังสือเล่มนี้ล้วนเป็นหะดีษที่เศาะฮีหฺและถูกต้องเท่านั้น
คำว่า "อัล-มุสนัด" บ่งบอกว่าหะดีษตามข้อแม้ของท่านนั้นต้องเป็นหะดีษที่มีสายรายงานที่ต่อเนื่องกันและไม่ขาดตอนเท่านั้น ส่วนหะดีษที่เราพบว่าค้านกับข้อแม้ดังกล่าวนั้นเป็นเพียงหะดีษที่ท่านใช้ประกอบเท่านั้น
คำว่า "อัล-มุคตะศ็อรฺ" ซึ่งแปลว่า ย่อ บ่งบอกว่าท่านได้คัดเลือกและย่อหะดีษต่างๆ ที่มีอยู่ให้เหลือเพียงไม่กี่พันหะดีษดังที่ได้กล่าวมาแล้ว
คำว่า "มิน อุมูรฺ เราะสูลิลลาฮฺ...." หมายถึงจากส่วนหนึ่งของกิจการของท่านเราะสูล บ่งบอกว่า ท่านไม่ได้เจาะจงเฉพาะหะดีษที่เป็นคำพูดของท่านเราะสูลเท่านั้น แต่จะรวมถึงการกระทำและกิจวัตรประจำวันของท่านด้วย
อีกข้อแม้หนึ่งที่ทำให้หนังสือเศาะฮีหฺอัล-บุคอรีย์ โดดเด่นเหนือหนังสือเศาะฮีหฺอื่นๆ คือ อัล-บุคอรีย์ ตั้งข้อแม้ว่าท่านจะไม่บันทึกหะดีษลงในหนังสือเล่มนี้นอกจากจะแน่ใจว่านักรายงานหะดีษในสายรายงานดังกล่าวเคยพบหน้าและติดต่อกันเท่านั้น
ในสายตาของท่านคนร่วมสมัยนั้นไม่ใช่ว่าจะได้พบหน้าและติดต่อกันเสมอไป ซึ่งเป็นช่องโหว่อย่างหนึ่งที่จำนำไปสู่การโกหกในการรายงานหะดีษได้ ทำให้สถานภาพของหะดีษนั้นตกไป แต่มันเป็นข้อแม้ที่หนักและลำบากมาก ดังนั้นอุละมาอ์หะดีษส่วนใหญ่(แม้แต่มุสลิมซึ่งเป็นศิษย์ของท่าน) จึงไม่เห็นด้วยกับข้อแม้ข้อนี้ของ อัล-บุคอรีย์
การให้ความสำคัญของอุละมาอ์
เนื่องจากความประเสริฐอันล้นเหลือของหนังสือเล่มนี้ จึงทำให้บรรดาอุละมาอ์หลังจากท่านได้ให้ความสำคัญกับมันอย่างมาก
- บางท่านทำการคัดย่อเอาเฉพาะเนื้อหาของหะดีษเท่านั้นโดยตัดสายรายงานออกดังที่ อัล-มุนซิรีย์ ได้ทำไว้
- บางท่านทำการเพิ่มเติมหะดีษเศาะฮีหฺที่คิดว่าอยู่ในข้อแม้ของอัล-บุคอรีย์แต่ท่านไม่ได้ใส่ไว้ในหนังสือของท่านเล่มนี้ ดังที่ อัล-หากิม ได้เขียนไว้
และหลายท่านทำการอธิบายอย่างยาวเหยียดถึงความหมายของหะดีษและบทเรียนต่างๆ ดังที่ อิบนุ หะญัรฺ ได้ทำไว้ในหนังสือ "ฟัตหุลบารีย์" ของท่าน ซึ่งเป็นการอธิบายที่สมบูรณ์และครอบคลุมที่สุดจนมีการกล่าวขานว่า "ไม่มีการฮิจญ์เราะฮฺอีกแล้วหลังจากฟัตฮฺ" (หมายความว่า ไม่ต้องหาหนังสือเล่มอื่นอีกแล้วถ้ามีฟัตหุลบารีย์อยู่)
วัลลอฮุ อะอฺลัม .
อุษมาน อิดรีส / Islamhouse