การมีจรรยามารยาทดีต่อพระผู้ทรงสร้าง
โดย : ฟะฎีละตุชเชค มุฮัมมัด บินซอและห์ อัลหุษัยมีน
วิถีทางที่จะทำให้มีมารยาทที่ดี
คนส่วนมากมีความเข้าใจว่า การมีมารยาทดีนั้นใช้เฉพาะอยู่กับการสังคมต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเองเท่านั้น โดยไม่มีการปฏิบัติด้วยจรรยามารยาทที่ดีงามกับพระผู้ทรงสร้าง ความเข้าใจดังกล่าวนี้ ถือว่าเป็นความเข้าใจที่คับแคบเกินไป เพราะการมีจรรยามารยาทที่ดีสวยงามนั้นจะต้องมีกับมนุษย์ด้วยกัน และต้องมีกับพระผู้ทรงสร้างญัลละวะอะลา จึงสมควรที่จะต้องให้ความสนใจในเรื่องดังกล่าวนี้ให้มาก
ประการหนึ่ง การมีจรรยามารยาทดีในการปฏิบัติต่อพระผู้ทรงสร้างญัลละวะอาลา
การมีจรรยามารยาทที่ดีในการปฏิบัติต่อผู้ทรงสร้างนั้นมีสามเรื่องคือ
1. มีความยินรับการบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ของอัลลอฮฺ
โดยความเชื่อมั่นอย่างแท้จริง
2. มีความยินดีรับเอาข้อชี้ขาดของพระองค์ ด้วยการปฏิบัติตามอย่างสม่ำเสมอ
3. มีความยินดีรับกฎสภาวการณ์ของอัลลอฮฺ
ด้วยความอดทนและพึงพอใจ
ทั้งสามประการนี้เป็นแกนหลักของเรื่อง การมีจรรยามารยาทดีกับอัลลอฮฺ ![]()
1. มีความยินดีรับเอาการบอกเล่าเรื่องต่างๆ ของอัลลอฮฺ โดยความเชื่อมั่นอย่างแท้จริง ไม่มีความเคลือบแคลงสงสัยใดๆ หรือเกิดความไม่แน่ใจในความเชื่อมั่น
เพราะการบอกเล่าของพระองค์ มาจากความรอบรู้ของพระองค์ ซึ่งอัลลอฮฺ
เป็นผู้ที่สัตย์จริงที่สุด ดังที่ได้ตรัสไว้เกี่ยวกับพระองค์เองใน ซูเราะฮฺอันนิซาอฺ อายะฮ์ที่ 87 ความว่า
“...และใครเล่าที่จะพูดจริงยิ่งกว่าอัลลอฮฺ”
จึงจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องมีความเชื่อมั่นในการบอกเล่าของอัลลอฮฺ
โดยที่ผู้นั้นจะต้องมีความมั่นใจแน่วแน่กับการบอกเล่าพร้อมปกป้องต่อสู้กับความศรัทธานั้น กับสิ่งที่สวนทางกันอย่างไม่มีความเคลือบแคลงใดๆ ในการบอกข่าวคราวของอัลลอฮฺ
หรือท่านนบี
และเมื่อบ่าวนั้นมีผู้ไม่ประสงค์ดีมาหลอกลวง จากเรื่องราวของพระองค์อัลลอฮฺ
และเรื่องราวของท่านร่อซูลุลลอฮฺ
ไม่ว่าจะเป็นแม้แต่บรรดามุสลิมที่ทำอุตริในทางศาสนาของอัลลอฮฺ
ด้วยกับสิ่งที่ไม่มีที่มาในเรื่องศาสนา หรือได้มาจากทางอื่นที่ไม่ใช่มุสลิม ซึ่งมักจะก่อให้เกิดความสับสนวุ่นวาย หรือความไม่ปลอดโปร่งในหัวใจของมุสลิม
ตัวอย่างหนึ่ง : มีรายงานในหนังสือศอเฮียะหฺ บุคอรีย์ จากฮะดีษของอบีฮุรอยเราะฮฺ ว่าแท้จริงท่านนบี
ได้กล่าวว่า
“เมื่อแมลงวันตกลงไปในเครื่องดื่มของคนหนึ่งคนใดในหมู่พวกท่านแล้ว เขาจะกดให้มันจมลง ต่อจากนั้นก็เอามันทิ้งไป
