เยาวชนหนุ่มสาว ในยุคสมัยของท่านนบี
อัซ-ซุเบรฺ บิน อัล-เอาวาม และ อัสมาอ์ บินตุ อบี บักรฺ
โดย : มุหัมมัด อาดิล ฟาริส
อัซ-ซุเบรฺ บิน อัล-เอาวาม เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ
ท่านรับอิสลามเมื่ออายุได้ 16 ปี เป็นหนึ่งในจำนวน หะวารีย์ คนสนิทผู้พิทักษ์ท่านนบี และเป็นลูกพี่น้องลูกน้องของท่านนบี เอง (เป็นลูกของเศาะฟียะฮฺ อาหญิงของท่านนบี) เป็นบุคคลแรกที่ชักดาบต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮฺ เป็นนักรบที่กล้าหาญชาญชัย ไม่เคยพลาดการสงครามแม้แต่ครั้งเดียว ท่านจะตั้งชื่อลูกๆ ของตัวเองด้วยชื่อของบรรดาชะฮีดที่เสียชีวิตในสงคราม
ตอนที่รับอิสลามท่านถูกทรมานจากอาของท่านเองเพื่อให้เลิกเป็นผู้ศรัทธา แต่ท่านก็อดทนและประกาศว่า “ฉันจะไม่กลับไปสู่กุฟรฺอีกเด็ดขาด” และท่านก็ได้ร่วมอพยพไปอบิสสิเนียด้วย บนหน้าอกของท่านเต็มไปด้วยรอยที่เหมือนดวงตา เป็นร่องรอยจากการถูกแทงด้วยดาบและดอกธนู
♣ ในสงครามบะดัรฺท่านได้ปลิดชีวิตอาของท่านเองที่เป็นศัตรูของอิสลาม นั่นคือ เนาฟัล บิน คุวัยลิด บิน อะสัด
♣ ในสงครามอุหุด และสงครามเผ่ากุร็อยเซาะฮฺ ท่านนบี ได้กล่าวกับท่านว่า “ฉันขอไถ่เจ้าด้วยบิดามารดาของฉัน”!
♣ ในสงครามค็อนดัก ท่านนบี ได้ถามบรรดาเศาะหาบะฮฺว่า “ใครจะเป็นคนไปสืบข่าวของศัตรูมาให้ฉัน?”
อัซ-ซุเบรฺได้รับปากอย่างทันทีทันใดและขี่ม้าไปลอบสืบข่าวมาให้ ท่านนบี ได้ถามอย่างนี้ถึงสามครั้ง และทุกครั้งอัซ-ซุเบรฺก็เป็นผู้รับปากทำหน้าที่ดังกล่าว จนท่านนบี ได้กล่าวว่า
“นบี ทุกคนนั้นมีคนสนิทที่คอยพิทักษ์ปกป้องเขา และคนสนิทของฉันคืออัซ-ซุเบรฺ”
(บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ และมุสลิม)
ท่านเป็นคนกล้าหาญซึ่งหาคนเทียบได้ยาก ในการบุกปะทะเข้าไปท่ามกลางกองทหารศัตรู ในสงครามหุนัยนฺ, อัล-ยัรมูก และ อัล-ยะมามะฮฺ ท่านเป็นคนที่มีบทบาทใหญ่หลวงในการพิชิตป้อมปราการบาบิโลน และช่วยเหลืออัมรฺ บิน อัล-อาศ ในการพิชิตอียิปต์
ท่านเป็นคนใจบุญสุนทาน และบริจาคเพื่อการต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮฺอย่างมากมาย ขออัลลอฮฺทรงพอพระทัยในตัวท่านอัซ-ซุเบรฺ ด้วยเทอญ
อัสมาอ์ บินตุ อบี บักรฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุมา
สตรีนักสู้ที่ได้รับการขนานนามว่า ซาตุนนิฏอก็อยนฺ เป็นบุตรีของเศาะหาบะฮฺ(อบู บักรฺ), หลานของเศาะหาบะฮฺ, ภรรยาของเศาะหาบะฮฺ(อัซ-ซุเบรฺ), แม่ของเศาะหาบะฮฺ(อับดุลลอฮฺ) และพี่สาวของเศาะหาบิยะฮฺ(อาอิชะฮฺ ภรรยาของท่านนบี ) ขออัลลอฮฺทรงพอพระทัยบรรดาท่านเหล่านี้ทุกคนด้วยเทอญ
ท่านหญิงอัสมาอ์รับอิสลามตอนอายุได้ 14 ปี ซึ่งไม่มีใครรับอิสลามก่อนหน้าท่านนอกจากเศาะหาบะฮฺและเศาะหาบิยะฮฺแค่สิบหกคนเท่านั้น(หมายถึงว่าท่านหญิงอัสมาอ์เป็นคนลำดับที่สิบเจ็ด)
ตอนที่แต่งงานกับอัซ-ซุเบรนั้น เขายังเป็นคนที่ยากจน อัสมาอ์จึงต้องคอยช่วยเหลือเพื่อแบ่งเบาภาระในครอบครัว จนกระทั่งอัลลอฮฺได้ประทานริสกีและความมั่งมีจนอัซ-ซุเบรฺกลายเป็นหนึ่งในจำนวนเศาะหาบะฮฺที่ร่ำรวยขึ้นมาหลังจากนั้น
