การสูญเสียที่ยิ่งใหญ่และรุนแรงที่สุด
เชค อับดุรร็อซซาก บิน อับดุลมัวฮ์ซิน อัลบะดัร
โอ้บรรดาผู้ศรัทธาผู้เป็นบ่าวของอัลลอฮ์ทั้งหลาย จงยำเกรงต่ออัลลอฮ์เถิด เพราะแท้จริงผู้ใดที่ยำเกรงต่ออัลลอฮ์ พระองค์จะปกป้องเขา และจะชี้แนะแนวทางให้เขาไปสู่ความดีงามจากการงานทั้งหลาย ทั้งในด้านศาสนาและในโลกดุนยา
โอ้บ่าวของอัลลอฮ์เอ๋ย ข่าวการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ และภัยพิบัติที่ใหญ่ยิ่งได้ผ่านพ้นเราไปอย่างรวดเร็ว นั่นคือวันที่ท่านนบี เสียชีวิต มันคือวันที่ นายแห่งลูกหลานอาดัม ผู้นำแห่งบรรดาผู้ได้รับทางนำ ผู้เรียกร้องสู่สัจธรรมได้เสียชีวิตลง มันคือภัยพิบัติแห่งความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ ท่านนบี ได้กล่าวอธิบายถึงภัยพิบัติและการงานที่ยิ่งใหญ่นี้ว่า
“ผู้ใดที่ภัยพิบัติใดได้ประสบกับเขา ดังนั้นเขาจงรำลึกภัยพิบัติที่เกี่ยวกับตัวของฉัน เพราะมันคือภัยพิบัติที่ยิ่งใหญ่ที่สุด”
โอ้บ่าวของอัลลอฮ์เอ๋ย แท้จริงภัยพิบัติที่ยิ่งใหญ่และรุนแรงที่สุดนั่นคือ การสูญเสียท่านนบี ด้วยกับการจากไปของท่านนบี ผู้ทรงเกียรติ ผู้ที่พระองค์อัลลอฮ์ให้ความโปรดปรานแก่อุมมะห์นี้โดยการแต่งตั้งท่านเพื่อที่จะมาเป็นผู้นำทางมนุษยชาติไปสู่สวงสวรรค์ และเป็นหัวหน้านำไปสู่ความประเสริฐ อีกทั้งยังเป็นผู้นำไปสู่ความดีงาม
“โดยแน่นอน ในร่อซูลของอัลลอฮฺมีแบบฉบับอันดีงามสำหรับพวกเจ้าแล้ว สำหรับผู้ที่หวัง (จะพบ) อัลลอฮฺและวันปรโลกและรำลึกถึงอัลลอฮฺอย่างมาก”
(อัลอะห์ซาบ 21)
บ่าวของอัลลอฮ์ทั้งหลายเอ๋ย นี่คือเหตุการณ์ครั้งยิ่งใหญ่ ที่มีข้อคิดข้อเตือนใจและบทเรียนอย่างมากมาย จำเป็นที่บ่าวผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์จะต้องฉุกคิดต่อเหตุการณ์นั้น มันอาจเป็นแค่สิ่งหนึ่งจากบทเรียนต่างๆที่ผ่านเราไป แต่อีกจุดยืนหนึ่งของผู้ศรัทธา มันคือบทเรียนที่ยิ่งใหญ่ คือข้อคิดที่กินใจจากเหตุการณ์ครั้งสำคัญ
และการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่นี้ สิ่งที่ได้ปรากฏคือ การละหมาดครั้งสุดท้ายที่ท่านร่อซูล ได้นำละหมาดนั่นคือ เวลาซุฮ์ริของวันพฤหัส หลังจากนั้นท่านร่อซูล ก็ล้มป่วยและความเจ็บป่วยได้ทวีความรุนแรงขึ้น ผ่านไปสามวันท่านไม่สามารถที่ออกมานำละหมาดเนื่องจากความเจ็บปวดที่รุนแรง ตั้งแต่วันศุกร์ เสาร์และอาทิตย์ ผู้ที่เป็นอิหม่ามนำละหมาดให้แก่บรรดามุสลิมีนทั้งหลายแทนท่านรอซูล คือ ท่าน อะบูบักร อัศศิกดีก ร่อฏิยัลลอฮู่อันฮู
