อุมมุฮาบีบะห์ รอมละหฺ บินติ อบีซุฟยาน
  จำนวนคนเข้าชม  13981

 

อุมมุฮาบีบะห์ รอมละหฺ บินติ อบีซุฟยาน


แปลและเรียบเรียงโดย อาจารย์ อิหฺซาน มีผลกิจ


           สภาพของมุสลิมในยุคแรกๆนั้น ยังไม่หลุดพ้นจากฟิตนะฮฺ ความวุ่นวายของพวกยะฮูด นอกเสียจากต้องหลบหนีออกจากศาสนา ทั้งนี้ จึงต้องได้รับการแนะนำจากท่านนบี  ในการกระทำนี้ ท่านจึงให้กลุ่มหนึ่งจากบรรดามุสลิมอพยพไปยังฮาบาซะฮฺ (ชาม) หลังจากนั้นอีกลุ่มหนึ่งก็อพยพตามไปทีหลัง ซึ่งการอพยพไปยังฮาบาซะฮฺ ในครั้งนี้ ถือเป็นการอพยพครั้งที่สองในประวัติศาสตร์อิสลาม

          ในการอพยพครั้งนั้นมีสองสามีภารรยาที่เพิ่งจะแต่งงานกันใหม่ๆไปด้วย คือ รอมละฮฺ บินติ อบีซุฟยาน และสามีของนางซึ่งเป็นลูกชายของป้าของท่านนบี ชื่อ อุบัยดุลลอฮฺ อิบนุ ญะฮซฺ ซึ่งทั้งสองเพิ่งจะแต่งงานกันแล้วเข้ารับอิสลาม รอมละหฺจึงกลัวบิดา(อบีซุฟยาน)จะมาวุ่นวายทำร้ายต่อชีวิตคู่ของนาง จึงได้อพยพไปพร้อมกับสามีและบรรดาผู้อพยพในครั้งนั้นไปยังฮาบาชะฮฺ ซึ่งนางก็ได้รับความเหน็ดเหนื่อย ลำบาก เนื่องจากนางได้ตั้งครรภ์เป็นครั้งแรกและก็อพยพ

           ทั้งสองเกือบจะตั้งรากฐานอยู่กินกันที่ฮาบาชะฮฺ แต่ก็ต้องมีเหตุขึ้นมา นางได้ฝันร้ายเกี่ยวกับสามีของนาง ซึ่งในฝันเห็นว่า สามีของนางอยู่ในสภาพที่น่ากลัวกว่าที่นางเคยเห็นมา นางจึงกลัวและสะดุ้งตื่นขึ้นมา แล้วความฝันก็ได้เป็นจริงอย่างที่นางกลัว เมื่อสามีต้องออกจากศาสนาอิสลาม แล้วไปศรัทธาในศาสนาคริสต์ ซึ่งเป็นศาสนาของชาวฮาบาชะฮฺ  เขาจึงพยายามชักจูงนางให้ไปสู่ศาสนาคริสต์อย่างเขาด้วย แต่ความพยายามของเขาไม่เป็นผลสำเร็จในเมื่อนางปฏิเสธ และยังอยากจะอยู่ในอิสลามด้วยศรัทธามั่น ดังนั้น เขาก็ไม่มีทางเลือก นอกจากจะต้องทิ้งนางไป

          ผลก็คือ นางเลือกที่จะอยู่คนเดียวอย่างแร้นแค้นด้วยอิสลาม ดีกว่าตกไปสู่สภาพเป็นผู้ปฏิเสธ ถึงแม้จะมีแต่ความสุขสบาย มีทรัพย์สินเงินทอง เพราะว่าอิสลามนั้น เมื่อใครได้สัมผัสถึงรสชาติของอีมานที่แท้จริงแล้ว เขาจะไม่ยอมรับสิ่งอื่นใดอีกเลย ถึงแม้จะมีใครเอามีดมาจี้คอหรือชีวิตจะหาไม่ก็ตาม เขาจะยังอยู่ในอิสลาม ด้วยเหตุนี้เอง นางจึงเลือกที่จะอยู่ในอิสลาม นางจึงต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวในประเทศที่ห่างไกลและแปลกใหม่ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่นางจะกลับไปมักกะฮฺ เนื่องจากถ้านางกลับไป บิดาของนางซึ่งเป็นหัวหน้าของกุฟฟ๊ารมักกะฮฺ และเป็นศรัตรูตัวฉกาจของอิสลาม ก็จะต้องบีบบังคับกระทำรุนแรงกับนางอย่างแน่นอน และความวิตกกังวลก็บีบคั้นนางเพิ่มขึ้นอีกครั้ง เมื่อนางคลอดลูกออกมาเป็นบุตรสาวชื่อ “ฮาบีบะห์” ซึ่งเด็กคนนี้ไม่เคยเห็นหน้าพ่อของเธอเลย และพ่อของเธอก็ไม่มีโอกาสได้เห็นเธอด้วย

