ข้อแตกต่างระหว่าง การอำพรางตามบทบัญญัติกับการอำพรางของชีอะห์
  จำนวนคนเข้าชม  7465

 

ข้อแตกต่างระหว่าง การอำพรางตามบทบัญญัติกับการอำพรางของชีอะห์


โดย... ดร. บาซิม อามิร


         มุสลิมบางท่านอาจคิดว่า แท้จริงการอำพรางนั้นเป็นเรื่องเฉพาะกลุ่มชีอะห์สิบสองอิหม่ามเท่านั้น แต่แท้จริงแล้วการอำพรางเป็นบทบัญญัติทางศาสนาที่มีการยืนยันอยู่ในมหาคัมภีร์ อัลกุรอาน และซุนนะห์ของท่านนบี และชาวสลัฟก็เคยปฏิบัติกัน (ขอพระองค์เมตตาท่านทั้งหลายด้วยเถิด) มาถึงคำถามที่ว่า แล้วการอำพราง(ตะกียะห์)ตามหลักการ กับการอำพราง(ตะกียะห์)ของชีอะห์นั้น เหมือนกันหรือไม่?

          คำตอบจากคำถามนี้คือ  จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องชี้แจงข้อแตกต่างระหว่างการอำพรางตามหลักการและการอำพรางของชีอะห์ จนกระทั่งให้เห็นถึงความชัดเจนว่า ทั้งสองนั้นไม่เหมือนกันเลย

          การอำพรางตามหลักการนั้นมาจาก อัลกุรอาน และซุนนะห์ของท่านนบี และสอดคล้องกับกฎเกณฑ์ของศาสนา ส่วนการอำพรางของชีอะห์นั้นรายละเอียดต่างๆ ของมันมาจากบรรดาหนังสือในกลุ่มของพวกเขาที่ยึดถือกัน และนำมาปฏิบัติ

          ฉันได้คัดลอกคำพูดต่างๆมาจากต้นฉบับในหนังสือต่างๆของพวกเขา เพื่อที่จะมายืนยันสิ่งดังกล่าว เพราะจำเป็นที่จะชี้ให้เห็นถึงสิ่งแรกคือ พื้นฐานในการอำพรางจาก พระดำรัสของพระองค์อัลลอฮ์ ในกุรอาน

“ผู้ศรัทธาทั้งหลาย จงอย่าได้ยึดเอาบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาเป็นมิตรอื่นจากบรรดามุมิน และผู้ใดกระทำเช่นนั้น เขาย่อมไม่อยู่ในสิ่งใดที่มาจากอัลลอฮ์

นอกจากพวกเจ้าจะป้องกัน (ให้พ้นอันตราย) จากพวกเขาจริง ๆ เท่านั้น

และอัลลอฮ์ทรงเตือนพวกเจ้าให้ยำเกรงพระองค์ และยังอัลลอฮ์นั้นคือการกลับไป(ของพวกเจ้า)

[آل عمران: 28]

          ท่านอิหม่าม อัลบะฆอวีย์ กล่าวไว้ว่า ความหมายของอายะห์นี้แท้จริงพระองค์อัลลอฮ์  ทรงห้ามบรรดาผู้ศรัทธาจากการให้ความรัก ความช่วยเหลือ ความไว้ใจ ต่อบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา และยังห้ามจากการหลอกลวงอำพรางต่อพวกเขา และยังห้ามจากการแสดงความปลื้มปิติยินดีกับพวกเขา เว้นแต่ว่าบรรดาผู้ปฏิเสธได้รับชัยชนะอย่างชัดเจน หรือผู้ศรัทธาตกอยู่ในเมืองของผู้ปฏิเสธศรัทธาและเกรงว่าจะเกิดอันตรายกับตัวเอง

          ดังนั้นจึงจะอนุญาตให้เขาแสร้งใช้วาจาที่เป็นมิตรหรือแสดงความรักกับพวกเขา ในสภาพที่หัวใจของเขาหนักแน่นในการอิหม่านต่อัลลอฮ์ เพื่อเป็นการปกป้องตัวเอง เพื่อไม่ให้เลือดที่ต้องห้ามกลายเป็นสิ่งที่อนุมัติ และเพื่อที่จะไม่ให้ทรัพย์สินที่ต้องห้ามกลายเป็นสิ่งที่อนุมัติ และเพื่อไม่ให้บรรดากุฟฟารเปิดเผยสิ่งพึงสงวนของบรรดามุสลิม และการอำพรางนั้นจะไม่เกิดขึ้นเว้นแต่ในสถานการณ์ที่คับขันและเกรงว่าจะถูกสังหาร และต้องมีเจตนาที่ดีงาม