บ่าวผู้ศรัทธาทั้งหลายจงพิจารณ์เหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่นี้ จากสิ่งที่บันทึกไว้ในหนังสือซ่อเฮียะห์ของอิหม่ามบุคอรีย์ รายงานโดยอนัส บุตรของมาลิก ร่อฏิยัลลอฮู่อันฮู่ว่า
“แท้จริงท่านอะบูบักรได้นำละหมาดให้แก่พวกเขาในขณะที่ท่านนบี ล้มเจ็บด้วยกับอาการที่คร่าชีวิตท่าน จนกระทั่งมาถึงวันจันทร์ ในขณะที่พวกเขาต่างอยู่ในแถวละหมาดนั้น ท่านนบีได้เปิดม่านในห้องของท่านชะเง้อยืนมองดูเราอยู่ ใบหน้าของท่านขาวราวกระดาษ จากนั้นท่านยิ้มกริ่มพรางหัวเราะ เราจึงคิดกันว่า(บรรดาซอฮาบะห์)คงจะถูกทดสอบจากการดีใจด้วยการเห็นท่านนบี ท่านอบูบักรจึงถอยหลังเพื่อที่ให้ท่านนบี ขึ้นมายังแถวเพราะคิดว่าท่านนบี นั้นจะออกมาทำการละหมาด แต่ท่านนบี ชี้มายังเราว่าให้ละหมาดกันให้ต่อให้เสร็จแล้วท่านก็ปิดม่านลง และท่านได้เสียชีวิตในวันนั้น”
โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย บรรดาประชาชาติอิสลาม ประชาชาติของมุฮัมหมัด ฉุกคิดสักนิด พิจารณา ไตร่ตรองกันเถิด ชายผู้นั้นคือ นบีของเรา
ดั่งมีรายงานในหนังสือซ่อเฮียะห์ของอิหม่ามบุคคอรีย์ว่า
ท่านนบี ได้มองอุมมะห์ของท่านในมัสยิดซึ่งเป็นการมองอำลา ท่านได้มองดั่งแก้วตาดวงใจ และแน่นอนการละหมาดคือ แก้วตาดวงใจของท่านนบี และพระองค์ได้ให้ดวงตาของท่านนั้นอิ่มเอมในเช้าวันที่ท่านเสียชีวิต โดยการให้ท่านได้เห็นประชาชาติของท่านรวมตัวกันในมัสยิดเพื่อการละหมาด ท่านถึงกับยิ้มพรางหัวเราะ ด้วยความปลื้มปิติดีใจ ด้วยกับความรักและความภาคภูมิใจ ในการที่ท่านเห็นประชาชาติของท่านรวมตัวกันในมัสยิดเพื่อจะละหมาด และท่านนบี ได้ปิดม่านลง ดวงตาที่อิ่มเอมกับภาพที่ปลื้มปิติยินดี ประชาชาติอิสลาม ประชาชาติมุฮัมหมัด รวมตัวกันในมัสยิดเพื่อละหมาด พระองค์อัลลอฮ์ให้ท่านได้เห็นภาพที่สุขใจนี้ ท่านถึงกับยิ้มพรางหัวเราะด้วยกับความปลื้มปิติ อิ่มตาอิ่มใจกับภาพอันผาสุข
คำสั่งใช้ในการละหมาดนั้นไม่ได้จำกัดขอบเขตอยู่แค่ช่วงท้ายของชีวิตของท่านเท่านั้น ดังที่ท่านอาลี ร่อฏิยัลลอฮุอันฮู่ ทีมีรายงานจากอิหม่ามอะห์มัด ในการบันทึกของท่านว่า