 

           ขณะนั้น ท่านนบี  อยู่ที่มักกะฮฺ ได้ยินเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นกับรอมละฮฺ ซึ่งสามีของนางได้ขายศาสนาอิสลามด้วยกับความปรารถนาในดุนยาเท่านั้น เขาทิ้งนางไปโดยไม่มีความรู้สึกเวทนาต่อนางและลูกที่กำลังจะเกิดมา และด้วยเคราะห์กรรมอันยิ่งใหญ่ที่ได้ประสบกับรอมละฮฺ “อุมมุ ฮาบีบะห์” ก็มิได้ทำให้นบี  นิ่งนอนใจ ท่านจึงได้เขียนสารอันมีเกียรติเพื่อจะช่วยให้นางรอดพ้นจากความเลวร้าย ซึ่งนางกำลังเผชิญอยู่คนเดียว ในดินแดนที่อพยพอันห่างไกล

          ท่านนบี จึงได้เขียนสารถึง “นะญาซี” ซึ่งเป็นกษัตริย์ปกครองฮาบาชะฮฺ ในขณะนั้น เพื่อมอบหมายในนะญาซีทำการวะกี้ลนิกะฮฺ (มอบหมายการสมรส) กับ อุมมุ ฮาบีบะห์ แทนท่านนบี  ซึ่งข้อความในสารนั้น ท่านได้บอกว่า :

“สารที่ฉันส่งมานี้ ก็เพื่อจะมอบหมายให้ชายคนหนึ่งจากบรรดาผู้ที่อพยพไปที่นั่นมาเป็นตัวแทนฉันในการทำอักตุ้ลนิกะฮฺ แทนฉัน เพื่อะแต่งงานกับอุมมุฮาบีบะห์”

          กษัตริย์นะญาซีแห่งฮาบาชะห์ ก็ทำหน้าที่สำคัญครั้งนี้อย่างดี ตามที่ท่านนบี  ร้องขอไป และข่าวการแต่งงานในครั้งนี้ก็กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว เหมือนแสงอาทิตย์ที่แผ่กระจายไปทั่วประเทศ และข่าวดีอันนี้ทำให้ตัวรอมละฮฺมีความปิติยินดี และคลายความกังวล และความเสียใจกับเรื่องต่างๆที่ได้ประสบก็หมดไป

          จากข่าวนี้กษัตริย์นะญะซี ได้มอบของขวัญอันมีค่าให้แก่นาง รวมทั้งบรรดาสตรีผู้มีเกียรติในแคว้นนั้น ก็รีบออกไปมอบของขวัญให้กับนาง และแสดงความยินดีต่อนางในการแต่งงานอันยิ่งใหญ่ และได้สามีที่ล้ำค่าในครั้งนี้


           อุมมุฮาบีบะห์ รู้สึกมีความสุข สบายใจ อย่างเต็มเปี่ยม ความกลัว ความวิตกกังวลซึ่งเคยครอบคลุมนางอยู่ระยะหนึ่งได้เลือนหายไป แม้ว่าในการแต่งงานครั้งนี้ นางจะอยู่ห่างไกลกับท่านนบี แต่นางก็รู้สึกว่าเวลาที่อยู่ที่ฮาบาชะฮฺ อบอุ่น เสมือนกับได้อยู่ร่วมกับสามีอันมีเกียรติของนาง เป็นการสมควรแล้วที่นางจะได้รับรางวัลอันนี้ นางได้เป็นหนึ่งในบรรดาอุมมุ้ลมุอฺมิน ความสุข ความสบาย จะต้องถูกนำมาตามที่อัลลอฮฺ ได้สัญญาเอาไว้ สิ่งที่นางได้รับหลังจากที่นางทุกข์ยากลำบาก ก็คือความดีที่นางจะได้รับ ซึ่งไม่ใช่แค่ได้รับความสุขในดุนยา (แต่งงานกับนบี) เท่านั้น แต่ทว่านางจะได้รับความสุขความสบายในโลกอาคิเราะหฺอันนิรัด์กาลอีกด้วย

