เยาวชนหนุ่มสาว ในยุคสมัยของท่านนบี
สะอัด บิน อบี วักกอศ กับ อับดุลลอฮฺ บิน อุมัร
มุหัมมัด อาดิล ฟาริส
สะอัด บิน อบี วักกอศ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ
ท่านเป็นหนึ่งในจำนวนคนที่รับอิสลามในช่วงต้นๆ และเป็นหนึ่งในสิบคนที่ได้รับการแจ้งข่าวดีว่าเป็นชาวสวรรค์ เป็นวีรบุรุษแห่งสงครามอัล-กอดิสียะฮฺ และเป็นผู้พิชิตเมืองอัล-มะดาอิน เมืองหลวงของเปอร์เซียขณะนั้น
ท่านรับอิสลามขณะอายุ 17 ปี ไม่เคยหันเหไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องไร้สาระที่เด็กหนุ่มในวัยเดียวกันชื่นชอบ แต่ท่านจะชอบเหลาธนูและฝึกฝนการยิงธนู ตอนที่รับอิสลาม ท่านได้รับบททดสอบที่หนักหน่วง ท่านเล่าให้ฟังด้วยตัวเองว่า “ฉันเป็นคนที่คอยดูแลแม่อย่างดีมาก
เมื่อฉันรับอิสลามแม่ได้พูดกับฉันว่า ‘โอ้ สะอัด ศาสนาอะไรกันที่เจ้าอุตริขึ้นมา? เจ้าต้องละทิ้งศาสนาของเจ้า ไม่เช่นนั้นฉันจะไม่กินไม่ดื่มอะไรเลย จนฉันตายไป แล้วคนก็จะได้โจษขานกันว่าสะอัดได้ฆ่าแม่ของตัวเอง’
รุ่งเช้าแม่ก็ทำตามที่พูดและมีสภาพอ่อนแรงเพราะหิว
ฉันจึงพูดกับนางว่า ‘โอ้แม่เอ๋ย ขอสาบานด้วยอัลลอฮฺ แม่เองก็รู้ไม่ใช่หรือว่า ถ้าแม่มีถึงร้อยชีวิต และแม่ก็ตายแล้วฟื้นครั้งแล้วครั้งเล่าจนครบร้อยครั้ง ฉันก็จะไม่ละทิ้งศาสนานี้ เพราะฉะนั้น ถ้าแม่อยากกินก็จงกินเสียหรือถ้าไม่อยากกินก็ตามใจเถิด’
เมื่อฟังเช่นนั้นแล้ว นางก็กลับมากินอาหารอีกครั้ง”
(บันทึกโดย อะห์มัด, มุสลิม และ อัต-ติรมิซีย์)
สะอัด เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ได้เสียสละทั้งชีวิต เวลา และสมบัติ เพื่อการต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮฺ ท่านเป็นคนแรกที่ยิงธนูเพื่อสงครามในอิสลาม เป็นผู้ที่ได้รับการตอบรับดุอาอ์จากอัลลอฮฺ ท่านนบี ได้ขอดุอาอ์ให้กับท่านว่า
“โอ้ อัลลอฮฺ ขอทรงตอบรับแก่สะอัดเมื่อเขาขอดุอาอ์ต่อพระองค์”
(บันทึกโดย อัต-ติรมิซีย์ และ อัล-หากิม โดยกล่าวว่าเป็นหะดีษเศาะฮีหฺ ท่านอัซ-ซะฮะบีย์ ก็เห็นด้วย)
มีรายงานว่า มีชายคนหนึ่งสาบานและกล่าวหาเท็จต่อท่านในสมัยการปกครองของอุมัรฺ บิน อัล-ค็อฏฏอบ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ซึ่งตอนนั้นสะอัดได้รับตำแหน่งเป็นเจ้าเมืองกูฟะฮฺ สะอัดจึงได้ขอดุอาอ์ว่า
“โอ้ อัลลอฮฺ หากชายคนนี้พูดโกหก ขอพระองค์ทำให้เขามีอายุยาว ให้เขายากจนอย่างยาวนาน และให้เขาต้องพบกับการทดสอบที่เป็นฟิตนะฮฺ”
เมื่อเวลาผ่านไปชายคนนั้นจึงพูดกับตัวเองว่า “คนเฒ่าที่ถูกทดสอบ โดนดุอาอ์ของสะอัด”
ซึ่งบั้นปลายชีวิต ชายเฒ่าคนนั้นมีอายุมากถึงขนาดคิ้วตกมาปกปิดดวงตาทั้งสอง และคอยเดินไปตามถนนเพื่อหาเรื่องเกี้ยวผู้หญิงไปวันๆ
(บันทึกโดย อัล-บุคอรีย์)
สะอัดได้ร่วมรบในสงครามทั้งหมดของท่านนบี และได้แสดงฝีมืออย่างเยี่ยมยอด ในสงครามบะดัรฺ ท่านคอยยิงธนูอยู่ต่อหน้าท่านนบี เมื่อวางธนูในคันก็กล่าวขอดุอาอ์ว่า
“โอ้ อัลลอฮฺ ขอทรงเขย่าให้เท้าของพวกเขาหวั่นไหว ให้หัวใจของพวกเขาหวาดกลัว ขอทรงจัดการพวกเขา ขอทรงจัดการพวกเขา”