”คำพูดสุดท้ายของท่านนบี คือ ละหมาด ละหมาด และพวกท่านจงยำเกรงต่อสิ่งที่มือขวาของพวกท่านครอบครองมันอยู่”
แต่ทว่า มีรายงานที่เน้นหนักกว่า ที่มีบันทึกจากอิบนุมาญะ ในสุนันของท่าน โดยรายงานจาก ท่านอนัสว่า
“การสั่งเสียทั้งหมดของท่าน ขณะที่ท่านกำลังจะสิ้นลม ท่านกล่าวย้ำไปย้ำมา คือ การละหมาด และสิ่งที่มือขวาของท่านครอบครอง”
และยังมีอีกรายงานหนึ่งของ
“อุมมุสะละมะห์ ภรรยาของท่านนบี กล่าวว่า แท้จริงการสั่งเสียทั้งหมดของท่านนบี ก่อนที่ท่านจะเสียชีวิตนั้นคือ ละหมาด ละหมาด และสิ่งที่มือขวาของพวกท่านครอบครอง จนกระทั่งท่านเริ่มพูดเสียงอยู่ในลำคอ และพูดอยู่อย่างนั้นไม่หยุด”
โอ้บ่าวของอัลลอฮ์ นี่คือสิ่งที่บ่งบอกถึง ตำแหน่งทิ่ยิ่งใหญ่ของการละหมาดในอิสลาม และเป็นคำสั่งเสียของนบี ของเรา และใครก็ตามที่อ่านฮะดิษที่ทรงเกียรติของท่านนบี และคำสั่งเสียต่างๆที่สวยงามในชีวิตของท่านทั้งหมด เขาก็จะรู้ถึงคุณค่าของการละหมาดและตำแหน่งของมันในศาสนาอิสลาม
จากกิจการของการละหมาดและตำแหน่งของมัน แท้จริงการละหมาดนั้นถูกเจาะจงจากสิ่งที่อยู่ระหว่างข้อบังคับและการเชื่อฟังทั้งหมด พระองค์อัลลอฮ์ได้ยกนบี ของพระองค์ไปยังฟากฟ้าชั้นที่เจ็ด และให้รับบทบัญญัติเกี่ยวกับการละหมาด จากเบื้องบนเจ็ดชั้นฟ้า และท่านได้ยินคำสั่งนั้นจากอัลลอฮ์โดยตรง โดยถูกกำหนดให้ละหมาดถึงห้าสิบเวลา ท่านก็ได้ขอผ่อนผันต่ออัลลอฮ์ให้ลดลง จึงประทานการผ่อนปรนลงมาจนเหลือห้าเวลา แต่ห้าเวลาในจำนวนได้ผลบุญถึงห้าสิบเท่า
ท่านนบี ถูกยกขึ้นไปบนฟากฟ้า เพื่อรับการละหมาดบนชั้นฟ้าชั้นที่เจ็ด ในขณะที่การเชื่อฟัง ข้อบังคับและอิบาดะห์ต่างๆ จะมีท่านญิบรีลคอยนำลงมาและคอยชี้แจงแก่ท่านนบี ถึงสิ่งที่ถูกวฮี(โองการ)แก่ท่าน บ่าวของอัลลอฮ์ทั้งหลาย นี่คือสิ่งที่มายืนยันและชี้แจงให้เราเห็นถึงตำแหน่งของการละหมาด
เป็นสิ่งที่น่าเสียใจที่มีคนบางกลุ่ม ทำค่ำคืนอิสรออ์และเมียะอ์รอจ เป็นคืนแห่งการจัดงานเฉลิมฉลอง อ่านบทกลอนและมีการร่ายกลอน ใครกันที่สั่งใช้พวกเขาในสิ่งนี้ ? และใครที่เรียกร้องพวกเขาเพื่อสิ่งนี้ ?
พวกเขาอยู่จุดไหนจากกิจการคืนเมียะอ์รอจและสิ่งที่ได้มาจากข้อคิด ข้อเตือนใจที่ยิ่งใหญ่และคำสั่งที่ใหญ่ยิ่งด้วยกับการรักษาการละหมาด !