 


ต่อไปนี้ก็คือการชี้แจงข้อแตกต่างระกว่างการอำพรางตามหลักการกับการอำพรางของชีอะห์

 

1. การอำพรางตามบทบัญญัติ เป็นส่วนหนึ่งจากเรื่องปลีกย่อยของศาสนา ไม่ได้เป็นหลักของศาสนา

         ส่วนการอำพรางของชีอะห์ คือ รากฐานของศาสนาชีอะฮ์ เป็นความเชื่อที่จำเป็น และมันคือ ศาสนาของพวกเขา และไม่มีการอีหม่านเลย ถ้าหากไม่มีการอำพราง สำหรับชีอะฮ์

 ตามที่ชีอะฮ์ได้กล่าวอ้างว่า ท่านญะอ์ฟัร อัซซอดิก กล่าวว่า

“แท้จริง เก้าสิบแขนงของศาสนาคือ การตะกียะห์(อำพรางตน) และไม่มีศาสนาสำหรับผู้ไม่มีการอำพรางตน”

และกล่าวอ้างอีกว่า 

“การอำพรางตนเป็นศาสนาของฉัน และศาสนาของบรรพบุรุษของฉัน และไม่มีอีหม่านเลยสำหรับผู้ไม่มีการอำพรางตน”

และอ้างอีกเช่นกัน

 “หากท่านกล่าวว่า แท้จริงผู้ทิ้งการอำพรางตนเหมือนกับคนทิ้งละหมาด ท่านคือผู้สัจจริง”

ชีอะฮ์ได้กล่าวอ้างว่าท่าน อาลี บุตรของมูซา อัรริฏอ กล่าวว่า

“ไม่มีอีหม่านใดๆเลย สำหรับผู้ที่ไม่มีการอำพรางตน และแท้จริงผู้ที่มีเกียรติที่สุดในหมู่ของพวกท่าน ณ ที่อัลลอฮ์ คือผู้ที่ทำการอำพรางตนอย่างเป็นนิจสิน

มีคนกล่าวแก่เขาว่า (การอำพรางตน)จะมีไปจนถึงเมื่อไหร่?

เขากล่าวว่า ตราบจนถึงวันกิยามะห์ คือวันที่ผู้นำของเขาจะมา และดังนั้นใครที่ทิ้งการอำพรางตน ก่อนวันที่ผู้นำจะปรากฏตัว เขาไม่ใช่พวกของเรา”

 

2. การอำพรางตนตามหลักการ ที่จริงแล้วจะถูกนำไปใช้กับผู้ปฏิเสธ(ในยามคับขัน ผู้แปล)ไม่ใช่นำมาใช้กับผู้ศรัทธา

การอำพรางตามบทบัญญัตินั้น  มักจะใช้กับผู้ปฏิเสธศรัทธา ดังที่มีหลักฐานชัดเจนจากอัลกุรอาน

“ผู้ศรัทธาทั้งหลายนั้น จงอย่าได้ยึดเอาบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาเป็นมิตรอื่นจากบรรดามุมิน และผู้ใดกระทำเช่นนั้น เขาย่อมไม่อยู่ในสิ่งใดที่มาจากอัลลอฮ์

นอกจากพวกเจ้าจะป้องกัน (ให้พ้นอันตราย) จากพวกเขาจริง ๆ เท่านั้น

และอัลลอฮ์ทรงเตือนพวกเจ้าให้ยำเกรงพระองค์ และยังอัลลอฮ์นั้นคือการกลับไป (ของพวกเจ้า)

[آل عمران: 28]

จากอายะห์นี้ มาในสำนวนที่พูดถึงผู้ปฏิเสธศรัทธา

    - ท่านอิบนุญะรีร กล่าวว่า การอำพรางที่พระองค์อัลลอฮ์ ตรัสไว้ ในอายะห์นี้คือ การอำพรางต่อผู้ปฏิเสธศรัทธา ไม่มีใครอื่นจากพวกเขา