เพราะแท้จริงที่ปีกข้างหนึ่งของมันมีเชื้อโรค และอีกข้างหนึ่งมียารักษา”
นี่คือ คำบอกเล่าของท่านร่อซูลุลลอฮฺ
ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นความเร้นลับ โดยที่ท่านมิได้พูดจากความรู้สึกของตัวท่านเอง หากแต่ว่าท่านพูดตามคำสั่ง (วะฮียฺ) ของอัลลอฮฺ
ที่มีมายังท่าน เพราะท่านนั้นเป็นผู้ไม่มีความรู้ในเรื่องความเร้นลับ อัลลอฮฺ
ได้ตรัสแก่ท่านในซูเราะฮฺอัลอันอาม อายะฮ์ที่ 50 ความว่า
“จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า ฉันจะไม่กล่าวแก่ท่านว่าที่ฉันมีบรรดาคลังสมบัติของอัลลอฮ และทั้งฉันก็ไม่รู้สิ่งเร้นลับ
และฉันก็ไม่กล่าวแก่พวกท่านว่า ฉันคือมะลัก ฉันไม่ปฏิบัติตามนอกจากสิ่งที่ถูกให้เป็นโองการแก่ฉันเท่านั้น”
ดังนั้น การบอกเล่าเรื่องนี้จึงมีความจำเป็นแก่เรา ที่จะต้องรับรู้เรื่องที่บอกเล่านั้นด้วยจรรยามารยาทที่ดี การมีจรรยามารยาทที่ดีในเรื่องการบอกเล่าครั้งนี้ คือ เราต้องยึดถือพร้อมมีความเชื่อมั่นว่า สิ่งที่ท่านนบี
กล่าวในฮาดีษบทนี้เป็นเรื่องจริงอย่างแน่นอน แม้ว่าจะมีผู้คัดค้านก็ตาม และเราต้องยอมรับอย่างมั่นคงในจิตใจเลยว่า สิ่งที่สวนทางกับสิ่งที่เป็นรายงานจากท่านรอซูลุลลอฮฺ
นั้น คือ ความเป็นเท็จ เพราะอัลลอฮฺ
ได้ตรัสไว้ใน ซูเราะฮฺยูนุส อายะห์ที่ 32 ความว่า
“...ฉะนั้นหลังจากความจริงแล้วจะมีอะไรอีกเล่านอกจากความหลงผิดเท่านั้น แล้วทำไมเล่าพวกท่านจึงถูกให้หันเหออกไปอีก”
อีกตัวอย่างหนึ่ง ที่มีการบอกถึงเรื่องวันกิยามะฮฺ ท่านนบี
ได้บอกว่า
“แท้จริงดวงอาทิตย์ จะอยู่ใกล้กับมนุษย์ทั้งหลายในวันกิยามะฮฺขาดเพียงไมล์เดียว”
ดังนั้น ไม่ว่า คำว่า “ไมล์” คำนี้ จะเป็นไมล์ที่เกี่ยวกับระยะทางที่ทราบกัน หรือว่าไมล์ที่สั้นเท่าที่ควักยาออกจากประปุกก็ตาม หมายความว่า เป็นระยะทางระหว่างดวงอาทิตย์กับศีรษะของมนุษย์ที่เป็นระยะทางที่สั้น พร้อมกันนั้น ก็ไม่มีการเผาไหม้จากความร้อนของดวงอาทิตย์ ซึ่งในขณะนี้ถ้าดวงอาทิตย์ขยับใกล้กับโลกอีกสักองคุลีเดียวโลกดุนยาก็จะไหม้เป็นจุณไป
บางครั้งมีผู้กล่าวว่า ดวงอาทิตย์จะอยู่ใกล้กับศีรษะของมนุษย์ทั้งหลายในวันกิยามะฮฺ ด้วยระยะทางอันใกล้อย่างนี้ และผู้คนก็ยังอยู่อีกระยะหนึ่ง การมีจรรยามารยาทดีเกี่ยวกับฮะดีษบทนี้คืออะไร? การมีจรรยามารยาทที่ดีงามต่อฮะดีษบทนี้ คือ เราจะต้องรับฮะดีษมีความเชื่อมั่นอย่างแนวแน่ในฮะดีษ และในหัวใจของเราจะต้องไม่มีอุปสรรคใดๆ ที่จะมาทำให้เกิดความไม่เชื่อมั่นหรือร้อนรุ่มไม่แน่ใจ และจะต้องทราบว่า ที่ท่านนบี
