ชีวประวัติของท่านมุศอับ บิน อุมัยรฺ
ดร.อะมีน บิน อับดุลลอฮฺ อัช-ชะกอวีย์
มวลการสรรเสริญเป็นสิทธิ์ของอัลลอฮฺ ขอความสุขความจำเริญ และศานติจงประสบแด่ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ฉันขอปฏิญาณว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺเพียงองค์เดียว ไม่มีภาคีใดๆ สำหรับพระองค์ และฉันขอปฏิญาณว่ามุหัมมัดเป็นบ่าวของอัลลอฮฺและเป็นศาสนทูตของพระองค์
ที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้คือชีวประวัติของวีรบุรุษและบุคคลสำคัญท่านหนึ่งแห่งประชาชาติอิสลาม ท่านคือสหายผู้ทรงเกียรติของท่านนบี ชีวประวัติของท่านเต็มไปด้วยบทเรียนและข้อคิดที่ควรยึดถือเป็นแบบอย่าง
ท่านเป็นผู้ที่เข้ารับอิสลามคนแรกๆ ได้ร่วมรบในสมรภูมิบัดรฺและอุหุด โดยในครั้งหลังท่านทำหน้าที่ถือธงศึก ท่านเข้าร่วมการอพยพทั้งสองครั้ง กล่าวคือการอพยพครั้งแรกไปยังหะบะชะฮฺ (อบิสซิเนีย-ปัจจุบันคือประเทศเอธิโอเปีย) และการอพยพครั้งที่สองไปยังมะดีนะฮฺ ผู้คนหลายสิบคนเข้ารับอิสลามต่อหน้าท่าน นอกจากนี้ ท่านยังเป็นทูตคนแรกในอิสลาม และว่ากันว่าท่านนี่แหละคือคนแรกที่นำละหมาดวันศุกร์ ณ เมืองมะดีนะฮฺ ใช่แล้ว วีรบุรุษที่เรากำลังพูดถึงนั้นคือ ท่านมุศอับ บินอุมัยรฺ บิน ฮิชาม อัล-บัดรีย์ อัล-กุเราะชีย์ อัล-อับดะรีย์ นั่นเอง
อิบนุ สะอฺด์ กล่าวในหนังสือเฏาะบะกอตของท่านว่า
"เมื่อมุศอับ บิน อุมัยรฺ ทราบข่าวว่าท่านเราะสูล ได้เชิญชวนไปสู่อิสลามโดยใช้บ้านของ อัล-อัรก็อม บิน อัล-อัรก็อม เป็นที่มั่น ท่านก็เดินทางไปพบและเข้ารับอิสลาม หลังจากนั้นท่านก็ออกจากบ้านหลังดังกล่าว แต่ยังคงเก็บสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความลับมิให้ใครรู้ เพราะกลัวกระแสต่อต้านจากมารดาและพวกพ้องของท่าน ในระหว่างนั้นท่านได้ไปหาท่านเราะสูล อย่างเงียบๆ ทั้งนี้ ท่านเข้ารับอิสลามในช่วงสามปีแรกของการเริ่มต้นเชิญชวนสู่อิสลาม ก่อนที่ท่านนบี จะประกาศอิสลามอย่างเปิดเผย แต่ทว่าเมื่อพวกมุชริกีนบางคนทราบข่าวการเข้ารับอิสลามของท่าน พวกเขาก็รีบรุดไปแจ้งข่าว ดังกล่าวแก่มารดาและญาติพี่น้องของท่าน ไม่ต่างจากที่อัลลอฮฺ ตะอาลาตรัสไว้ว่า:
"พวกเขาชอบหากว่าพวกเจ้าจะปฏิเสธศรัทธา ดังที่พวกเขาได้ปฏิเสธ พวกเจ้าจะได้กลายเป็นผู้ที่เท่าเทียมกัน"
(อันนิสาอ์: 89)
