การมีจรรยามารยาทที่ดีต่อเพื่อนมนุษย์
โดย : ฟะฎีละตุชเชค มุฮัมมัด บินซอและห์ อัลหุษัยมีน
ประการที่สอง : การมีจรรยามารยาทดีในการปฏิบัติต่อเพื่อนมนุษย์
การมีจรรยามารยาทที่ดีนั้น คือ การงดเว้นการกระทำที่เป็นอันตราย การทุ่มเทแจกจ่าย และการมีใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
• ข้อที่หนึ่ง : การงดเว้นการกระทำที่เป็นอันตราย
หมายถึง บุคคลผู้นั้นจะต้องไม่เป็นพิษเป็นภัย ไม่ว่าจะทางด้านทรัพย์สินหรือชีวิตร่างกาย หรือเกียรติยศชื่อเสียงของเพื่อนมนุษย์ ดังนั้นใครที่ไม่งดเว้นการกระทำที่เป็นอันตรายต่อเพื่อนมนุษย์ เขาเป็นผู้ที่ยังไม่มีจรรยามารยาทที่ดีงาม หากแต่จะเป็นคนที่นับว่ามีจรรยามารยาทที่ต่ำทราม
แท้จริงแล้วท่านร่อซูล ได้ประกาศห้ามดังกล่าวนั้น ในที่ชุมชนที่สำคัญยิ่งครั้งหนึ่ง ณ ที่นั้นบรรดาประชาชาติของท่านรวมกันอยู่ ท่านได้ประกาศว่า :
“แท้จริงเลือดเนื้อของพวกท่าน ทรัพย์สินของพวกท่านเกียรติยศชื่อเสียงของพวกท่านเป็นที่ต้องห้าม
เช่น การต้องห้ามในวันของพวกท่านวันนี้ ในเดือนของพวกท่านเดือนนี้ และในบ้านเมืองของพวกท่านนี้”
ดังนั้น หากมีคนหนึ่งคนใดรุกรานคนอื่นโดยการเอาทรัพย์สินรุกรานคนอื่นโดยการหลอกลวง รุกรานคนอื่นด้วยการฉ้อโกงหลอกลวงรุกรานคนอื่นด้วยการตบตีและทำร้าย หรือการด่าทอนินทาว่าร้ายด้วยสิ่งเป็นเท็จ คนประเภทนี้คือ ผู้ที่ขาดการมีจรรยามารยาทที่ดีงามกับเพื่อนมนุษย์ เพราะเขาไม่งดเว้นการกระทำที่เป็นอันตรายต่อเพื่อนมนุษย์เป็นบาปที่ยิ่งใหญ่จากการกระทำนั้น เพราะแต่ละครั้งที่ไปกระทำกับคนที่มีสิทธิอย่างหนึ่งจากท่าน โทษหรือบาปก็จะยิ่งใหญ่มาก เช่น การประพฤติไม่ดีต่อบิดามารดา จะมีบาปใหญ่ยิ่งกว่าการการะทำไม่ดีต่อคนอื่นมาก หรือการกระทำไม่ดีต่อญาติพี่น้องที่ใกล้ชิด จะมีบาปใหญ่กว่าการกระทำไม่ดีต่อคนที่ห่างไกลออกไป หรือการกระทำไม่ดีต่อเพื่อนบ้านใกล้ชิด จะเป็นบาปใหญ่กว่าคนที่ไม่ใช่เพื่อนบ้านใกล้ชิดกับท่าน
ด้วยเหตุนี้ ท่านนบี ได้กล่าวไว้ว่า
“สาบานด้วยนามอัลลอฮฺ ว่าเขายังไม่มีอีมาน,
สาบานด้วยนามอัลลอฮฺ ว่าเขายังไม่มีอีมาน,
สาบานด้วยนามอัลลอฮฺ ว่าเขายังไม่มีอีมาน,
“คนที่เพื่อนบ้านของเขาไม่ ได้รับความปลอดภัยจากเขา”
(บันทึกโดยบุคอรีย์)
• ข้อที่สอง : การทุ่มเทบริจาค
หมายถึง การหยิบยื่นทรัพย์สินหรือข้าวของเครื่องใช้ การแสดงว่าใจบุญนั้นมิใช่เพียงแค่การแจกจ่ายทรัพย์ หาเป็นเช่นนั้นไม่ การใจบุญยังมีความหมายรวมถึง การเสียสละทั้งชีวิตจิตใจ หรือสละทั้งอำนาจบารมีและทรัพย์สิน หรือเมื่อพบเห็นผู้ที่จะสามารถช่วยจัดการธุระให้ หรือช่วยเหลือดูแลเอาใจใส่ต่อการงานให้กับบุคคลผู้ที่ไม่สามารถทำเองได้ และพยายามสอนความรู้ความชำนาญงานของตนให้ผู้คนทราบ หรือช่วยด้วยกับทรัพย์สินที่ตนมีอยู่นั้น แท้จริงแล้วเขาผู้นั้นคือ คนที่มีจรรยามารยาทที่ดี เพราะเขาได้ทุ่มเทเสียสละแล้วซึ่งความมีน้ำใจ
