คุณค่าของการมีจรรยามารยาทดี
โดย : ฟะฎีละตุชเชค มุฮัมมัด บินซอและห์ อัลหุษัยมีน
ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงกรุณาปราณีผู้ทรงเมตตาเสมอแท้จริงบรรดาการสรรเสริญอันงดงามยิ่งนั้นเป็นสิทธิของอัลลอฮฺ เราขอสรรเสริญพระองค์ เราขอความช่วยเหลือจากพระองค์ เราขออภัยโทษต่อพระองค์ เราขอกลับตัวสู่พระองค์ เราขอความคุ้มครองต่ออัลลอฮฺ ให้พ้นความชั่วร้ายของตัวเรา และความไม่ดีจากการงานต่างๆ ของเรา ผู้ใดที่พระองค์ทรงนำทางให้แก่เขาแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดทำให้เขาหลงทางได้ และผู้ใดที่พระองค์ทรงให้หลงทางแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดทำให้เขาสู่ทางถูกได้
และข้าพเจ้าขอปฏิญานว่า แท้จริงท่านนบีมูฮัมมัด นั้นเป็นบ่าวของพระองค์เป็นศาสนฑูตของพระองค์ พระองค์ทรงแต่งตั้งท่านมาด้วยทางนำและศาสนาแห่งสัจธรรม เพื่อที่จะให้ประจักษ์เหนือศาสนาทั้งหลาย พระองค์ทรงแต่งตั้งท่านมาก่อนวันสิ้นโลก เพื่อมาบอกข่าวดี และข่าวร้าย และเป็นการเชิญชวนสู่อัลลอฮฺ ด้วยอนุมัติของพระองค์ และเป็นดวงประทีปอันบรรเจิดท่านได้ทำหน้าที่ประกาศสาสน์นั้นแล้ว ตลอดจนได้ปฏิบัติหน้าที่สั่งสอนบรรดาประชาชาติแล้ว พร้อมได้ต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮฺ เป็นการต่อสู้ที่สมบูรณ์ครบถ้วน จนกระทั่งวันที่ท่านกลับไปสู่พระเมตตาของพระองค์
อัลลอฮฺ ทรงให้ผู้ที่มีความประสงค์จากบ่าวของพระองค์ได้รับความสำเร็จ เขาจึงน้อมรับการเชิญชวนของท่าน และดำเนินตามทางนำของท่านไป และ
อัลลอฮฺ ทรงให้ผู้ที่ด้อยความรู้ของพระองค์ได้ตกต่ำ เขาจึงหยิ่งยโสไม่จงรักภักดีต่อท่าน ไม่เชื่อการบอกกล่าวของท่านและฝ่าฝืนคำสั่งของท่าน เขาจึงเป็นคนขาดทุนอย่างย่อยยับและหลงผิดอย่างห่างไกล
คำว่า : อัลคุลุก แปลว่า มารยาท ตามที่นักวิชาการให้ความหมายไว้นั้น เป็นรูปร่างภายในของมนุษย์ เพราะมนุษย์นั้นมีอยู่สองรูปร่างด้วยกัน
รูปร่างภายนอกที่มองเห็นได้ เป็นลักษณะเป็นรูปร่าง และโครงสร้าง ที่เรียกว่า คิลกอฮฺ ที่อัลลอฮฺ ได้ทรงสร้างเป็นเรือนร่างขึ้น สามารถมองเห็นได้ชัดเจนทั้งหมด มีทั้งรูปร่างที่ดี สวย งดงาม และมีที่ไม่สวยงาม น่าเกลียด หรือสวยก็ไม่เชิงไม่สวยก็ไม่ใช่
อีกชนิดหนึ่งคือรูปร่างภายในนั้น แบ่งเป็นสองประเภทด้วยกันมีทั้งประเภทที่ดีและไม่ดี หรือที่เราเรียกกันว่า “อัลคุลุก” แปลว่า มารยาท ดังนั้น มารยาทก็คือรูปภายในที่มีในจิตใจมนุษย์มาแต่เดิม
มีคำถามว่า : เรื่องของ อัคลาก นั้นเป็นมารยาทเดิมที่ดีมาแต่กำเนิด หรือ เป็นการฝึกฝนปรับปรุงให้มีมารยาทดีขึ้นมา