เมื่อพวกเขาเหล่านั้นทราบข่าวก็โกรธแค้นไม่พอใจ และจับท่านขังโดยล่ามพันธนาการไว้ ท่านถูกจองจำอยู่เช่นนั้นชั่วเวลาหนึ่ง ก่อนที่จะหลบหนีและอพยพไปยังอบิสซิเนีย เพื่อธำรงไว้ซึ่งศาสนา"
(เฏาะบะกอต อิบนิ สะอฺด์ เล่ม 3 หน้า 116)
มุศอับ บิน อุมัยรฺ นั้นเป็นเด็กหนุ่มชาวมักกะฮฺที่ได้รับการเลี้ยงดูฟูมฟักอย่างดีในครอบครัวที่มีอันจะกิน มารดาของท่านถือเป็นหนึ่งในผู้ที่ร่ำรวยมั่งคั่งที่สุดในเมือง นางสรรหาเสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวยงามมีราคาให้ท่านสวมใส่ ทำให้มุศอับเป็นที่รู้จักว่าเป็นผู้ที่มีกลิ่นหอมที่สุดในหมู่ชาวมักกะฮฺ เมื่อท่านเข้ารับอิสลาม ท่านก็ได้ละทิ้งสิ่งดังกล่าวทั้งหมด และยังถูกกักขังทรมานกระทั่งสีผิวเปลี่ยนไป และร่างกายทรุดโทรมหนัก
มีรายงานหะดีษซึ่งบันทึกโดยอัล-บุคอรียฺ จากท่านค็อบบาบ บิน อัล-อะร็อต เราะฎิยัลลอฮุอันฮฺ เล่าว่า
"พวกเราเคยร้องทุกข์ต่อท่านเราะสูล ขณะที่ท่านนอนหนุนเสื้อคลุมของท่านใต้ร่มเงากะอฺบะฮฺ โดยพวกเรากล่าวแก่ท่านว่า: ท่านจะไม่วิงวอนขอให้อัลลอฮฺทรงช่วยเหลือพวกเราบ้างหรือครับ?"
ซึ่งท่านกล่าวตอบว่า:
"บางคนจากประชาชาติก่อนหน้าพวกท่านอาจถูกขุดหลุมฝัง แล้วถูกผ่ากลางจากศีรษะแยกร่างออกเป็นสองส่วนด้วยเลื่อย แต่สิ่งนั้นก็มิอาจทำให้เขาละทิ้งศาสนาของเขา และอาจถูกกรีดแทงด้วยหวีเหล็ก ซึ่งทิ่มทะลุเนื้อเข้าไปถึงกระดูกและเส้นประสาท แต่สิ่งนั้นก็ไม่ทำให้เขาละทิ้งศาสนาของเขาเลย ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ พระองค์จะทรงให้ศาสนานี้ผงาดขึ้นอย่างสมบูรณ์และยิ่งใหญ่ กระทั่งว่าผู้ที่เดินทางจากเมืองศ็อนอาอ์ (ซานา - ในเยเมน) ถึงเมืองหัฎเราะเมาต์ (ในเยเมน) จะเดินทางได้อย่างปลอดภัย โดยที่เขาไม่เกรงกลัวสิ่งใดนอกจากอัลลอฮฺ หรือเพียงแต่เกรงว่าหมาป่าจะกัดกินฝูงแกะของเขา แต่พวกท่านนั้นเร่งรีบไปเอง"
(หะดีษเลขที่ 3612)
อิบนุ อิสหาก กล่าวว่า
"ท่านเราะสูล ได้ส่งมุศอับ บิน อุมัยรฺ ไปพร้อมกับกลุ่มชาว มะดีนะฮฺจำนวนสิบสองคนที่ได้เข้ารับอิสลามและให้สัตยาบันต่อท่านในเหตุการณ์ 'อะเกาะบะฮฺ' ครั้งแรก เพื่อให้ท่านทำการสอนอัลกุรอานและหลักการศาสนาแก่ชาวมะดีนะฮฺ โดยในระหว่างนั้นท่านได้อาศัยบ้านของ อัสอัด บิน ซุรอเราะฮฺ เป็นที่พักพิง ผู้คนในมะดีนะฮฺจึงพากันเรียกขานท่านว่า 'อัล-มุกริอ์' (ผู้สอนอัลกุรอานและวิชาการศาสนา) และว่ากันว่าท่านคือผู้นำละหมาดวันศุกร์ ณ เมืองมะดีนะฮฺเป็นครั้งแรก อุสัยด์ บิน หุฎ็อยรฺ และ สะอฺด์ บิน มุอาซ ซึ่งเป็นผู้นำในเผ่าของท่านทั้งสอง ต่างก็เข้ารับอิสลามต่อหน้าท่าน เพียงเท่านี้ก็ถือเป็นความภาคภูมิใจและเป็นผลงานที่สำคัญยิ่งในอิสลาม"