บอกนั้นคือความจริง เป็นไปได้ที่เราจะเอาสภาพของวันอาคีเราะฮฺ มาเปรียบเทียบกับสภาพของโลกดุนยานี้เพราะมีข้อแตกต่างกันมาก ซึ่งเราทราบดีว่า ผู้คนทั้งหลายนั้น จะยืนอยู่ในวันกิยามะฮฺถึงห้าหมื่นปี ถ้าจะนำมาเปรียบเทียบของโลกดุนยานั้นจะเป็นไปได้หรือ ที่ผู้คนจะหยุดยืนได้ถึงห้าหมื่นปี
คำตอบ คือ เปรียบเทียบกันไม่ได้เลย ในข้อแตกต่างอันยิ่งใหญ่นี้เมื่อคำตอบเป็นเช่นนั้นแล้ว แท้จริง คนมุอฺมินก็ต้องรับการบอกเล่านี้ด้วยหัวใจที่เบิกบานและสงบอบอุ่น มีความเข้าใจอย่างปลอดโปร่งและด้วยหัวใจที่เปิดรับเต็มที่
2. มีความยินยอมรับเอาข้อขี้ขาดของพระองค์ ด้วยการปฏิบัติตามอย่างสม่ำเสมอ ไม่มีการปฏิเสธข้อใดในอุก่มต่างๆ ของอัลลอฮฺ ![]()
เพราะการปฏิเสธข้อหนึ่งข้อใด จากข้อชี้ขาดของพระองค์นั้น แสดงถึงการมีจรรยามารยาทที่เลวต่ออัลลอฮฺ
แม้ว่าการไม่รับเอาข้อชี้ขาดนั้น เป็นการปฏิเสธไม่ต้องการข้อชี้ขาด หรือไม่รับด้วยความหยิ่งจองหองที่จะปฏิบัติตามหรือความมักง่ายเพิกเฉยในการที่จะนำไปใช้ปฏิบัติ ทั้งหมดนั้นเป็นการสวนทางกับการมีจรรยามารยาทที่ดี กับอัลลอฮฺ ![]()
อีกตัวอย่างหนึ่ง เกี่ยวกับเรื่องนี้ คือการปฏิบัติตนของมุสลิมในเดือนรอมฎอน จากการอดทนลำบากเรื่องการถือศีลอด ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามีความลำบากต่อจิตใจ เพราะมนุษย์ต้องงดเว้นสิ่งที่ตนเคยชินและชื่นชอบ ทั้งอาหาร เครื่องดื่ม และการมีเพศสัมพันธุ์ นับว่าเป็นเรื่องที่ยากสำหรับมนุษย์ หากแต่ว่ามุอฺมินนั้น สำหรับพวกเขาที่มีจรรยามารยาทที่ดีต่ออัลลอฮฺ
จะยินดีกับการบังคับใช้ข้อนี้ หรือพูดอย่างถูกต้องคือ เขารับเอาการให้เกียรติอันสูงส่ง จากอัลลอฮฺ
โดยยินดีน้อมรับด้วยหัวใจที่เบิกบานและสงบเสงี่ยมด้วยความชื่นชม จะเห็นว่าเขาจะทำการถือศีลอดในวันต่างๆ ในฤดูร้อนที่ยาวนาน ด้วยความพึงพอใจ ด้วยความปลอดโปร่ง เพราะเขามีจรรยามารยาทดีกับพระเจ้าของเขา แต่สำหรับผู้ที่มีมารยาทที่ไม่ดีต่ออัลลอฮฺ
จะมีปฏิกิริยาตอบโต้การทำอิบาดะฮฺดังกล่าว ด้วยความเอะอะโวยวาย และฝืนใจทำ ถ้าหากว่าเขาไม่เกรงว่าจะมีเรื่องที่ไม่น่าสรรเสริญเกิดขึ้นตามมาที่หลังแล้ว เขาคงจะไม่ถือศีลอดอีกเลยตลอดกาล
ตัวอย่างอีกเรื่องหนึ่ง คือ การทำละหมาด ไม่ต้องสงสัยว่าเป็นภาระที่หนักสำหรับบางคน และเป็นภาระหนักสำหรับบรรดามุนาฟิกีน ดังที่ท่านนบี
ได้กล่าวไว้ว่า
“การละหมาดที่หนักที่สุดต่อพวกมุนาฟิกีน คือ ละหมาดอิซาอฺและละหมาดฟัจรฺ”
