จุดยืนของท่านอุมัร บิน คอตตอบ กับการละหมาดซุบฮฺ
โดย... ศ.ดร.อับดุลรอซซาก บินอับดุลมัวะห์ซิน อัลบัดรฺ
โอ้พี่น้องผู้มีศรัทธาที่เป็นบ่าวของอัลลอฮ์ ทั้งหลาย จงเกรงกลัวอัลเลาะห์ เถิด และจงนึกเสมอว่าพระองค์อัลเลาะห์ นั้นทรงเฝ้าดูเราอยู่เสมอ และจงรู้ว่าพระผู้อภิบาลของเรานั้นทรงได้ยินและทรงเห็นเรา
คำว่า ตักวา (ยำเกรง)ต่ออัลเลาะห์ คือ การปฏิบัติอามั้ลด้วยการเชื่อฟัง(ตออะห์)ต่ออัลเลาะห์ โดยให้อยู่ในทางนำที่มาจากอัลเลาะห์ หวังผลตอบแทนที่มาจากพระองค์ และการละทิ้งสิ่งที่เป็นการฝ่าฝืนอัลเลาะห์ตามแนวทางของพระองค์ โดยที่มีความเกรงกลัวการต่อบทลงโทษของพระองค์
โอ้พี่น้องผู้มีศรัทธา ที่เป็นบ่าวของอัลเลาะห์ทั้งหลาย ท่านอีหม่ามมาลิกได้รายงานไว้ในหนังสือ ”มุวัตเตาะ” ของท่านว่า ครั้งหนึ่งท่านอุมัรบินคอตตอบไม่เห็นท่านสุไลมาน บิน อบีฮัษมะห์ ตอนละหมาดซุบฮฺ และเมื่อ อุมัรเดินไปตลาด บ้านของสุไลมานนั้นอยู่ระหว่างทางไปตลาด
อุมัรเดินได้เห็น ชิฟาอฺ บินติ อับดิลละห์แม่ของสุไลมาน จึงถามนางว่า “ฉันไม่เห็นสุไลมานไปละหมาดซุบฮฺเลย
นางจึงบอกว่า เมื่อคืนสุไลมานละหมาดตะฮัจยุดนานจนเพลียจึงทำให้เขาหลับไป
(หมายความว่า การที่สุไลมานมาละหมาดซุบฮฺช้าก็เพราะว่าเขาละหมาดตะฮัจยุดในยามค่ำคืนจนทำให้เขาหลับไป ทำให้ไปละหมาดซุบฮฺไม่ทัน)
อุมัร จึงบอกว่า “การที่ฉันได้ไปร่วมละหมาดซุบฮฺเป็นญะมาอะห์ที่มัสยิด เป็นสิ่งที่ฉันรักมากกว่าการที่ฉันจะได้ละหมาดตะฮัจญุดทั้งคืนเสียอีก”
โอ้ พี่น้องผู้มีศรัทธาที่เป็นบ่าวของอัลเลาะห์ทั้งหลาย จงนึกถึงการตักเตือนที่ทรงคุณค่านี้ และความเข้าใจที่น่าจดจำ การตักเตือนที่ทรงคุณค่านี้ บ่าวของอัลเลาะห์ ทั้งหลาย คือ การเอาใจใส่ของท่านอุมัร ต่อการตรวจสอบว่ามีใครมาละหมาดบ้าง การดูแลเอาใจใส่ที่ท่านอุมัรมีต่อพวกเขา และการตามไปตักเตือนคนที่มาละหมาดช้า ท่านอุมัรได้ทำตามแบบอย่าง ท่านรอซู้ลของอัลเลาะห์
มีบันทึกในซุนันอบีดาวุด รายงานจาก อุบัย บิน กะบฺ รอดิยัลลอฮุอันฮุ ว่า มีอยู่วันหนึ่งหลังจากที่ท่านรอซูลนำพวกเราละหมาดซุบฮฺเสร็จแล้ว
ท่านก็กล่าวว่า “คนนั้นมาไหม ?”