(อ้างจาก อุสดุลฆอบะฮฺ ของอิบนุล อะษีรฺ เล่ม 4 หน้า 134)
ท่านอัล-บะรออ์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮฺ กล่าวว่า
"คนกลุ่มแรกที่เดินทางมาถึงพวกเราคือ มุศอับ บิน อุมัยรฺ และ อิบนุ อุมมิ มักตูม ทั้งสองได้สอนให้ผู้คนอ่านอัลกุรอาน หลังจากนั้น บิลาล, สะอฺด์ และอัมมารฺ บิน ยาสิรฺ ก็เดินทางมาถึง ตามด้วย อุมัรฺ บิน อัล-ค็อฏฏอบ ซึ่งมาพร้อมกับเศาะหาบะฮฺจำนวนยี่สิบท่าน หลังจากนั้นท่านนบี ก็เดินทางมาถึง ซึ่งฉันไม่เคยเห็นชาวมะดีนะฮฺมีความปีติยินดีกับสิ่งใดมากไปกว่าการมาถึงของท่าน แม้กระทั่งบรรดาทาสีต่างก็พากันโจษจันว่า 'ท่านเราะสูลุลลอฮฺมาแล้ว' จำได้ว่าตอนที่ท่านมาถึงนั้น ฉันได้ศึกษาสูเราะฮฺ ِك ۡ ﴿ سبِّحِ ٱسۡم ر َّۡ ﴾ ١ ٱ และอีกหลายสูเราะฮฺที่เป็น อัล-มุฟัศศ็อล (สูเราะฮฺในญุซท้ายๆที่แต่ละ อายะฮฺจะค่อนข้างสั้น) ไปแล้ว"
(บันทึกโดย อัล-บุคอรียฺหะดีษเลขที่ 3925)
เมื่อเกิดสงครามอุหุดในปีฮิจญ์เราะฮฺศักราชที่สาม ท่านมุศอับ บิน อุมัยรฺ ก็เป็นผู้หนึ่งที่ได้ร่วมรบเยี่ยงวีรบุรุษ และได้ต่อสู้อย่างสุดความสามารถด้วยความศรัทธาและความอดทนที่เปี่ยมล้น โดยท่านนบี ได้มอบหมายให้ท่านเป็นผู้ถือธงศึกของทัพมุสลิม ซึ่งท่านก็ได้ยืนหยัดอย่างมั่นคงเคียงข้างเหล่าทหารหาญผู้ศรัทธากล้า เพื่อคอยปกป้องท่านนบี จากข้าศึกศัตรูในช่วงเวลาวิกฤตที่พวกมุชริกีนพลิกกลับเป็นฝ่ายคุมเกม มุศอับกำธงศึกไว้แน่น ในขณะที่พวกมุชริกีนต่างประดังเข้าหาธงดังกล่าว ทันใดนั้น อิบนุ เกาะมิอะฮฺ (ขออัลลอฮฺทรงลงโทษเขาอย่างสาสม) ก็รุกคืบเข้าหามุศอับอย่างรวดเร็วและฟันแขนขวาท่านขาดสะบั้น โดยที่ท่านยังคงอ่านทวนดำรัสของอัลลอฮฺที่ว่า:
"และมุหัมมัดนั้นหาใช่อื่นใดไม่ นอกจากเป็นเราะสูลผู้หนึ่งเท่านั้น ซึ่งบรรดาเราะสูลก่อนจากเขาก็ได้ล่วงลับไปแล้ว
แล้วหากเขาตายไปหรือเขาถูกฆ่าก็ตาม พวกเจ้าก็หันส้นเท้าของพวกเจ้ากลับกระนั้นหรือ? และผู้ใดที่หันส้นเท้าทั้งสองของเขากลับแล้วไซร้
มันก็จะไม่ก่อให้เกิดอันตรายแก่อัลลอฮฺแต่อย่างใดเลย และอัลลอฮฺนั้นจะทรงตอบแทนแก่ผู้กตัญญูทั้งหลาย"
(อาล อิมรอน: 144)