และท่านจะเห็นว่า บางส่วนของพวกเขานั้น ละเลยการละหมาด เพิกเฉยต่อการละหมาด แต่ทว่าเขาไม่เคยพลาดการจัดงานเฉลิมฉลองที่เป็นอุตริกรรมเลย !
เราอยู่จุดไหน โอ้ประชาชาติอิสลาม จากการปฏิบัติตาม จากสัจธรรมความจริงในการนำร่อซูล มาเป็นแบบอย่าง !
เราอยู่จุดไหน โอ้ประชาชาติอิสลาม จากการละหมาด !
เราอยู่จุดไหน โอ้ประชาชาติอิสลาม จากการยิ้มพรางหัวเราะของท่านนบี และจากการมองด้วยความปลื้มปิติของท่านนบี ที่เห็นประชาชาติของท่านรวมตัวเพื่อทำการละหมาด !
แท้จริงความรักที่แท้จริงต่อท่านร่อซูล จะแสดงออกมาด้วยกับการปฏิบัติตาม และนำแบบอย่างมาปฏิบัติตามแนวทางของท่านนบี ดังนั้นการที่จะแสดงออกถึงความรักต่อท่านนบี ไม่ใช่แค่การจัดงานเฉลิมฉลอง หรือ อุตริกรรมเจาะจงปฏิบัติในฤดูการใดฤดูกาลหนึ่ง หรืออื่น ๆ จนทำให้พี่น้องบางกลุ่มมีความเชื่อมั่นว่า แท้จริงการแสดงความรักต่อท่านนบี คือการจัดงานเฉลิมฉลองให้แก่ท่าน ขอสาบานต่ออัลลอฮ์อย่างแท้จริงเลยว่า หากการจัดงานเฉลิมฉลองมันคือการแสดงออกถึงความรักต่อท่านนบี แล้วไซร้ แน่นอนบรรดาเหล่าซอฮาบะห์ผู้มีเกรียติ และบรรดาผู้ติดตามคนเหล่านั้นต้องรีบรุดปฏิบัติก่อนเราอย่างแน่นอน แต่ทว่าเหล่าซอฮาบะห์ และผู้ปฏิบัติตามท่าน ไม่เคยมีใครยึดถือปฏิบัติสิ่งดังกล่าวเลย ทั้งที่พวกเขาคือผู้ที่ยึดแบบอย่างและแบบฉบับของท่านร่อซูล มากที่สุด
โอ้ บ่าวของอัลลอฮ์เอ๋ย”ละหมาด ละหมาด” คำสั่งเสียจากนบี ของพวกท่าน เป็นสิ่งสุดท้ายที่ได้ยิน
โอ้บรรดาผู้รักนบี ทั้งหลายเอ๋ย “ละหมาด ละหมาด” มันคือคำสั่งเสียแด่พวกท่าน มันคือพันธสัญญายังท่านทั้งหลาย
มีบันทึกในมุสนัดอะห์มัดซึ่งเป็นสายรายงานที่ดี ว่าแท้จริงการละหมาดถูกกล่าวถึงโดยท่านนบี ในวันหนึ่งว่า
“ใครก็ตามที่รักษาละหมาด การละหมาดจะเป็นรัศมี จะเป็นหลักฐานยืนยัน จะเป็นสิ่งปกป้องเขาในวันกิยามะห์
และใครก็ตามไม่รักษาการละหมาด การละหมาดก็จะไม่เป็นรัศมีให้แก่เขา ไม่เป็นหลักฐานยืนยันให้แก่เขา ไม่เป็นเกราะป้องกันให้แก่เขา
และในวันกิยามะห์เขาจะได้อยู่กับ กอรูน ฟิรอูน ฮามาน และอุบัย บินคอลัฟ”
หมายความว่า ผู้ที่ละทิ้งการละหมาดไม่รักษาการละหมาดถูกฟื้นคืนชีพมาพร้อมกับ บรรดาหัวโจกของผู้ปฏิเสธ (ขอพระองค์อัลลอฮ์คุ้มครองเราจากสิ่งเหล่านั้นด้วยเถิด)