บรรดาซอฮาบะห์ตอบว่า “ไม่มา”
ท่านจึงถามอีกว่า “แล้วคนนู้นมาไหม ?”
บรรดาซอฮาบะห์ก็ตอบว่า “ไม่มา”
ท่านนบี จึงกล่าวว่า
“แท้จริงการละหมาดทั้งสองนี้(ละหมาดอีชาและละหมาดซุบฮฺ)เป็นละหมาดที่พวกมุนาฟิกเกียจคล้านต่อการละหมาดนั้นมากที่สุด
ถ้าหากว่าพวกเจ้าทั้งหลายรู้ถึงผลบุญที่จะได้ สำหรับคนที่มาละหมาดทั้งสองนี้ พวกเจ้าก็จะมาละหมาดกัน
ถึงแม้ว่าพวกเจ้าจะต้องคลานมาก็ตาม”
ส่วนความเข้าใจที่น่าจดจำนั้น โอ้บ่าวของอัลเลาะห์ทั้งหลาย คือคำพูดของท่านอุมัรที่เป็นการย้ำเตือนถึงความสำคัญของละหมาดนี้ และคุณค่าของการละหมาดที่ดีเลิศ โดยที่ท่านอุมัรได้กล่าวว่า
“การที่ฉันได้ไปร่วมละหมาดซุบฮฺเป็นญะมาอะห์ที่มัสยิด เป็นสิ่งที่ฉันรักมากกว่าการที่ฉันจะได้ละหมาดตะฮัจญุดทั้งคืนเสียอีก”
สิ่งที่เราได้จากความเข้าใจของท่านอุมัร ตรงนี้ก็คือ หะดีษที่อีหม่ามมุสลิมรายงานไว้ในซอเหี๊ยะห์ของท่าน ว่า จากท่านอุษมานบินอัฟฟาน รอดิยัลลอฮุอันฮุ ได้กล่าวว่า ฉันได้ยินท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ กล่าวว่า
“ใครก็ตามที่ได้ละหมาดอีชาพร้อมกับญะมาอะห์(ที่มัสยิด) ก็เท่ากับเขานั้นได้ละหมาดตะฮัจยุดครึ่งคืน
และใครก็ตามที่ได้ละหมาดซุบฮฺพร้อมกับญะมาอะห์(ที่มัสยิด) ก็เท่ากับว่าเขานั้นได้ละหมาดทั้งคืนเลย”
โอ้พี่น้องผู้มีศรัทธาทั้งหลาย นี่คือละหมาดซุบฮฺ และนี่คือภาคผลของมัน ยิ่งไปกว่านั้นนี่เป็นเพียงส่วนเดียวจากสิ่งที่บ่งบอกถึงคุณค่า ผลตอบแทนที่เราจะได้รับ และความประเสริฐของละหมาดนี้ แล้วพวกเราล่ะ เอาใจใส่กับละหมาดซุบฮฺกันบ้างไหม ? เราได้ให้ความสำคัญกับฟัรดู(สิ่งจำเป็น)ของละหมาดซุบฮฺกันแล้วหรือยัง ? และเราจะเอาใจใส่กับการดำรงละหมาดนี้อย่างไร ? นั่นคืออุมัร ผู้ที่กล่าวคำเตือนที่น่าจดจำและสอนบทเรียนที่ยิ่งใหญ่ในช่วงบั้นปลายชีวิตสุดท้ายก่อนที่ท่านจะจากโลกนี้ไป เป็นบทเรียนที่บ่งชี้ถึงความสำคัญของละหมาดนี้
อีหม่ามมาลิกได้บันทึกไว้ในมุวัตเตาะว่า
ท่านมิสวัร บิน มัครอมะห์ ได้กล่าวว่า “ฉันได้เข้าไปหาท่านอุมัรในค่ำคืนที่ท่านอุมัรได้ถูกแทง เพื่อปลุกท่านอุมัรไปละหมาดซุบฮฺ”
ท่านอุมัรได้ตอบว่า “ใช่แล้ว ใครที่ทิ้งละหมาดก็ถือว่าเขาไม่มีสิทธิอะไรในศาสนาอิสลามเลย”