     - ท่านสะอี๊ด บุตรของ ญะรีร กล่าวว่า ในอิสลามไม่มีการอำพรางตน นอกเสียแต่ว่า ในสงครามเท่านั้น

     - ท่านรอซีย์ กล่าวว่า การอำพรางตน แท้ที่จริงจะเกิดขึ้นเมื่อชายคนหนึ่งตกอยู่ในกลุ่มผู้ปฏิเสธและเกรงว่าพวกเขาจะทำอันตรายจนถึงแก่ชีวิต และทรัพย์สิน ดังนั้นเขาจึงใช้วาจาที่อ่อนโยนต่อผู้ปฏิเสธ เพื่อไม่แสดงถึงวาจาที่ก้าวร้าวและเป็นศัตรู  ทว่าอนุญาติอีกเช่นกัน การแสดงวาจาที่ดูคล้ายกับว่าเป็นการแสดงความรักและเป็นมิตรกับผู้ปฏิเสธศรัธา ด้วยกับเงื่อนไขที่ว่า ในใจจะต้องไม่คิดเช่นนั้น ไม่คิดเหมือนกับทุกสิ่งที่เขาได้กล่าวไป เพราะแท้จริงการอำพรางนั้นมีผลแค่เพียงภายนอก ไม่ใช่ในเรื่องของหัวใจ

       ส่วนการอำพรางของชีอะห์ คือ เจาะจงปฏิบัติกับชาวซุนนะห์ ดังนั้น ท่านฮุร อัลอามิลีย์ จึงได้จัดไว้ในหนังสือของเขา บทหนึ่งว่าด้วยเรื่องความจำเป็นในการใช้ชีวิตร่วมกับบุคคลทั่วไป(หมายถึงชาวซุนนะห์)ด้วยกับการอำพรางตน

     - พวกชีอะฮ์ยังอ้างไปถึงท่าน อะบี อับดิลละห์ ว่าท่านได้กล่าวว่า “ผู้ใดละหมาดกับพวกเขา หมายถึง( ชาวซุนนะห์) ในแถวแรก  เปรียบเสมือนว่าเขาละหมาดพร้อมกับท่านร่อซูลในแถวแรก”สาเหตุเพราะ แท้จริงพวกชีอะห์เห็นว่า ชาวซุนนะห์นั้นเป็นกาฟิร เพียงเพราะว่าพวกเขาไม่ศรัทธาต่ออิหม่ามสิบสอง

     - อิบนุ บาบาไวฮ์ กล่าวว่า  หลักความเชื่อของพวกเขาคือ ผู้ใดปฏิเสธต่อการเป็นผู้นำของอะมีรุลมุมินีน(อาลี ร่อฏิยัลลอฮุอันฮุ่ ผู้แปล) และอิหม่ามทั้งหลายหลังจากเขา แท้จริงเขานั้นเท่ากับว่าเป็นผู้ปฏิเสธต่อการเป็นนบีของบรรดานบีทั้งหลาย และอีกหลักความเชื่อคือ ผู้ที่ยอมรับ ต่ออะมีรุลมุมินีน(อาลี ร่อฏิยัลลอฮุอันฮู่ ผู้แปล) แต่ปฏิเสธอิหม่ามคนหนึ่งคนใดหลังจากท่านอาลี ก็เท่ากับว่าเขาคนนั้นคือผู้ศรัทธาต่อบรรดานบีทั้งหมด หลังจากนั้น กลับปฏิเสธการเป็นนบีของ มุฮัมหมัด

     - อัตตูซีได้กล่าวว่า  การต่อต้านการเป็นผู้นำ(อิหม่ามสิบสอง ผู้แปล) เป็นการฟิร เช่นเดียวกับ การต่อต้าน การเป็นนบี ก็เป็นกาฟิร และคนที่ไม่รู้(โง่เขลา)ต่อสิ่งทั้งสอง ก็ไม่ต่างอะไรกันเลย

 