คำตอบคือ : เรื่องของมารยาทนั้น มีทั้งมารยาทที่ดีมาแต่กำเนิดและมารยาทที่ปรับปรุงให้ดีขึ้น จึงไม่เป็นที่ต้องสงสัยว่า เรื่องของมารยาทนั้นเป็นทั้งมารยาทดีที่มีมาแต่กำเนิดได้ และสามารถปรับปรุงให้มีมารยาทดีได้เช่นเดียวกัน หมายความว่า มนุษย์บางคนนั้น มีธาตุแท้แต่เดิมเป็นผู้มีมารยาทดีงาม มนุษย์บางคนก็มีมารยาทดีโดยวิธีฝึกฝนปรับปรุงแต่งขึ้นได้
นบีมุฮัมมัด กล่าวกับ อะซัจญฺ อับดิลกอยส ว่า“แท้จริงในตัวท่านนั้นมีสองลักษณะ ที่อัลลอฮฺทรงรักทั้งสองลักษณะนั้นคือ ความอดทนและความสุขุม”
เขากล่าวว่า "โอ้ท่านร่อซูลุลลอฮฺ ฉันปรับปรุงให้ดีขึ้นทั้งสองลักษณะนั้น หรือว่า อัลลอฮฺ ทรงสร้างฉันมาแต่เดิมอย่างนั้น"
ท่านตอบว่า “หามิได้ อัลลอฮฺทรงสร้างท่านมาแต่เดิมเช่นนั้น"
เขาพูดว่า "อัลฮัมดุลลิลาฮฺ ที่พระองค์ทรงสร้างให้ฉันมีพร้อมสองลักษณะนั้นที่พระองค์ทรงรักทั้งสองลักษณะนั้น และร่อซูลุลลอฮฺก็เห็นชอบด้วย”
จึงเป็นที่ยืนยันได้ว่า การมีมารยาทดีนั้น เป็นได้ทั้งมารยาทที่มีมาแต่เดิม และการปรับปรุงให้มีมารยาทขึ้น หากแต่ว่ามารยาทดีที่ติดตัวมาแต่เดิมนั้น เป็นสิ่งที่ดีกว่ามารยาทดีที่เกิดจากการปรับปรุงแต่งขึ้น เพราะสิ่งที่ติดตัวมาแต่เดิมเป็นธาตุแท้แต่กำเนิด ไม่ต้องฝืนใจทำให้เป็นผู้มีมารยาทดี ไม่ต้องเสแสร้างทำให้เป็นผู้มีมารยาทดีนั้นนับเป็นคุณความดีที่พระองค์ทรงโปรดปรานให้แก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ ผู้ใดที่มิได้เป็นเช่นที่กล่าวนี้ คือ มิได้มีเป็นผู้มีมารยาทดีแต่กำเนิด แต่สามารถปรับปรุงตนเองให้เป็นผู้มีมารยาทที่ดีงามได้ ด้วยการหมั่นฝึกฝนและพยายามปฏิบัติ
และอย่างไหนจะดีกว่ากัน ระหว่าง ผู้ที่มีมารยาทดีเป็นอุปนิสัยดีที่มีมาแต่กำเนิด กับผู้ที่พยายามปรับปรุงแต่งตนเองที่จะให้เป็นผู้ที่มีมารยาทที่ดี ใครในสองลักษณะนี้มีสถานะสูงกว่ากันและได้รับผลบุญมากกว่ากัน
ประเด็นนี้มีคำตอบว่า ผู้ที่มีมารยาทดี มีอุปนิสัยมาแต่กำเนิดจะมีความสมบูรณ์ยิ่งกว่าคนที่พยายามปรับปรุงให้ตนเป็นผู้มีมารยาทดีหรืออีกนัยหนึ่ง คือ ผู้ที่มีมารยาทดีมาแต่เดิมนั้น ไม่ต้องยุ่งยากลำบากไม่เกิดความผิดพลาดในบางเวลา บางโอกาส หรือบางสถานที่ เนื่องจากการมีมารยาทดีของเขานั้น เป็นสัญชาตญานเดิมของเขา ไม่ว่าในโอกาสใดที่ท่านพบเขา ท่านก็จะเห็นเขาอยู่ในการมีมารยาทดีทุกครั้งไป ฉะนั้น ผู้ที่มีมารยาทดีเป็นอุปนิสัยที่มีมาแต่กำเนิดจึงมีความสมบูรณ์แบบ
สำหรับผู้ที่มีมารยาทดี ที่เกิดจากการปรับปรุงแต่งขึ้น หรือมั่นฝึกฝน เขาผู้นั้นจะได้รับผลบุญ ในการเป็นผู้ทำตนให้มีมารยาทดีที่สามารถต่อสู้กับจิตใจของตนเอง แต่ในเรื่องของความสมบูรณ์แบบคงไม่เท่ากับผู้ที่มีมารยาทดีเป็นอุปนิสัยดีที่มีมาแต่กำเนิด