           และฮิกมะต์ (ข้อดี )ในการแต่งงานอันรวดเร็วของท่านนบี  กับนางรอมละฮฺ ที่อยู่ห่างไกล ซึ่งท่านไม่รอให้กาลเวลามันเปลี่ยนไป เพราะท่านรู้ว่าถ้าหากไม่รีบแต่งงานในตอนนั้น ปล่อยให้ล่าช้าออกไป จะต้องเกิดอันตรายต่ออุมมุฮาบีบะห์ ซึ่งนางจะต้องตกอยู่ในความกลัวต่อสิ่งที่เกิดในภายภาคหน้าต่อไปเป็นอย่างแน่ เพราะธรรมชาติของมนุษย์นั้น จิตใจจะอ่อนแอ ถึงแม้ว่าจะเป็นผู้ที่ศรัทธาก็ตาม หรือความตั้งใจที่แน่วแน่ก็อาจจะเปลี่ยนแปลงไป และชัยฏอนมันจะคอยกระซิบกระซาบ ถึงแม้จะเป็นเพียงมโนภาพก็ตามที

          นี่แหละคือความเฉลียวฉลาด ความมีไหวพริบของท่านนบี  ท่านเป็นผู้เยียวยารักษาแผลใจที่เจ็บปวด เป็นผู้ประสานหัวใจที่แตกสลาย ซึ่งระยะห่างระหว่างท่านกับอุมมุฮาบีบะห์นั้น มีความห่างไกลกันเป็นระยะทางหลายร้อยไมล์

 

           ในปีที่ 7 หลังจากท่านนบี  กลับมาจากได้รับชัยชนะจากยะฮูดคอยบัร อัลลอฮฺ ได้ทรงทำให้ท่านประหลาดใจกับการกลับมาของบรรดาผู้ที่ยังเหลืออยู่ที่ฮาบาชะฮฺ ซึ่งในนั้นก็รวมถึงฮาบีบะฮฺ ภรรยาของท่าน อัลลอฮฺ  ได้ทรงทำให้ท่านนบี ประหลาดใจกับการกลับมาของนางสู่มะดีนะฮฺ ซึงท่านนบี  ก็ยิ่งดีใจเป็นครั้งที่สองหลังจากที่ท่านดีใจในการที่ได้รับชัยชนะจากพวกยะฮูดคอยบัร ด้วยความเมตตาของอัลลอฮฺ และการดีใจในครั้งนี้อีกครั้ง ท่านดีใจอย่างบอกไม่ถูกในการกลับมาของบรรดาผู้อพยพจากฮาบาชะฮฺ

          ท่านนบี  ได้อยู่กินกับอุมมุฮาบีบะห์ บินตุ อบีซุฟยาน หลังจากที่ได้แต่งงานกับนาง ในขณะที่นางอยู่ห่างไกลกับท่านนบี เป็นเวลานานหลายปี ซึ่งถือเป็นเหตุการณ์เดียวกันแบบนี้ ในประวัติการแต่งงานของท่านนบี กับบรรดาภรรยาคนอื่นๆ

          และอัลลอฮฺ   ได้ประทานรางวัลต่อหญิงผู้ศรัทธาที่ได้อพยพไปในหนทางของพระองค์ ท่านนนบี ได้ตอบแทนนางในการที่นางได้รับความยากลำบาก ทุกข์ทรมานในหนทางที่รักษาอีมานของนางให้ยั่งยืน อัลลอฮฺ  ได้ประทานสามีที่มีเกียรติจากมวลมนุษย์ต่อนาง และนางก็ได้เป็นอุมมุมุอฺมิน ตั้งแต่เวลาที่ท่านนบี  ได้แต่งงานกับนางในขณะที่นางอยู่ในดินแดนอันห่างไกล เพราะแท้จริงอัลลอฮฺ  นั้นจะไม่ทรงให้ผลตอบแทนของผู้ที่ทำดีต้องจางหายไป

 ดังที่พระองค์ทรงตรัสไว้ว่า

 “พิงทราบเถิด แท้จริงบรรดาชนคนที่อัลลอฮฺรักนั้น ไม่มีความหวาดกลัวใดๆแก่พวกเขา และพวกเขาจะไม่เศร้าโศกเสียใจ