3. การอำพรางตามบทบัญญัติ คือ ข้อผ่อนผัน ไม่ใช่ความจำเป็น

          การอำพรางตามบทบัญญัติ มาเพื่อเป็นข้อผ่อนผัน และผ่อนปรนแก่ประชาชาติอิสลามในสถานการณ์คับขัน และไม่เป็นไรถ้าผู้ใดจะละทิ้งข้อผ่อนผันนี้แล้วยึดเอาความจำเป็น ทว่าบรรดานักวิชาการกล่าวว่า แท้จริงผู้ยึดเอาความจำเป็น(เด็ดเดี่ยว)จนประสบกับภัยดังกล่าวนั้นถือว่าประเสริฐกว่า

     - ท่าน อิบนุ บัตฏอล กล่าวไว้ว่า เป็นมติเอกฉันท์ต่อการที่ผู้หนึ่งถูกบังคับให้กระทำการปฏิเสธศรัทธา และเขาเลือกที่ถูกฆ่า แท้จริงแล้วเขาจะได้ผลบุญที่ยิ่งใหญ่เหลือเกิน ณ ที่อัลลอฮ์

     - ท่านรอซีย์กล่าวว่า หากว่าเขานั้นเปิดเผยการศรัทธาและสัจธรรม โดยที่อนุญาตให้เขาทำการอำพราง สิ่งนั้นย่อมประเสริฐกว่า

     - บรรดาลูกศิษย์ของท่าน อบี ฮนีฟะห์กล่าวว่า การอำพรางนั้น เป็นข้อผ่อนผันจากอัลลอฮ์ และการทิ้งมันนั้น ดีกว่า ถ้าหากถูกบังคับให้ทำการปฏิเสธ และเขาฝ่าฝืนไม่ทำ จนกระทั่งถูกฆ่า มันคือสิ่งที่ประเสริฐทีสุดในสิ่งที่เขาได้เปิดเผยแสดงให้เห็น และเช่นเดียวกันกับทุกๆการงาน ที่เป็นเรื่องการเทิดทูนศาสนา ดังนั้นการนำมามันมาไว้ก่อน(คือการพูดจริง) จนกระทั่งเขาถูกฆ่าตาย ดังกล่าวนั้นประเสริฐกว่าการที่เขาจะยึดเอาข้อผ่อนผัน(มาใช้ก่อน ผู้แปล)

     - จากอิหม่าม อะห์มัด ในวันที่ท่านถูกทดสอบในเรื่องอัลกุรอานคือสิ่งถูกสร้าง ท่านถูกถามว่า หากเอาดาบวางไว้ที่คอท่าน ท่านจะตอบไหม ท่านกล่าวว่า  ไม่ และท่านกล่าวอีกว่า เมื่อผู้รู้ ตอบไปเพียงเพื่ออำพราง คนไม่รู้ก็จะคงความไม่รู้อยู่อย่างนั้น ดังนั้นเมื่อไหร่ล่ะ ที่สัจธรรมจะปรากฏเสียที ?
   
          ส่วนการอำพรางของชีอะห์  คือ ความจำเป็นที่ต้องยึด ไม่มีทางเลือก ถึงแม้จะสามารถละทิ้งมันได้ และไม่มีข้อแตกต่างในการใช้มัน  ระหว่างการถูกบังคับ หรือเกิดภาวะคับขัน หรือระหว่างเหตุการณ์ปกติ หรือมีทางเลือก

     - อิบนุ บาบาไวฮ์ คือผู้หนึ่ง จาก อิหม่ามของพวกเขา กล่าวว่า  การอำพรางนั้น เป็นวาญิบ ไม่อนุญาตให้ยกเลิกมัน จนถึงวันที่ผู้นำเราปรากฏตัว และผู้ใดละทิ้งมันก่อนวันที่ผู้นำปรากฏตัว แน่นอนเขาได้ออกจากศาสนาของอัลลอฮ์แล้ว และออกจากศาสนาของอิมามียะห์ และเขาคือผู้ขัดแย้งต่ออัลลอฮ์ต่อร่อซุล ต่อบรรดาอิหม่ามทั้งหลาย

 