ขณะที่อพยพไปยังเมืองมะดีนะฮฺ อัสมาอ์กำลังตั้งครรภ์บุตรของนาง และเมื่อถึงกุบาอ์ก็ได้ให้กำเนิดบุตรชายและตั้งชื่อว่า อับดุลลอฮฺ เด็กคนนี้จึงถือว่าเป็นทารกคนแรกของชาวมุฮาญิรีนในมะดีนะฮฺ และสิ่งแรกที่เข้าไปยังท้องของอับดุลลอฮฺก็คือน้ำลายของท่านรอซูล เพราะท่านได้ทำพิธีเปิดปากเขาและขอดุอาอ์ให้กับเขา
อัสมาอ์เป็นคนใจบุญที่ร่ำลือและถูกกล่าวขานมาก นางไม่เคยเก็บอะไรไว้กับตัวจนถึงรุ่งเช้าเลย นางเป็นคนที่ฉลาดหลักแหลมและเสียสละ เมื่อครั้งที่อบูบักรฺ บิดาของนางอพยพไปพร้อมกับท่านรอซูล ท่านเอาทรัพย์สินติดตัวไปหมด ซึ่งมีจำนวนถึงหกพันดิรฮัม และไม่ได้เหลืออะไรไว้ให้กับครอบครัวเลย เมื่ออบู กุหาฟะฮฺ พ่อของอบูบักรฺซึ่งเป็นปู่ของนางทราบข่าวดังกล่าว (ซึ่งตอนนั้นอบู กุหาฟะฮฺยังไม่ได้รับอิสลาม) ก็ได้มายังบ้านของอบูบักรฺและกล่าวว่า
“ขอสาบานด้วยอัลลอฮฺ แท้จริงฉันคิดว่าพ่อของพวกเจ้าได้ทำร้ายพวกเจ้าด้วยสมบัติของเขา หลังจากที่เคยทำให้พวกเจ้าเจ็บปวดด้วยตัวของเขามาแล้ว”
อัสมาอ์จึงกล่าวตอบไปว่า “ไม่เลย โอ้ปู่ของข้า แท้จริงท่านพ่อได้เหลือสมบัติไว้กับพวกเราด้วย”
จากนั้นนางก็เอาเม็ดกรวดมาใส่ตรงช่องผนังที่เคยใช้เก็บสมบัติแล้วหาผ้ามาปิดไว้ เสร็จแล้วก็ดึงมือปู่ของนางซึ่งเป็นคนตาบอดมาให้ลองจับคลำดูแล้วถามว่า
“ดูสิ ท่านพ่อเหลือสมบัติให้เราไว้มากแค่ไหน?”
เรื่องอันเป็นที่เล่าขานของนางก็คือ การที่นางแบกถุงสัมภาระอาหารให้กับท่านนบี ขณะที่ท่านอยู่บนเส้นทางแห่งการฮิจญ์เราะฮฺ ตอนที่นางจะผูกถุงสัมภาระและหาเชือกที่เหมาะสมไม่เจอ จึงได้ฉีกผ้าคาดเอวของนางเป็นสองส่วน อันหนึ่งใช้ผูกย่ามอีกอันใช้ผูกภาชนะใส่น้ำ นางจึงได้ชื่อเป็นที่กล่าวขานว่า ผู้หญิงที่มีผ้าคาดเอวสองอัน (ซาตุน นิฏอก็อยนฺ) และท่านรอซูล ก็ได้ขอดุอาอ์ให้อัลลอฮฺตอบแทนนางด้วยผ้าคาดเอวสองชิ้นในสวรรค์
อีกเรื่องอันเป็นที่กล่าวขานก็คือ การที่นางปลุกใจอับดุลลอฮฺลูกชายของนางให้ลุกขึ้นมาต่อสู้กับอัล-หัจญ์ญาจญ์
โดยได้พูดกับลูกของนางว่า “แพะที่ตายไปแล้ว แม้จะถูกแล่หนังก็จะไม่รู้สึกอะไรอีก”
เป็นคำตอบของนางเมื่อลูกชายบอกว่า “ฉันกลัวว่าพวกเขาจะแล่เนื้อฉัน”
จากนั้นนางก็ขอดุอาอ์ให้ลูกชายว่า
“โอ้อัลลอฮฺ ขอทรงเมตตาต่อการที่เขายืนละหมาดอย่างยาวนาน และเสียงร่ำไห้อันหนักหนาของเขาในช่วงดึกสงัดตอนที่ผู้คนต่างหลับใหลกัน
โอ้อัลลอฮฺขอทรงเมตตาความหิวและความกระหายของเขา ตอนที่เขาถือศีลอด
โอ้อัลลอฮฺขอทรงเมตตาต่อการทำดีของเขาต่อบิดามารดาทั้งสอง”
อับดุลลอฮฺถูกฆ่าในวันที่เข้าไปร่ำลามารดาเสร็จ แล้วอัล-หัจญ์ญาจญ์ก็นำเอาศพของเขาไปแขวนกางเขน พอผ่านไปสามวัน อัสมาอ์ได้เดินผ่านร่างศพลูกชายที่ถูกกางเขน
และนางกล่าวว่า “ยังไม่ถึงเวลาที่นักรบขี่ม้าคนนี้จะลงมาเดินเท้าอีกหรือ?” อัล-หัจญ์ญาจญ์จึงสั่งคนให้นำศพไปฝัง
อัสมาอ์เสียชีวิตเมื่ออายุครบ 100 ปี โดยที่ฟันหรือกรามของนางไม่ได้หักเลยแม้เพียงซี่เดียว และสติของนางก็ยังปกติสมบูรณ์ไม่เคยเลอะเลือนเลยแม้จะอายุมากถึงร้อยปีก็ตาม
แปลโดย : ซุฟอัม อุษมาน / Islamhouse
ที่มา : www.islamselect.net