ดังที่ ท่านนบี ได้กล่าวไว้ว่า
“ท่านจงยำเกรงอัลลอฮฺ ณ ที่ใดก็ตามที่ท่านอยู่และจงทำความดีติดตามความชั่วมันจะได้ลบล้างกัน และจงอยู่ร่วมกับผู้คนด้วยจรรยามารยาทที่ดีงาม”
ส่วนหนึ่งของการมีจรรยามารยาทดี คือ เมื่อท่านโดนข่มเหงรังแกหรือโดนกระทำที่ไม่ดีแล้ว ท่านก็ให้อภัยไม่ถือโทษ ดังที่อัลลอฮฺ ได้ทรงกล่าวบรรดา ผู้ไม่ถือโทษผู้คนทั้งหลาย และได้ตรัสไว้เกี่ยวกับชาวสวรรค์ จากซูเราะฮฺ อาละอิมรอน 134 ว่า :
“คือบรรดาผู้ที่บริจาคทั้งในยามสุขสบายและในยามเดือดร้อน และบรรดาผู้ข่มโทษะ และบรรดาผู้ให้อภัยแก่เพื่อนมนุษย์และอัลลอฮฺ ทรงรักผู้กระทำดีทั้งหลาย”
พระองค์ทรงตรัสใน ซูเราะฮฺ อัลบะเกาะเราะฮฺ อายะฮ์ ที่ 237 ว่า
“...และการที่พวกเจ้าจะให้อภัยนั้น เป็นสิ่งที่ใกล้กับความยำเกรงมากกว่า”
และตรัสในซูเราะฮฺอัซซูรอ อายะฮฺที่ 40 ว่า :
“...แต่ผู้ใดอภัย และไกล่เกลี่ยคืนดีกัน รางวัลตอบแทนของเขาอยู่ที่อัลลอฮฺ”
ดังนั้น บุคคลที่มีการพบปะติดต่อกับบุคคลอื่นๆ จะพบว่าผู้คนทั้งหลายมีบางส่วนอยู่บ้างที่ทำไม่ดี ซึ่งจุดยืนของเขากับความไม่ดีเหล่านั้นคือ การที่ไม่ถือโทษและให้อภัย ไม่โกรธเคือง และยังแสดงออกกับสิ่งที่ดีงามแล้ว การเป็นศัตรูกันจะกลับกลายเป็นมิตร ก่อให้เกิดความใกล้ชิดความรักปกป้องซึ่งกันและกัน ดังที่อัลลอฮ์ ตรัสไว้ใน ซูเราะฮฺฟุศศิลัต อายะฮ์ที่ 34 ว่า :
“และความดีกับความชั่วนั้นหาเท่าเทียมกันไม่เจ้าจงขับไล่ความชั่วด้วยสิ่งที่มันดีกว่า
แล้วเมื่อผู้ที่ระหว่างเจ้า กับระหว่างเขาเคยเป็นอริกัน ก็จะกลับกลายเป็นเยี่ยงมิตรที่สนิทกัน”
ดังนั้น ท่านที่รู้ภาษาอาหรับทั้งหลายจงพิจารณาถึงผลที่ตามติดในทันใดนั้นเนื่องจากคำว่า : อิซา ที่ชี้ถึงว่าจะเกิดผลในทันใดจากการกระทำ
“...แล้วเมื่อนั้นผู้ที่ระหว่างเจ้ากับระหว่างเขาเคยเป็นอริกันก็จะกลับกลายเป็นเยี่ยงมิตรที่สนิทกัน”
แต่ก็มิใช่ทุกคนจะประสบความสำเร็จเสียไปทั้งหมด ดังที่อัลลอฮฺ ตรัสในซูเราะฮฺฟุศศิลัต อายะฮฺที่ 35 ว่า
“และไม่มีผู้ใดได้รับมัน (คุณธรรมดังกล่าว) นอกจากบรรดาผู้อดทน และจะไม่มีผู้ใดได้รับมัน นอกจากผู้ที่มีโชคลาภอันใหญ่หลวง”
จากเรื่องนี้ ทำให้เราเข้าใจว่า การอภัยหรือยกโทษให้แก่ผู้กระทำผิด จะดีหรือถูกต้องหรือสมควรได้รับการชมเชยทั้งหมด และมีการส่งเสริมใช้ให้ทำหรือไม่ ? บางครั้งก็อาจจะมีความเข้าใจเช่นนั้นได้ ตามอายะฮ์ดังกล่าว จำต้องรับทราบไว้ว่า ในการให้อภัยหรือยกโทษนั้น จะได้รับการชมเชย ต่อเมื่อการให้อภัยหรือการยกโทษนั้นดีกว่า แต่กรณีที่การกระทำความผิดนั้น หากว่าการลงโทษดีกว่าการไม่ลงโทษแล้ว สิ่งที่สมควรได้รับการชมเชย คือ การตัดสินลงโทษย่อมจะดีกว่าการไม่ลงโทษ แน่นอนด้วยเหตุนี้ อัลลอฮฺ ได้ตรัสไว้ใน ซูเราะฮฺอัซซูรอ อายะฮ์ที่ 40 ว่า :
“...แต่ผู้ใดอภัยและไกล่เกลี่ยคืนดีกัน รางวัลตอบแทนของเขาอยู่ที่อัลลอฮฺ....”