4. การอำพรางตามบทบัญญัติ ถูกใช้ในสภาพที่อ่อนแอ ไม่ใช่ในสภาพที่เข้มแข็ง

          การอำพรางตามบทบัญญัติให้ทำได้ในสภาพที่อ่อนแอ ไม่ใช่ในทุกสภาพการณ์ ท่านมุอาซ บุตรของ ญะบัล และท่านมุญาฮิด กล่าวว่า การอำพรางเกิดขึ้นในช่วงแรกก่อนที่ศาสนาอิสลามและเหล่ามุสลิมจะเข้มแข็ง ส่วนปัจจุจันนี้ พระองค์อัลลอฮ์  ได้ทำให้อิสลามสูงส่ง ดังนั้นจึงไม่สมควรที่บรรดามุสลิมจะทำการอำพรางจากศัตรูของพวกเขา

          ส่วนการอำพรางของชีอะห์ คือให้ทำได้ทุกสภาพการณ์ โดยไม่มีข้อยกเว้น และไม่มีข้อแตกต่างระหว่างสภาพที่เข็มแข็งหรือ อ่อนแอ พวกเขาอ้าง ท่านอิหม่าม อัซซอดิก ว่า ไม่ใช่พวกของเราผู้ทีไม่ทำให้การอำพราง นั้นเป็นสัญลักษณ์ของเขาและเป็นเครื่องประดับแก่ตัวของเขา ทั้งกับคนที่เขาคิดว่าไม่มีพิษมีภัย และทำให้เป็นนิสัยกับคนที่เขาระวังอยู่

 

5. การอำพรางตามบทบัญญัติ เกิดขึ้นจากคำพูดไม่ใช่การกระทำ

          การอำพรางตามบทบัญญัติแท้จริงแล้วเกิดจากคำพูด ไม่ใช่จากการกระทำ ท่านอิบนุอับบาส ร่อฏิยัลลอฮูอันฮุ่กล่าวว่า การอำพรางไม่ใช่ด้วยการกระทำ แต่แท้ที่จริงการอำพรางด้วยกับคำพูดเท่านั้น  ท่านอะบุลอาลียะห์ ท่านอะบุชชะอ์ซาอ์ ท่านเฏาะฮาก ท่านร่อเบี้ยะอ์ บุตรของอนัส ต่างก็ได้กล่าวสำทับเอาไว้ด้วยกับพระดำรัสของอัลลอฮ์ ว่า

“ผู้ใดปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์หลังจากที่เขาได้รับศรัทธาแล้ว(เขาจะได้รับความกริ้วจากอัลลอฮ์)

  เว้นแต่ผู้ที่ถูกบังคับทั้งๆ ที่หัวใจของเขาเปี่ยมไปด้วยศรัทธา (1)

แต่ผู้ใดเปิดหัวอกของเขาด้วยการปฏิเสธศรัทธา พวกเขาก็จะได้รับความกริ้วจากอัลลอฮ์และสำหรับพวกเขาจะได้รับการลงโทษอย่างมหันต์”

[النحل: 106]

(1)  ผู้ใดกล่าวคำปฏิเสธศรัทธาโดยถูกบังคับ ทั้งๆ ที่หัวใจของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยการอีมาน นักตัฟซีรกล่าวว่า อายะฮ์นี้ถูกประทานลงมาเนื่องเพราะอัมมาร อิบนุยาซิร ถูกพวกเมุซริกูนนำไปทรมาน จนกระทั่วเขายอมทำตามที่พวกเมุชริกูนต้องการโดยถูกบังคับมหาชนพากันกล่าวว่า อัมมารปฏิเสธศรัทธาแล้ว ท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า แท้จริงอัมมารยังมีอีมานอย่างสมบูรณ์ตั้งแต่ศรีษะจรดเท้าของเขา การอีมานเข้าไปปะปนอยู่กับเลือดและเนื้อของเขา อัมมารได้มาหาท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม โดยที่เขาร้องไห้ท่านร่อซูลได้ถามเขาว่า ท่านพบหัวใจของท่านเป็นอย่างไร? อัมมารตอบว่ามั่นคงด้วยการอีมานร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า ถ้าพวกเขากลับมาทำอีก ท่านก็จงทำเช่นนั้น