สำหรับมุอฺมินนั้น การละหมาดมิใช่เป็นเรื่องหนัก อัลลอฮฺ
ตรัสไว้ใน ซูเราะฮฺอัลบะเกาะเราะฮฺ อายะห์ที่ 45-46 ความว่า
“ และพวกเจ้าจงอาศัยความอดทน และการละหมาดเถิด และแท้จริงการละหมาดนั้นเป็นสิ่งยิ่งใหญ่ นอกจากบรรดาผู้ที่นอบน้อมเท่านั้น
คือบรรดาผู้ที่คาดคิดว่าแน่นอนพวกเขาจะพบกับพระเจ้าของพวกเขา และแน่นอนพวกเขาจะเป็นผู้กลับไปสู่พระองค์”
ดังนั้น การละหมาด จึงไม่เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ลำบากหนักหนาสำหรับบุคคลดังกล่าวนี้ แต่เป็นเรื่องที่สะดวกง่ายดาย ดังที่ท่านนบี
ได้กล่าวไว้ว่า :
“ได้ถูกให้เป็นแก้วตาขวัญใจแก่ฉันในการละหมาด”
ดังนั้น การมีมารยาทดีกับอัลลอฮฺ
ในเรื่องการละหมาด ท่านจะต้องปฏิบัติละหมาดโดยที่หัวใจของท่านเบิกบานสงบนิ่ง ดวงตาของท่านมีความสุข ท่านมีความยินดีเมื่อคิดถึงการละหมาด และรอคอยเมื่อเวลาการทำละหมาดมาถึง
เมื่อท่านได้ละหมาดฟัจรฺแล้ว ก็คิดถึงละหมาดบ่าย
เมื่อท่านได้ละหมาดบ่ายแล้ว ก็คิดถึงละหมาดอัศรฺ
เมื่อท่านได้ละหมาดอัศรฺแล้ว ก็คิดถึงละหมาดมัฆริบ
เมื่อท่านละหมาดมัฆริบแล้ว ก็คิดถึงละหมาดอิซาอฺ
เมื่อท่านละหมาดอิซาอฺแล้ว ก็คิดถึงละหมาดฟัจรฺ วนเวียนเป็นเช่นนี้อยู่ตลอดในหัวใจของท่านที่ผูกพันอยู่กับการละหมาด ไม่ต้องสงสัยเลยว่า การปฏิบัติดังกล่าวนี้เป็นมารยาทดีต่ออัลลอฮฺ![]()
ตัวอย่างที่สามเกี่ยวกับเรื่องของสังคม คือ การห้ามกินดอกเบี้ย แท้จริงอัลลอฮฺ
ทรงห้ามมุสลิม เรื่องการกินดอกเบี้ยเป็นการห้ามอย่างชัดแจ้งในคัมภีร์อัลกุรอาน ดังที่อัลลอฮฺ
ตรัสไว้ ในซูเราะฮฺอัลบะเกาะเราะฮฺ อายะที่ 275 ความว่า :
“...และอัลลอฮฺนั้น ทรงอนุมัติการค้าขายและทรงห้ามการเอาดอกเบี้ย ดังนั้นผู้ใดที่การตักเตือนจากพระเจ้าของเขาได้มายังเขา แล้วเขาก็เลิก
สิ่งที่ล่วงแล้วมาก็เป็นสิทธิของเขา และเรื่องของเขานั้นย่อมกลับไปสู่อัลลอฮฺ
และผู้ใดกลับ (กระทำ)อีกชนเหล่านี้แหละคือชาวนรก โดยที่พวกเขาจะอยู่ในนรกนั้นตลอดกาล”
อัลลอฮฺ
ได้ทรงคาดโทษ คนที่กลับไปสู่การกินดอกเบี้ยหลังจากที่ได้มีคำสอนมาถึงเขา แล้วทราบข้อชี้ขาดเป็นอย่างดี พระองค์ได้ขู่คาดโทษเขา ด้วยการอยู่ในไฟนรกอันยาวนานตลอดกาล วัลอิยาซุบิลลาฮฺ
คนมุอฮมินจะรับเอาข้อชี้ขาดนี้ ด้วยหัวใจที่ปลอดโปร่งด้วยความยินดีและยอมจำนน ส่วนคนที่มิใช้มุอฺมินจะไม่รับเอาข้อชี้ขาด และในหัวใจของเขาก็ไม่รับเอาข้อชี้ขาดนี้เช่นกัน ดังนั้นในหัวใจของเขาจะรู้สึกคับแค้น หรือในบางครั้งก็จะมีความลังเล และได้นำเล่ห์เหลี่ยมชั้นเชิงเพื่อหลีกเลี่ยงข้อชี้ขาดนี้มาใช้ เนื่องจากเขาทราบดีว่า การกินดอกเบี้ยนั้นเป็นการแสวงหาแน่นอน มิใช่เป็นเพียงการนึกคิดเอาเอง หากแต่ว่าความจริงแล้วคือ เป็นการแสวงหาของคนหนึ่งและเป็นการกดขี่คนอื่น ด้วยเหตุนี้อัลลอฮฺ