อัลลอฮฺ ได้ทรงเอาการอภัยรวมไว้กับการไกล่เกลี่ย เพราะการอภัยนั้นเป็นไปได้ในบางกรณี แต่บางกรณีไม่สมควรได้รับการ รอมชอม ลดหย่อน เพราะคนที่ทำร้ายท่านนั้นล่วงละเมิด โดยที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าบุคคลผู้นั้นเป็นคนชั่วช้าเลวทรามโหดเหี้ยม หากท่านอภัยให้เขาก็ยิ่งเหิมเกริมอยู่ในความชั่วความเลวนั้นต่อไป วิธีที่ดีสำหรับกรณีเช่นนี้แล้ว สมควรจะต้องลงโทษผู้ที่ทำร้ายดีกว่าการไม่ลงโทษ เพราะการลงโทษนั้นเป็นการแก้ไขปรับปรุง
เชคคุลอิสลาม อับนุตัยมียะฮฺ (ขออัลลอฮฺ ทรงเมตตาท่าน) ได้กล่าวว่า
“การปรับปรุงแก้ไขนั้น เป็นเรื่องจำเป็น (วาญิบ) ส่วนการอภัยนั้นเป็นเรื่องสมัครใจ ถ้าการให้อภัยจะทำให้การปรับปรุงแก้ไขต้องสูญเสียโอกาสไป ก็หมายความว่า เราได้นำการกระทำที่เป็นเรื่องสมัครใจมาทำและละทิ้งสิ่งที่เป็นวาญิบในเรื่องนี้ ทางบัญญัติของศาสนาไม่ส่งเสริมให้ทำเขาได้พูดเอาไว้ถูกต้องแล้ว”
อีกประเด็นหนึ่งที่ใคร่ขอตักเตือน ซึ่งผู้คนส่วนมากทำกันโดยมีจุดประสงค์ในการทำดี คือ เมื่อมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นกับคนใดคนหนึ่งแล้ว จำเลยผู้เป็นต้นเหตุให้คนอื่นเสียชีวิตไป ต่อมาบรรดาทายาทของผู้ตายที่มายกเรื่องค่าสินไหมให้ โดยให้อภัยกับจำเลยที่ทำให้เกิดเหตุนั้น ดังการยกให้ไม่เอาสินไหมจะถือว่าเป็นเรื่องของการมีจรรยาที่ดีหรือไม่นั้น ในประเด็นดังกล่าวต้องมีการพิจารณารายละเอียดประกอบการตัดสินใจดังนี้
เราจะต้องพิจารณาให้รอบคอบว่า สภาพของจำเลยที่กระทำผิดที่ได้ทำให้เกิดอุบัติเหตุขึ้น ว่าเขาเป็นบุคคลประเภทที่เป็นคนใจร้อนประมาทขับรถเร็ว โดยไม่สนใจว่าการกระทำของตนจะสร้างความเสียหายให้กับบุคคลอื่น หรือเป็นคนประเภทที่ไม่หวั่นเกรงภยันตรายใดๆ จะเกิดขึ้น ขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ ให้พ้นภัยด้วยเถิด หรือเขาคิดว่าถ้าชนใครแล้วเขาก็มีเงินจ่ายค่าสินไหมได้ หรือว่า เขาเป็นบุคคลอีกประเภทหนึ่งที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุครั้งนี้ ทั้งๆ ที่เขาเป็นคนที่รอบคอบและระมัดระวัง แล้วแต่อัลลอฮฺ ได้ทรงกำหนดทุกสิ่งที่เกิดเอาไว้แล้ว
ถ้าอุบัติเหตุเกิดในลักษณะที่บุคคลประเภทหลัง ก็สมควรให้อภัยในส่วนสิทธิแก่เขายิ่งกว่าการเอาเรื่อง ขณะเดียวกันจะต้องพิจารณาประกอบอย่างละเอียด แม้จะเป็นบุคคลประเภทหลัง ก่อนที่จะให้อภัยจะต้องตรวจสอบว่า ผู้ที่เสียชีวิตเนื่องจากโดนอุบัติเหตุนั้น เขามีหนี้สินหรือไม่? ถ้าผู้เสียชีวิตมีหนี้สินที่เขาไม่มีทางใช้ได้หมด นอกจากต้องเอาค่าสินไหมไปชดใช้เท่านั้น