จากท่านอิบนุอับบาส กล่าวไว้เกี่ยวกับ อายะห์ของอัลลอฮ์  ที่ว่า

 إِلَّا أَنْ تَتَّقُوا مِنْهُمْ تُقَاةً    [آل عمران: 28]  “นอกจากพวกเจ้าจะป้องกัน (ให้พ้นอันตราย) จากพวกเขาจริง ๆ เท่านั้น”

         อัตตุกอฮ์(การปกป้องให้พ้นอันตราย) หมายถึง การกล่าวด้วยกับลิ้น แต่หัวใจยังยึดมั่นด้วยกับอิหม่าน(ต่ออัลลอฮ์อย่างเปี่ยมล้น) โดยที่ไม่ต้องยื่นมือออกไปเพื่อให้ถูกฆ่า และไม่ต้องทำบาป เพราะแท้จริงไม่มีทางออกใดๆสำหรับเขา

- ท่านฮะซัน กล่าวถึงชายคนหนึ่งว่า ได้มีคนกล่าวแก่เขาว่า  จงสุญูดต่อรูปปั้นสิ ถ้ามิเช่นนั้น เราจะฆ่าท่านเสีย

          ท่านฮะซันจึงกล่าวเรื่องนี้ว่า หากรูปปั้นอยู่ทางทิศกิบละห์ดังนั้นก็ให้เขาจงสุญูดลงไป และตั้งเจตนาของเขาเพื่ออัลลอฮ์ แต่หากว่ามันไม่ได้หันไปทางกิบละห์ก็จงอย่าได้สุญูด

- ท่านอิบนุ ฮะบีบ กล่าวว่า นี่คือคำพูดที่สวยงาม

- ท่านกอฏีกล่าวว่า ไม่มีสิ่งใดมาขัดขวางเขาไม่ให้ตั้งเจตนาเพื่ออัลลอฮ์ ถึงแม้จะไม่ได้หันไปทางกิบละห์ ด้วยกับดำรัสของพระองค์อัลลอฮ์

﴿ فَأَيْنَمَا تُوَلُّوا فَثَمَّ وَجْهُ اللَّهِ ﴾ [البقرة: 115]،  “ดังนั้นพวกเจ้าจะผินไปทางไหน ที่นั่นแหละคือพระพักตร์ของอัลลอฮ์”

          เพราะว่าบทบัญญัติอิสลามนั้นอนุญาตให้ละหมาดซุนนะห์สำหรับผู้เดินทางโดยที่ไม่หันไปทางทิศกิบละห์ได้

          ส่วนการอำพรางของชีอะห์ มาจากทั้งคำพูดและการกระทำ และทุกประการที่สามารถที่จะทำได้ จนกระทั่ง อิบาดะห์ต่างๆของพวกเขา และพวกเขาถือว่าการอำพรางเป็นหลักยึดถือ ดั่งที่เราได้ทราบกันดี และ เก้าสิบแขนงของศาสนาชีอะฮ์ คือ การอำพราง

 

6. การอำพรางตามบทบัญญัติ  ไม่อนุญาตให้มุสลิมทำเป็นนิจสินในทุกสภาพการณ์

          การอำพรางตามบทบัญญัติ แท้ที่จริงเป็นข้อผ่อนผัน ไม่อนุญาติยึดเป็นหลักการปฏิบัติแก่มุสลิมในทุกอิริยาบท  ดร.อัลกอฟารีย์ กล่าวว่า การอำพรางในศาสนาอิสลาม ศาสนาแห่งความพยายามในการเรียกร้องเชิญชวน ไม่ควรแสดงมันจนกลายเป็นหลักสูตรตายตัวจนกลายเป็นนิสัยของมุสลิม และไม่ควรให้มันเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของสังคมมุสลิม แต่ทว่าส่วนใหญ่แล้วในเรื่องการอำพรางนั้น จะเกิดขึ้นฉพาะเหตุการณ์ส่วนบุคคลที่เป็นบางช่วงเวลาเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาคับขัน และเกี่ยวโยงกับความอ่อนแอที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรืออพยพหลบหนีไปไหนได้  ก็ควรให้มันหมดไปด้วยกับการที่ไม่มีการกดขี่ข่มเหงเกิดขึ้น