ได้ตรัสไว้ ในซูเราะฮฺ อัลบะเกาะฮฺ อายะฮฺที่ 279 ความว่า
“...และหากพวกเจ้าสำนึกผิดกลับเนื้อกลับตัวแล้วสำหรับพวกเจ้าก็คือ ต้นทุนแห่งทรัพย์ของพวกเจ้า โดยที่พวกเจ้าจะได้ไม่อธรรม และไม่ถูกอธรรม”
3. มีความยินดีรับกฎสภาวะของอัลลอฮฺ
ด้วยความอดทนและมีความพึงพอใจ และเป็นเรื่องที่สาม ของการมีจรรยามารยาทที่ดี กับอัลลอฮฺ ![]()
ทุกคนในหมู่ของพวกเราทราบดีว่า แท้จริงกฎสภาวะของอัลลอฮฺ
ที่ทรงควบคุมมันในหมู่สรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างนั้น ซึ่งทั้งหมดอาจไม่เหมาะสมแก่ทุกคนเสมอไป ดังนั้นทุกเรื่องที่ถูกกำหนดไว้จากอัลลอฮฺ
จะเหมาะสมแก่เราหรือไม่? หมายความว่า จิตใจของเรานั้น จะยอมรับว่าเหมาะสมแก่เราหรือไม่? ความเป็นจริงก็คือไม่ เช่นความเจ็บป่วยก็คงไม่เหมาะสมกับมนุษย์ เพราะธรรมชาติของมนุษย์ ชอบที่จะอยู่อย่างสบายไม่เจ็บป่วย เช่นเดียวกัน ความทุกข์และความยากจนก็ไม่ใช้เรื่องที่เหมาะสมกับมนุษย์ เพราะมนุษย์ชอบที่จะมีความสุขความร่ำรวย และความโง่เขลาก็ไม่เหมาะกับมนุษย์ เพราะมนุษย์ชอบที่จะเป็นคนใฝ่รู้ หากแต่ว่ากฎสภาวะของอัลลอฮฺ
เป็นไปด้วยความรอบรู้อย่างหลากหลายของพระองค์ มีทั้งที่มนุษย์ถูกใจ เพราะทำให้เขาสบายใจตรงกับอุปนิสัยใจคอที่เขาชอบ และอีกบางส่วนก็ไม่เป็นเช่นนั้น
การมีมารยาทดีกับอัลลอฮฺ
ที่เกี่ยวกับกำหนดต่างๆ ของสภาวะลิขิต คือ ท่านจะต้องพึงพอใจตามที่อัลลอฮฺ
ทรงกำหนดให้เกิดกับท่าน ท่านจะต้องมีความสงบอบอุ่นใจกับสิ่งที่เกิดกับท่าน นอกจากพระองค์ทรงรอบรู้และมีเป้าหมายที่ดี และต้องสรรเสริญพระองค์และขอบพระคุณพระองค์
ด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้ การมีมารยาทดีต่ออัลลอฮฺ
เกี่ยวกับเรื่องของกำหนดลิขิตของพระองค์นั้น คือ จะต้องยอมรับสิ่งที่ถูกกำหนดด้วยความพอใจ ยอมจำนนและสงบใจ ดังที่อัลลอฮฺ
ได้ทรงชมเชยบรรดาผู้อดทนทั้งหลาย ในซูเราะฮฺอัลบะเกาะเราะ อายะห์ที่ 155-156 ความว่า :
“แล้วเจ้าจงแจ้งข่าวดีแก่บรรดาผู้อดทนเถิด คือ บรรดาผู้ที่เมื่อมีเคราะห์ร้ายมาประสบแก่พวกเขา
พวกเขาก็กล่าวว่า แท้จริงพวกเราเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮฺ และแท้จริงพวกเราจะกลับไปยังพระองค์”
แปลและเรียบเรียงโดย : อับดุลฆอนี บุณมาเลิศ
ที่มา อัลอิศลาห์ สมาคม