คือ บรรดาผู้ศรัทธาและพวกเขามีความยำเกรง สำหรับพวกเขาจะได้รับข่าวดี ในการมีชีวิตอยู่ในโลกนี้และในโลกหน้า

 ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในลิขิตของอัลลอฮฺ นั้นคือ ชัยชนะอันยิ่งใหญ่” 

(ยูนุส : 62-64)


           ในเรื่องราวที่ได้เกิดขึ้นของอุมมุฮาบีบะห์ ซึ่งได้ทราบอย่างชัดเจนด้วยสาเหตุต่างๆมากมาย หลังจากการแต่งงานอันมีเกียรติในครั้งนี้ คือ การให้รางวัล การให้เกียรติ การปลอบโยน ปลอบใจ และความเมตตาสงสารของท่านนบี  ที่มีต่อนาง หลังจากนั้นก็ให้ความคุ้มครอง ดังที่ได้เห็นมาแล้ว ในสาเหตุหลักๆ ที่น่ายกย่อง ถือเป็นมารยาทอันทรงเกียรติ และคุณความดีของท่านนบี

           จากเรื่องราวและสาเหตุนั้น มิใช่ดังที่พวกโง่เง่าจากบรรดานักเผยแพร่ในศาสนาคริสต์ นักบูรพา  แม้กระทั่งบางคนจากพวกเขาซึ่งสืบเชื้อสายมาจากอาหรับคิดอยู่ก็ตาม  พวกเขาได้อ้างว่า ท่านนบี  นั้น มีความพยายามในการหาความสำราญทางด้านร่างกายและมีความอิ่มเอม จึงได้สนองความต้องการนั้นด้วยเพศสัมพันธ์ นี่คือสาเหตุเดียวที่พวกเขาใช้ในการกล่าวหาท่านนบี ในการแต่งงานทุกๆครั้งของท่าน

           และในการแต่งงานครั้งนี้กับอุมมุฮาบีบะห์ ก็เช่นเดียวกัน พวกเขาได้ยกเหตุผลดังกล่าวมาอ้าง เราจะขอโต้ตอบกลอุบายและความมีอคติของพวกเขาให้กลับไปสู่หัวอกของพวกเขาเอง

           สาเหตุการแต่งงานของท่านนบี นั้นเป็นไปดังที่กล่าวมาแล้วในตอนต้น  โดยที่นางก็อยู่ไกลกับท่านนบี  ถึงแคว้นฮาบาชะฮฺ ซึ่งระยะทางมีความห่างไกลกันหลายร้อยไมล์ ส่วนทางด้านระยะเวลานั้น ช่างเป็นเวลาที่น่าประหลาดใจเป็นอย่างมาก เพราะระยะเวลาตั้งแต่ท่านแต่งงานกับนางถึงเวลาที่นางได้มาใช้ชีวิตอยู่กับท่าน เป็นระยะเวลาที่นานหลายปีทีเดียว แล้วมันจะเป็นไปได้หรือ ถ้าหากว่าสาเหตุของการแต่งงาน เนื่องจากการที่ท่านมีตัณหา? ท่านก็คงจะไม่อดทนรออยู่เป็นระยะเวลานานขนาดนี้ มันเป็นการเหมาะกว่าถ้าท่านจะแต่งงานกับหญิงสาว ที่พร้อมจะอยู่ด้วยกับท่านในเวลานั้น ที่เมืองมักกะฮฺ

           ช่างน่าประหลาดจริงๆ ฉันขอสาบานต่ออัลลอฮฺ  ว่า บรรดาพวกนักเผยแพร่ในศาสนาคริสต์ นักบูรพาคดีนั้นได้เอาสมองส่วนไหนเก็บเอาเรื่องนี้มาคิด แล้วเอาลิ้นส่วนไหนของพวกเขามาพูดกันนี่ ? แล้วสิ่งที่พวกเขาได้เขียนมันลงไปนั้น ใครที่ไหนจะเชื่อ ? คงมีแต่พวกที่โง่เขลาเบาปัญญาเท่านั้น เพราะว่า คำพูดของเขานั้น ช่างเป็นคำพูดที่โกหกอย่างเห็นได้ชัด  ฉันขอสาบานต่ออัลลอฮฺ  ว่า มันช่างเป็นคำพูดที่ออกมาจากพวกโง่เขลาเบาปัญญาเป็นที่สุด

 


ที่มา อัลอิศลาห์ สมาคม