ท่านจึงคว้าธงขึ้นชูด้วยมือข้างซ้าย พลันอิบนุ เกาะมิอะฮฺคนเดิมก็ฟันแขนซ้ายท่านจนขาดอีก แต่ท่านก็ยังโอบอุ้มธงไว้ด้วยต้นแขนและหน้าอกของท่าน ก่อนที่จะถูกจู่โจมอีกครั้งด้วยหอกซึ่งพุ่งทะลุกลางอก ท่านจึงล้มพับลงสิ้นใจในสภาพชะฮีดคากองเลือดที่เจิ่งนอง อัลลอฮฺตะอาลา ตรัสว่า:
“ในหมู่ผู้ศรัทธามีบุรุษผู้มีสัจจะต่อสิ่งที่พวกเขาได้สัญญาต่ออัลลอฮฺเอาไว้ ดังนั้นในหมู่พวกเขามีผู้ปฏิบัติตามสัญญาของเขา
และในหมู่พวกเขามีผู้ที่ยังคอย (การตายชะฮีด) และพวกเขามิได้เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด”
(อัล-อะหฺซาบ: 23)
มีปรากฏในรายงานซึ่งบันทึกโดยอัล-บุคอรียฺ จากอบูวาอิล เล่าว่า พวกเราเคยไปเยี่ยมท่านค็อบบาบ แล้วท่านเล่าว่า
“พวกเราอพยพพร้อมกับท่านนบี โดยหวังในความพึงพอพระทัยของอัลลอฮฺ แล้วพระองค์ก็ทรงให้รางวัลพวกเราด้วยความสุขสบายบางส่วนในโลกนี้ แต่พวกเราบางคนก็ได้จากไปโดยที่เขายังไม่ได้รับรางวัลของเขาในโลกนี้เลยแม้แต่น้อย เช่น มุศอับ บิน อุมัยรฺ ผู้ซึ่งถูกสังหารในสงครามอุหุดโดยทิ้งไว้แต่เพียงผ้านุ่งผืนเดียว เมื่อเราพยายามห่อตัวเขาโดยปิดส่วนศีรษะ ส่วนเท้าก็โผล่ออก และเมื่อเราพยายามปิดส่วนเท้าของเขา ผ้าที่มีก็คลุมไม่มิดถึงศีรษะ ท่านเราะสูล จึงสั่งให้พวกเราปิดส่วนศีรษะของเขา ในส่วนของเท้าท่านให้ปิดคลุมด้วยตะไคร้หอม”
(หะดีษเลขที่ 3897)
ท่านมุศอับ บิน อุมัยรฺ จากโลกนี้ไปในสภาพของชะฮีด โดยมิได้ทิ้งสิ่งใดจากความสำราญแห่งโลกดุนยาไว้เบื้องหลังเลยแม้แต่น้อย ท่านได้ละทิ้งทรัพย์สินเงินทอง อำนาจบารมี และความสุขสบาย แล้วเลือกเอาสิ่งที่อัลลอฮฺทรงเตรียมไว้ให้ พระองค์ตรัสว่า:
“สิ่งที่อยู่กับพวกเจ้าย่อมอันตรธาน และสิ่งที่อยู่กับอัลลอฮฺนั้นย่อมจีรัง”
(อันนะหฺล์: 96)
ท่านอบูเกาะตาดะฮฺ และอบูอัดดะฮฺมาอ์ เล่าว่าท่านนบี กล่าวว่า:
"แท้จริงท่านจะไม่ละทิ้งสิ่งใดเพื่ออัลลอฮฺ นอกจากอัลลอฮฺจะทรงให้สิ่งที่ดีกว่าแก่ท่าน เป็นการทดแทนสิ่งที่ท่านละทิ้งไป"
(บันทึกโดยอะหฺมัด หะดีษเลขที่ 23074)
ขออัลลอฮฺทรงพอพระทัยในตัวท่านมุศอับ ขอพระองค์ตอบแทนท่านอย่างดีงามที่สุด ในสิ่งที่ท่านได้ทำไว้เพื่ออิสลามและชาวมุสลิม และขอพระองค์ทรงให้เราได้อยู่ร่วมกับท่านในสรวงสวรรค์อันมีเกียรติของพระองค์ พร้อมๆ กับบรรดานบี บรรดาผู้มีคุณธรรมมีสัจจะ และผู้ที่ตายชะฮีดในหนทางของพระองค์ด้วยเถิด แท้จริงพวกเขาเหล่านั้นคือสหายที่ประเสริฐอย่างหาที่เปรียบมิได้อีกแล้ว
แปลโดย : อัสรัน นิยมเดชา / Islamhouse