อุมัร ก็ได้ลุกขึ้นไป และละหมาดซุบฮฺในขณะที่แผลของเขานั้นมีเลือดไหลอยู่
อัลลอฮุอักบัร การละหมาดซุบฮฺนี้เป็นละหมาดที่สำคัญยิ่ง และยังเป็นละหมาดที่บรรดาซอฮาบะห์เอาใจใส่กันมาก ด้วยเหตุนี้การเอาใจใส่ การดำรงรักษาการละหมาดนี้จึงเป็นเรื่องใหญ่สำหรับบรรดาซอฮาบะห์ ถึงแม้ว่าบรรดาซอฮาบะห์จะยุ่งอยู่กับเรื่องใด หรือไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ในสภาพใดก็ตามพวกเขาก็จะดำรงรักษาละหมาดไว้ แม้กระทั่งในสนามรบที่กำลังเผชิญหน้ากับศัตรูหรืออยู่ในสมรภูมิรบก็ตาม โอ้บรรดาบ่าวของอัลเลาะห์ทั้งหลาย
ทุกวันนี้เราได้ละหมาดซุบฮฺกันอยู่หรือเปล่า ? และการละหมาดซุบฮฺของเรา เราละหมาดอย่างไร ?
โอ้บ่าวของอัลเลาะห์ เป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องทบทวนตรวจสอบตัวเองในเรื่องของการดำรงละหมาดซุบฮฺนี้ เพราะว่าใครที่ทิ้งละหมาดซุบฮฺ จะทำให้การที่เขาจะทิ้งละหมาดอื่นก็เป็นเรื่องที่ไม่ยากเลยสำหรับเขา และคนที่ทิ้งละหมาดก็ถือว่าเขาไม่มีสิทธิอะไรในอิสลามแล้ว เหมือนดังที่ท่านอุมัรได้กล่าวไว้
โอ้บ่าวของอัลเลาะห์ทั้งหลาย แท้จริงมันเป็นเรื่องใหญ่และสำคัญ แต่สมัยนี้งานของแต่ละคนก็ยุ่งแถมยังมีงานเยอะกันทั้งนั้น ท่านอุมัร ได้ตำหนิคนที่ละหมาดซุบฮฺช้าเพราะว่าเขาได้เพลียจากการละหมาดตะฮัจยุดในยามค่ำคืน แล้วถ้าท่านอุมัรมาเห็นพวกที่ละหมาดซุบฮฺช้า เพราะว่าพวกเขาไม่หลับไม่นอนตอนกลางคืนอยู่หมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่หะรอม(ต้องห้าม) และอดหลับอดนอนอยุ่กับการทำบาป และถึงแม้พวกเขาจะอดนอนอยู่กับสิ่งที่เป็นเรื่องอนุมัติก็ตาม หากว่าการละเลยจากการละหมาดซุบฮฺ เพราะว่าอดนอนเพื่อการตออัตโดยการละหมาดตะฮัจยุดในยามค่ำคืน และอ่านกุรอานนั้นเป็นสิ่งต้องห้าม(และถูกตำหนิ)แล้วไซร้ ดังนั้นกับคนที่อดหลับอดนอนในเรื่องที่อนุมัติ กับคนที่อดหลับอดนอนอยู่กับสิ่งที่หะรอมจะเป็นเช่นไร ?
โอ้บ่าวของอัลเลาะห์ ทั้งหลาย เราจะต้องตรวจสอบทบทวนตัวของเราเองก่อนที่อัลเลาะห์จะสอบสวนเรา และเราต้องชั่งการงานการปฏิบัติของเราก่อนที่การงานของเราจะถูกเอาไปชั่งในวันกิยามะห์
แปลและเรียบเรียงโดย : อบู อับดิลละห์