ท่านนบี ก็จะกล่าวรับว่า “โอ้ อัลลอฮฺ ขอทรงตอบรับดุอาอ์ของสะอัดด้วย”
ในสงครามอุหุด ท่านเป็นคนหนึ่งที่ปักหลักมั่นคงพร้อมๆ กับท่านนบี
ท่านนบี จะเป็นคนคอยยื่นลูกธนูให้ และกล่าวกับสะอัดว่า “จงยิงธนูไป ขอไถ่เจ้ากับบิดามารดาของข้า”
จนกระทั่งถึงขนาดว่าบางครั้งท่านนบี ก็ยื่นลูกธนูที่ปราศจากหัวธนูให้ และกล่าวกับท่านว่า “จงยิงธนูกับสิ่งนี้ไป”
(บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์และมุสลิม)
ในทุกสงครามสะอัดจะเป็นอย่างนั้น ทั้งในสมัยของท่านนบี หรือสมัยท่านอบู บักรฺ และ อุมัรฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุมา แต่ว่าสงครามอันยิ่งใหญ่ที่ทุกครั้งเมื่อพูดถึงมันก็จะต้องนึกถึงสะอัดก็คือสงครามอัล-กอดิสียะฮฺ ที่ท่านได้นำทัพไปต่อสู้พวกเปอร์เซีย์
ท่านลงมือจัดทัพ โดยทุกๆ สิบคนจะให้มีผู้เชี่ยวชาญหนึ่งคน ให้คนที่เป็นรุ่นอาวุโสเป็นผู้ถือธงรบ แต่งตั้งผู้รับผิดชอบด้านการชี้ขาดและแบ่งทรัพย์เชลย ผู้รับผิดชอบในการให้โอวาทตักเตือน ให้มีล่ามแปลที่ชำนาญภาษาเปอร์เซีย มีเสมียนจดบันทึก มีสายลับ มีกลุ่มที่คอยลาดตระเวนโจมตี และนักทูตที่คอยเจรจา
สงครามอัล-กอดิสียะฮฺใช้เวลานานถึงสามวัน กองทัพมุสลิมต้องประสบกับการจู่โจมอย่างหนักจากพวกเปอร์เซีย จนเสียชีวิตในสมรภูมิมากถึงหนึ่งในสี่ของจำนวนทหาร แต่สุดท้ายก็ได้รับชัยชนะอย่างยิ่งใหญ่ ซึ่งจำนวนทหารมุสลิมมีทั้งหมดสามหมื่นห้าพันคน ในขณะที่กองกำลังของเปอร์เซียมีมากถึงหนึ่งแสนสองหมื่นคนทีเดียว หลังจากนั้นสะอัดก็ได้พิชิตเมืองมะดาอินในสงครามอีกสมรภูมิหนึ่ง
เมื่อท่านจะเสียชีวิต ขณะนั้นท่านกลับมาอยู่ที่เขตอัล-อะกีกไม่ไกลจากตัวเมืองมะดีนะฮฺ ท่านบอกให้นำเอาเสื้อขนสัตว์เก่าๆ ตัวหนึ่งออกมา และกล่าวว่า
“จงห่อศพฉันด้วยเสื้อนี้ เพราะมันเป็นเสื้อที่ฉันใช้รบกับพวกมุชริกีนในสงครามบะดัรฺ แท้จริง ที่ฉันเก็บซ่อนมันไว้ก็เพราะว่าจะได้ใช้มันในวันนี้..”
ศพของท่านถูกฝังที่สุสานบะกีอฺ ขออัลลอฮฺทรงโปรดปรานท่านด้วยเทอญ
อับดุลลอฮฺ บิน อุมัรฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุมา
ท่านเกิดก่อนเหตุการณ์ฮิจญ์เราะฮฺเป็นเวลา 10 ปี และได้อพยพไปยังมะดีนะฮฺพร้อมๆ กับอุมัรฺผู้เป็นบิดาของท่าน มีคุณลักษณะไม่ต่างจากบิดาคือ แข็งแรง ฉลาด มุ่งมั่นในการหาความรู้และปฏิบัติตามแบบอย่างของท่านนบี
อิบนุ อุมัรฺ พยายามที่จะเข้าร่วมรบในสงครามบะดัรฺ แต่ท่านนบี ก็ไม่ได้อนุญาตเนื่องจากอายุยังน้อย เช่นเดียวกับในสงครามอุหุด แต่ท่านได้อนุญาตให้เข้าร่วมสงครามค็อนดัก และหลังจากนั้นมาอิบนุ อุมัรฺ ก็ไม่เคยพลาดสงครามอีกเลยแม้แต่ครั้งเดียว ท่านได้ร่วมรบในสงคราม อัล-ยัรมูก, อัล-กอดิสียะฮฺ, ญะเลาลาอ์, สงครามเปอร์เซีย และการพิชิตอียิปต์
ท่านเป็นผู้ท่องจำหะดีษจำนวนมากเป็นลำดับที่สองในจำนวนเศาะหาบะฮฺทั้งเจ็ดคนที่ท่องจำหะดีษมากที่สุด และยังเป็นคนเอื้ออารีใจถึงมือถึงอีกด้วย
ในบั้นปลายชีวิตท่านได้เสียดวงตาไป และเสียชีวิตขณะมีอายุได้ 84 ปี
แปลโดย : ซุฟอัม อุษมาน / Islamhouse