          ส่วนการอำพรางของชีอะห์นั้น จำเป็นที่จะต้องมีอยู่ตลอดเวลา และใช้ได้ในทุกสภาพการณ์ ดังนั้นเราจะพบว่า จากร่องรอยของการอำพรางของชีอะฮ์จะทำให้เกิดการโกหก และแผ่ขยายในหมู่ผู้ที่ยึดถือมัซฮับอิหม่ามสิบสองอย่างมากมาย แท้จริงนักวิชาการฮะดิษนั้น รับการรายงานของผู้ที่ทำบิดอะห์บางส่วน ยกเว้นพวกชีอะห์สิบสองอิหม่าม เพราะเหตุที่ว่าพวกเขานั้น โกหกกันอย่างแพร่หลาย

- ท่านมาลิกถูกถามเกี่ยวกับกลุ่มรอฟิเฏาะห์ ท่านตอบว่า “อย่าพูดถึงพวกเขา อย่ารายงานอะไรจากเขา เพราะพวกเขาชอบโกหก”

- ท่านอิหม่าม ชาฟีอีย์ กล่าวว่า ฉันไม่เคยเห็นใครที่เป็นพยานเท็จยิ่งไปกว่าพวกรอฟิเฏาะห์

- ท่านยะซีด บุตรของฮารูน กล่าวว่า  ถูกบันทึกจากคนทำบิดอะห์ทุกคน ตราบที่ยังไม่ใช่เป็นระดับผู้เผยแพร่ ยกเว้นพวกรอฟิเฏาะห์ เพราะพวกเขาเป็นผู้ที่โกหก

- ท่านชะรีก อัลกอฏี กล่าวว่า ฉันรับความรู้จากทุกคนที่ฉันได้พบเจอ ยกเว้น พวกรอฟิเฏาะห์ เพราะว่าพวกเขานั้น ชอบกุฮะดิษขึ้นมาแล้วก็ยึดเอามาเป็นหลักศาสนา

       - ท่านอิหม่าม อิบนุตัยมียะห์ ได้กล่าวแสดงความเห็นในคำพูดนี้ว่า  และชะรีกคนนี้ คือ ชะรีก บุตรของ อับดุลลอฮ์ อัลกอฏี เป็นผู้ตัดสินอยู่ที่เมืองกูฟะ เป็นผู้ได้รับมุมมองความรู้จาก ท่านเซารีย์และอะบูฮะนีฟะห์ และเขา(ชะรีก)เป็นหนึ่งจากชีอะห์ที่กล่าวออกมาจากปากเขาเองว่า ฉันคือ ชีอะห์ และนี่คือสิ่งยืนยันจากเขา ถึงเหล่าชีอะห์ทั้งหลาย

       - ท่านอิหม่าม อิบนุตัยมียะห์ กล่าวว่า แน่นอนว่าบรรดานักวิชาการต่างเห็นพ้องกันถึงการถ่ายทอด การรายงาน และสายรายงาน ถึงพวกรอฟิเฏาะห์ว่า เป็นกลุ่มที่โกหกที่สุด และการโกหกของพวกนั้นมีมายาวนาน และด้วยเหตุนี้แหละที่บรรดาผู้นำอิสลามทั้งหลายต่างรู้ถึงจุดเด่นของพวกชีอะฮ์เลยว่า เป็นผู้ที่โกหกเก่งที่สุด

       - ท่านอิบนุตัยมียะห์ยังกล่าวไว้อีกว่า ส่วนรอฟิเฏาะห์นั้น พื้นฐานของการอุตริของพวกเขาคือ ความนอกรีดและการไร้ซึ่งศาสนา ตั้งใจที่จะโกหกอย่างแพร่หลายในหมู่พวกเขา และยอมรับในเรื่องดังกล่าว โดยที่กล่าวกันว่า การอำพรางคือศาสนาชีอะฮ์ และการที่คนๆหนึ่งกล่าวสิ่งใดออกมาจากลิ้นของเขาแต่ไม่ตรงกับสิ่งที่ใจคิดไว้นั้น นั่นเรียกว่าการโกหก หรือการหน้าไหว้หลังหลอก และพวกชีอะฮ์ คือกลุ่มดังกล่าว

 