จากซ่อเฮียะห์มุสลิม รายงานจาก ญาบิร บุตรของอับดุลลอฮ์ ขออัลลอฮ์พอพระทัยท่านทั้งสอง จากท่านนบี กล่าวว่า
“ระหว่างชายคนหนึ่งกับการตั้งภาคี และกับการปฏิเสธ มันคือ การละทิ้งละหมาด”
มีบันทึกในมุสนัดอีกว่า ท่านนบี มุฮัมมัด กล่าวว่า
“พันธสัญญาซึ่งอยู่ระหว่างเรา(ผู้ศรัทธา)กับพวกเขา(ผู้ปฏิเสธ)คือ การละหมาด ผู้ใดทิ้งมัน แน่นอนเขาได้ปฏิเสธแล้ว”
มีบันทึกในหนังสือ ซ่อเฮียะห์บุคอรีย์ อีกว่า จากท่านนบี กล่าวว่า
“ ผู้ใดละหมาดตามการละหมาดของเรา และผินหน้าไปทางกิบละห์ของเรา และกินสัตว์เชือดของเรา(ตามแนวทางของเรา)
ดังกล่าวนั้นถือว่าเขาเป็นมุสลิมที่ได้รับความคุ้มครองดูแลจากอัลลอฮ์และร่อซูล
ดังนั้นท่านทั้งหลายจงอย่าผิดสัญญาต่ออัลลอฮ์ในการดูแลคุ้มครองบ่าวของพระองค์”
โอ้บ่าวของอัลลอฮ์ นี่คืออีกตัวอย่างหนึ่งที่มาชี้แจงให้แก่เราเกี่ยวกับตำแหน่งที่สูงส่งของการละหมาด และความเอาใจใส่อย่างมุ่งมั่นของบรรดาซอฮาบะห์ (ขอพระองค์อัลลอฮ์พอพระทัยพวกเขา) มีบันทึกจากอิหม่ามมุสลิม รายงานจาก อิบนุมัสอู๊ด กล่าวว่า
“ใครที่ปลื้มปิติยินดีที่จะพบกับอัลลอฮ์ในวันพรุ่งนี้(วันกิยามะห์)ในสภาพที่เป็นผู้ยอมจำนน ดังนั้นเขาจะต้องรักษาการละหมาดทั้งหลายที่ไหนก็ตามที่ถูกเรียกร้องไปยังมัน เพราะแท้จริงพระองค์อัลลอฮ์ได้วางบทบัญญัติแก่นบี ของพวกท่านเป็นแบบอย่างแห่งทางนำ และการละหมาดมันคือส่วนหนึ่งจากแบบอย่างแห่งทางนำ และหากพวกท่านละหมาดในบ้านของพวกท่านเฉกเช่นคนที่ล่าช้าต่อการละหมาดที่เขาได้ละหมาดในบ้านของพวกเขา แน่นอนพวกท่านได้ทิ้งแบบอย่างนบี ของท่านแล้ว และหากพวกท่านทิ้งแบบอย่างนบี ของพวกท่าน พวกท่านก็หลงทาง(หลงผิด)
ไม่มีชายคนใดที่ทำน้ำละหมาดอย่างดีและเดินไปมัสยิด เว้นแต่ว่า พระองค์อัลลอฮ์จะบันทึกให้แก่เขาทุกๆก้าวเป็นความดี และยกสถานะให้แก่เขา และลบบาปให้แก่เขา(จากทุกก้าว) และฉันเห็นในหมู่ของพวกเรา(เหล่าซอฮาบะห์)ไม่เคยล่าช้าจากการละหมาด (ที่มัสยิด) เว้นแต่พวกกลับกลอก และชายคนหนึ่งจะถูกเพื่อนอีกสองคนชักชวนกันไปจนกระทั่งเขาไปยืนอยู่ในแถวละหมาด”