ในกรณีเช่นนี้ การไม่ให้อภัยเป็นการดีกว่า เพราะเรื่องหนี้สินนั้น จำเป็นต้องชดใช้ก่อนแบ่งมรดก และถ้ามีการให้อภัยก็ไม่สามารถล้างหนี้ได้ ผู้คนจำนวนมากมักจะมองข้ามรายละเอียดในเรื่องนี้ไป เราจึงขอบอกเรื่องดังกล่าวนี้ แก่กลุ่มของบรรดาทายาท และพี่น้องที่จะรับสิทธิจากค่าสินไหมแทนผู้เสียชีวิตที่ประสบอุบัติเหตุว่า พวกเขาจะไม่มีสิทธิในสินไหม เว้นแต่หลังจากการใช้หนี้แล้ว
ดังที่ อัลลอฮฺ ได้ทรงตรัสเรื่องมรดกในซูเราะฮฺ อันนิซาอฺ อายะฮ์ที่ 11 ว่า
“...หลังจากพินัยกรรมที่เขาได้สั่งเสียมันไว้หรือหลังจากหนี้สิน...”
สรุปได้ว่า การมีจรรยามารยาทที่ดี คือ การไม่ถือโทษโกรธเคืองผู้คนทั่วไป และเป็นเรื่องของการทุ่มเทให้หรือยกโทษให้ไม่เอาโทษ และการอภัยก็เป็นส่วนหนึ่งของการยกโทษไม่เอาเรื่อง
• ข้อที่สาม การมีใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส
หมายถึง บุคคลผู้นั้นจะต้องมีใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส ตรงกันข้ามกับการมีใบหน้าบึ้งตึงด้วยเหตุนี้ ท่านนบี ได้กล่าวไว้ว่า
“ท่านอย่างได้มองข้ามคุณธรรมอันเล็กน้อย แม้แต่การที่ท่านจะพบปะพี่น้องของท่านด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม”
ดังนั้นการมีใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส ก่อให้เกิดความสบายใจกับผู้ที่พบปะท่าน เมื่อหันมาทางท่านจะทำให้เกิดความรักใคร่สนิทสนมเกิดความปลอดโปร่งโล่งหัวใจ และมีความเบิกบานกับผู้ที่พบปะกับท่าน ลองพิจารณาดูแล้วจะพบว่าเป็นเรื่องจริง หากว่าท่านทำหน้าบึงตึงก็ไม่มีใครอยากเข้ามาใกล้ท่าน หลบหน้าพ้นไปจากท่าน และไม่สบายใจที่จะนั่งร่วมกับท่าน หรือในการพูดคุยกับท่าน หรือบางครั้งท่านที่เป็นโรคความดันโลหิตอยู่ก็อาจเป็นอันตรายได้
เป็นความจริงที่ว่าการทำให้อารมณ์แจ่มใสมีใบหน้ายิ้มแย้มนั้น เป็นผลดีต่อการรักษาให้พ้นจากโรคความดันโลหิต ด้วยเหตุนี้บรรดาแพทย์จึงได้กำชับผู้ป่วย ควรจะอยู่ห่างไกลสิ่งยั่วยุหรือการมีอารมณ์โกรธ เพราะการอยู่ในสภาพเช่นนี้ เป็นการเพิ่มโรคความดันโลหิตให้สูงขึ้น ดังนั้นการมีใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส จะบำบัดอาการนี้ได้เป็นอย่างดี เพราะมนุษย์เราเมื่อมีใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ก็จะเป็นที่รักใคร่ชอบพอของผู้ที่พบเห็น
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ คือพื้นฐานสามข้อ ที่เป็นแกนของการมีจรรยามารยาทดี ในการอยู่ร่วมกับผู้คนทั้งหลาย
แปลและเรียบเรียงโดย : อับดุลฆอนี บุณมาเลิศ
ที่มา อัลอิศลาห์ สมาคม