7. การอำพรางตามบทบัญญัตินั้น ไม่ได้เป็นสื่อเพื่อที่จะทำให้ศาสนาสูงส่ง

         การอำพรางไม่ได้ทำให้ศาสนานั้นสูงส่ง แต่ทว่าสิ่งที่จะทำให้ศาสนาสูงส่ง ต้องเป็นสิ่งที่ถูกนำมาให้ประจักษ์แก่มวลชน ดังที่พระองค์อัลลอฮ์  ตรัสไว้ว่า


 “พระองค์คือผู้ทรงส่งร่อซูลของพระองค์พร้อมด้วยแนวทางที่ถูกต้องและศาสนาแห่งสัจธรรม

เพื่อพระองค์จะทรงให้ศาสนา (ของพระองค์) นั้นประจักษ์แจ้งเหนือศาสนาอื่นทั้งมวล และพอเพียงแล้วที่อัลลอฮฺทรงเป็นพยาน”

[الفتح: 28]

          ส่วนการอำพรางของชีอะห์ คือเพื่อการทำให้ศาสนาของพวกเขานั้นสูงส่ง ดังนั้นศาสนาของชีอะห์ กี่มากน้อยแล้วที่คนเหล่านี้เชื่อว่า ศาสนาจะไม่สูงส่งเว้นแต่ต้องปิดบังซ่อนเร้น ดังที่พวกเขากล่าวอ้างจาก อะบูอับดุลลอฮ์ ว่า แท้จริงพวกท่านทั้งหลายอยู่บนศาสนาที่หากใครปกปิดมัน อัลลอฮ์ก็จะให้เขาสูงส่ง และถ้าหากว่าใครเปิดเผยมัน อัลลอฮ์จะให้เขาตกต่ำ

 

          จากสิ่งที่ได้กล่าวมาข้างต้นทั้งหมดได้ชี้แจงแล้วว่า แท้จริงการอำพรางตามบทบัญญัตินั้นแตกต่างกับการอำพรางของชีอะห์อย่างสิ้นเชิง โดยที่การอำพรางตามบทบัญญัติมาเพื่อเป็นข้อยกเว้นในบางกรณีที่คับขันเท่านั้น เช่น การถูกบังคับ และการอำพรางตามบทบัญญัติ จะถูกนำมาใช้ปฏิบัติกับผู้ปฏิเสธศรัทธา  ไม่ใช่กับผู้ศรัทธา เหมือนกับอายะห์ที่ทรงเกียรติในซูเราะห์อาลิอิมรอน และการอำพรางตามบทบัญญัติ ไม่ใช่เป็นรากฐานหลักของศาสนาที่ใครก็ตามทิ้งมันแล้วเขาจะไม่ถูกตัดสินว่าเป็นกาฟิรหรือหลุดพ้นจากความเป็นมุสลิม

ส่วนการอำพรางของชีอะห์ คือหลักการของศาสนา

- ไม่มีศาสนาสำหรับบุคคลทีไม่มีการอำพรางสำหรับพวกเขา

- การอำพรางของชีอะห์จะทำได้ในทุกสถานะการณ์โดยที่ไม่มีการแยกแยะเลย ไม่ว่าระหว่างสถานะการณ์คับขันหรือเหตุการณ์ปกติธรรมดาทั่วไป

- การอำพรางของพวกชีอะห์จะเจาะจงใช้เฉพาะกับกลุ่มอะลุซซุนนะห์วัลญะมาอะห์เท่านั้น

 


          สรุป ไม่อนุญาตให้นำเอาสิ่งที่เป็นบทบัญญัติไปทำให้เหมือนกับสิ่งที่พวกนอกรีตยึดถือปฏิบัติกัน ดังที่ไม่มีการแสดงให้เห็นเลยถึงข้อแตกต่างระหว่างการอำพรางของพวกชีอะห์กับการโกหก และการหน้าไหว้หลังหลอก ไม่มีเลยจริงๆ

         สุดท้าย ขอดุอาจากเอกองค์อัลลอฮ์ ผู้ทรงสูงส่ง ผู้ทรงสามารถ ทรงปกป้องพวกเราจากความหลงผิด และทำให้เรายึดมั่นต่อหลักการตามกิตาบุลลอฮ์และซุนนะห์ของท่านนบี

 

 

 


ที่มา :  http://saaid.net/bahoth/152.htm 

แปลและเรียบเรียงโดย  อบูชีส