ดังนั้นท่านทั้งหลายจงพิจารณาแบบอย่างที่สวยงาม และสภาพที่ทรงเกียรติที่บรรดาเหล่าซอฮาบะห์ได้ยึดถือปฏิบัติ ที่พวกเขาได้ยึดแบบอย่างมาจากท่านนบี และพวกเขาต่างประจักษ์ชัดต่อคำสั่งเสียของท่านนบี และพวกเขาปฏิบัติตามและยึดเป็นแบบอย่าง อย่างแท้จริง ปรากฏว่าในหมู่พวกเขานั้นจะชักชวนกันกันไปละหมาดที่มัสยิดโดยจะมีชายสองคนเดินประกบทั้งซ้ายขวาเพื่อที่จะพาเพื่อนเขาให้ไปมัสยิดจนอยู่ในแถวละหมาด ในขณะที่ความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในหมู่มวลมนุษย์จำนวนไม่น้อย ที่ตราชั่งการละหมาดของเขานั้นยังเบาบาง เนื่องจากมัวแต่หมกมุ่นอยู่กับการงานที่ต่ำต้อยและด้อยค่า
พึงรู้เถิด และจงยำเกรงต่ออัลลอฮ์ โอ้บ่าวของอัลลอฮ์ พึงรู้เถิด และจงยำเกรงต่ออัลลอฮ์ ในการละหมาด จงรักษามัน จงยืนหยัดต่อการละหมาด จงเอาใจใส่ต่อสิ่งที่เป็นเงื่อนไข ความจำเป็นต่างๆ กฏเกณฑ์ต่างๆในการละหมาดเถิด เพราะการละหมาด คือสิ่งแรกที่บ่าวจะถูกสอบถามในวันกิยามะห์ เมื่อมันถูกตอบรับ การงานทั้งหมดก็จะถูกตอบรับ เมื่อไม่ถูกตอบรับการงานอื่นก็ไม่ถูกตอบรับ ดั่งที่มีคำสอนจากท่านนบี ที่มีความหมายดังต่อไปนี้ว่า
“คนฉลาด (โอ้บ่าวของอัลลอฮ์) คือคนที่ สอบสวนตัวเองและทำในสิ่งที่ยังประโยชน์ต่อชีวิตหลังความตาย และ
คนโง่เขลา คือคนที่ตามอารมณ์(ใฝ่ต่ำ) และหวังต่ออัลลอฮ์(ซึ่งเป็นความหวังลมๆแล้งๆ)”
โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลายเอ๋ย จงยำเกรงต่ออัลลอฮ์เถิด จงยำเกรงต่ออัลลอฮ์ผู้ทรงสูงส่ง ผู้ปฏิบัติตามนบีและผู้ที่รักนบี ทั้งหลายจงยำเกรงต่ออัลลอฮ์เถิด จงยำเกรงในคำสั่งเสียนี้ และจงรำลึกนึกถึงคำพูดของท่านนบี ในช่วงสุดท้ายแห่งชีวิตของท่านในวันที่ท่านจะอำลา ท่านได้เน้นย้ำคำพูดที่ว่า “ละหมาด ละหมาด” ขอพระองค์อัลลอฮ์โปรดทรงทำให้เราเป็นผู้ดำรงละหมาด เป็นผู้หนึ่งจากผู้ที่ปฏิบัติตามท่านนบี และโปรดทรงให้เราฟื้นคืนชีพขึ้นมาพร้อมกับท่านนบี ด้วยเถิด
สุดท้ายฉันได้กล่าวด้วยถ้อยคำนี้ ขอพระองค์อัลลอฮ์ทรงโปรดประทานอภัยต่อฉันและต่อพี่น้องมุสลิมทั้งหลาย จากความผิดบาป และท่านทั้งหลายก็จงขอประทานอภัยจากพระองค์ และพระองค์คือผู้ทรงให้อภัย
ที่มา : www.al-badr.net
แปลและเรียบเรียงโดย... อบูชีส