บุคคลที่ถูกให้บังเกิดมา เป็นผู้มีมารยาทดีแต่กำเนิด หรือเป็นผู้ปรับปรุงตนเองให้เป็นผู้มีมารยาทดี มีอยู่สี่ประเภท คือ
1. คนที่ถูกห้าม (ไม่มี) มารยาทที่ดี
2. คนที่มีมารยาทดีมาแต่กำเนิด แต่เขาหย่อนยานกับมารยาทเดิมนั้น
3. คนที่ถูกให้มีมารยาทดีแต่กำเนิด และได้เพิ่มการมีมารยาทได้ดียิ่งขึ้น ด้วยการปรับปรุงฝึกฝนให้ดีขึ้นอีก
4. คนที่ไม่มีมารยาทดีมาตั้งแต่กำเนิดเดิม แต่เขาพยายามฝึกฝนปรับปรุงให้ดีขึ้นอีก
สรุปว่า การมีมารยาทดี ผู้ที่มีมาแต่ดั้งเดิมโดยกำเนิดก็จะสมบูรณ์ ส่วนผู้ที่มิได้มีมารยาทดีตั้งแต่เดิมแต่เขาได้พยายามปรับปรุงตนเองเป็นผู้มีมารยาทดี มีความยุ่งยากลำบากในการฝึกฝนตนเอง เพื่อที่จะทำตนให้เป็นผู้มีมารยาทดี จากความพยายามปรับปรุงตนเองให้เป็นผู้มีมารยาทดี เขาจะได้รับผลบุญจากการกระทำนั้น
มีคำถามว่าเรื่องของมารยาท ที่มิได้ระบุหลักปฏิบัติทั้งในอัลกุรอาน และในซุนนะฮ์ เราจะทราบได้อย่างไร คำตอบคือ ท่านนบี ได้กล่าวไว้ว่า
“ฉันได้ถูกแต่งตั้งมาเพื่อให้ครบถ้วนสมบูรณ์ในการมีมารยาทที่ดี”
จากเรื่องกล่าวนี้ เนื่องจากว่าหลักบัญญัติต่างๆ ก่อนหน้าที่อัลลอฮฺ ได้ทรงบัญญัติแก่บรรดาบ่าวของพระองค์ทั้งหมด มีการส่งเสริมให้มีมารยาทที่ดีทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้นักวิชาการจึงระบุว่า การมีมารยาทที่ดีนั้นเป็นส่วนหนึ่งจากหลักบัญญัติ ที่เรียกร้องครั้งแล้วครั้งเล่า หากแต่ว่าศาสนาอิสลามสมบูรณ์แบบที่สุดที่ท่านนบี นำมาครบถ้วนสมบูรณ์ในเรื่องของมารยาทที่ดีงาม
ตัวอย่าง เช่น บทลงโทษเรื่องของการประหารชีวิต ถ้ามีคนใดได้ไปทำร้ายคนอื่นแล้ว ในศาสนายิวเขาจะต้องถูกลงโทษอย่างเด็ดขาดสถานเดียวเท่านั้น ไม่มีทางเลือกใดๆ ทั้งสิ้น ในส่วนของศาสนาคริสต์นั้น ตรงกันข้าม คือ จำเป็นต้องให้อภัยสถานเดียว สำหรับศาสนาอิสลาม มีรูปแบบในการตัดสินที่สมบูรณ์ที่สุดทั้งสองด้าน มีทั้งการลงโทษ และการให้อภัย เพราะการเอาเรื่องและลงโทษคนร้าย อันเนื่องจากการกระทำของเขานั้นเป็นการกำจัดและยับยั้งการทำความชั่ว แต่การให้อภัยก็ถือว่าเป็นการแสดงความมีน้ำใจ และแสดงความงดงาม พร้อมการทุ่มเทคุณธรรมให้แก่ผู้ที่ท่านได้ให้อภัยแก่เขา ดังนั้น ศาสนาอิสลามของเรา อัลฮัมดุลิลลาฮฺ มีรูปแบบการตัดสินที่สมบูรณ์ให้ผู้ที่มีสิทธิเรื่องของการลงโทษ ส่วนที่จะเลือกเอาระหว่างการลงโทษหรือการให้อภัยนั้น จะพิจารณา ถ้าสมควรให้อภัยก็ให้อภัยเสีย และถ้าสมควรลงโทษก็ลงโทษไปตามระเบียบ
แปลและเรียบเรียงโดย : อับดุลฆอนี บุณมาเลิศ
ที่มา อัลอิศลาห์สมาคม