เนื่องในวันเทศกาลปีใหม่
เขียนโดย มุฮัมหมัด ซอและฮฺ อัลอุซัยมีน
بسم الله الرحمن الرحيم
การร่วมแสดงความยินดีหรืออวยพรแก่พวกปฏิเสธ(الكفار ) เนื่องในโอกาสวันคริสมาสต์หรือวโรกาสอื่นที่เป็นเทศกาลทางศาสนาของพวกเขาถือเป็นเรื่อง ต้องห้าม (حــرام) โดยมติเอกฉันท์ (بالاتفاق) ดังที่ท่านอิบนุกอยยิม-ร่อฮิมะฮู้ลลอฮฺ-ได้ทำการบันทึกไว้ในหนังสือของท่านที่ชื่อ ( أحكام أهـل الذمـة) โดยท่านได้กล่าวไว้ดังนี้
“ส่วนการแสดงความยินดีหรือกล่าวอวยพรเนื่องด้วยสิ่งที่ถือเป็นสัญลักษณ์ใดก็ตามของพวกปฏิเสธ ถือเป็นสิ่งต้องห้ามโดยมติเอกฉันท์ เช่น การแสดงความยินดีหรืออวยพรเนื่องด้วยวันตรุษ ตลอดจนวันถือศีลของพวกเขา โดยกล่าวว่า عيد مبارك عليك ขอให้เป็นวันตรุษที่มีความจำเริญแด่ท่าน หรือ تهنأ بهذا العيد ยินดีกับวันตรุษนี้ด้วย หรือถ้อยคำอื่นในทำนองเดียวกันนี้
ซึ่งหากแม้ผู้กล่าวถ้อยคำดังกล่าวจะเป็นผู้ที่ไม่มีเจตนายุ่งเกี่ยวกับการปฏิเสธแต่การกระทำดังกล่าวก็ยังถือเป็นสิ่งต้องห้ามอยู่ดี มิหนำซ้ำยังเป็นการกระทำที่อยู่ในฐานะเดียวกันกับการแสดงความปิติหรือการอวยพรด้วยการก้มกราบต่อไม้กางเขน และยิ่งไปกว่านั้นยังนับได้ว่าเป็นการกระทำที่ถือเป็นบาปที่ใหญ่ที่สุด ณ ที่อัลลอฮฺ และเป็นการกระทำที่พระองค์ทรงโกรธกริ้วมากเสียยิ่งกว่าการดื่มเหล้า ฆ่าคนหรือผิดประเวณีเสียอีก
ซึ่งคนส่วนมากที่ไม่รู้จักค่าและฐานะของศาสนามักตกอยู่ในการกระทำโดยรู้ไม่เท่าทันถึงความน่าอัปยศของสิ่งที่ตนกระทำ ดังนั้นผู้ใดก็ตามที่แสดงความยินดีหรืออวยพรกันเนื่องด้วยการกระทำที่เป็นการฝ่าฝืน เป็นการบิดอะฮฺ หรือเป็นการปฏิเสธแล้วละก็ แน่นอนว่าเขาผู้นั้นกำลังนำตนไปเผชิญกับความโกรธกริ้วของอัลลอฮฺอยู่” จบคำพูดของท่าน อิบนุกอยยิม -ร่อฺมะฮุ้ลลอฮฺ-
อันที่จริงการแสดงความยินดีหรือการกล่าวอวยพรต่อพวกปฏิเสธเนื่องในเทศกาลทางศาสนาของพวกเขาถือเป็นเรื่องต้องห้าม ดังที่ท่านอิบนุกอยยิมได้กล่าวไว้ เพราะการกระทำดังกล่าวเป็นการแสดงออกถึงการยอมรับต่อสิ่งที่พวกเขายึดถือปฏิบัติกันอยู่ อันถือเป็นส่วนหนึ่งจากสัญลักษณ์ของการปฏิเสธ อีกทั้งยังนับได้ว่าเป็นการแสดงออกถึงความพึงพอใจต่อประเพณีของพวกเขาอีกด้วย ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีความยินดีที่จะให้การปฏิเสธเกิดแก่ตัวเองก็ตาม หากแต่ว่าสำหรับคนที่เป็นมุสลิมแล้ว การที่เขารู้สึกยินดีกับสิ่งที่ถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของการปฏิเสธ หรือการไปแสดงความยินดีต่อผู้อื่นเนื่องด้วยสิ่งดังกล่าวข้างต้น ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องต้องห้ามสำหรับทั้งสิ้น ทั้งนี้เนื่องจากอัลลอฮฺ ไม่ทรงพอพระทัยต่อเรื่องดังกล่าว ดังที่ได้ตรัสว่า
"หากพวกเจ้าปฏิเสธ ดังนั้นแน่นอนว่าอัลลอฮฺไม่ทรงต้องพึ่งพาพวกเจ้าแต่ประการใด
และพระองค์ไม่ทรงพอพระทัยที่จะให้มีการปฏิเสธเกิดขึ้นแก่บ่าวของพระองค์
และหากพวกเจ้าทำการขอบคุณ พระองค์ทรงพอพระทัยที่จะให้การขอบคุณนั้นมีขึ้นแก่พวกเจ้า"
(อั้ซซุมัร/๗ )
และยังตรัสอีกว่า
" วันนี้ข้าได้ทำให้ศาสนาของพวกเจ้าสมบูรณ์แล้วและข้าได้ทำให้ความโปรดปรานของข้า ครบถ้วนแก่พวกเจ้าแล้ว
และข้ามีความพอใจให้ อัลอิสลาม เป็นศาสนาของพวกเจ้า"
( อั้ลมาอิดะฮฺ/๓)
ซึ่งการแสดงความยินดีตลอดจนการอวยพรเนื่องด้วยวาระดังกล่าวถือเป็นสิ่งต้องห้ามไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงานหรือเป็นบุคคลอื่นก็ตาม และหากพวกเขาเป็นฝ่ายเริ่มแสดงความยินดีหรืออวยพรแก่พวกเราเนื่องในเทศกาลสำคัญ พวกเราก็จะไม่ทำการตอบกลับการแสดงความยินดีหรือคำอาวยพรนั้นๆ ทั้งนี้เนื่องจากเทศกาลดังกล่าวไม่ใช่เทศกาลของพวกเรา และเนื่องจากเทศกาลนั้นเป็นเทศกาลที่อัลลอฮฺไม่ทรงพอพระทัยแต่ประการใด เหตุเพราะว่า ถ้าเทศกาลข้างต้นนั้นไม่ใช้สิ่งที่ถูกต่อเติมขึ้นมาในศาสนาของพวกเขา มันก็เป็นเรื่องที่เป็นบทบัญญัติ แต่เป็นบทบัญญัติที่ได้ถูกยกเลิกไปแล้วโดยศาสนาอิสลามที่พระองค์ทรงส่งมากับท่านมุฮัมหมัด สู่ปวงบ่าวของพระองค์ทั้งหมด พระองค์ตรัสว่า
"และใครก็ตามที่ยึดถือเอาศาสนาอื่นที่ไม่ใช่อิสลามมาเป็นศาสนา แน่นอนว่าศาสนานั้นๆย่อมไม่มีทางถูกตอบรับจากเขา
และเขาผู้นั้นในวันอาคิเราะฮฺจะเป็นหนึ่งจากบรรดาผู้ที่พ่ายแพ้"
( อาละอิมรอน/๘๕)
ส่วนการที่มุสลิมจะตอบรับคำเชิญจากพวกเขาเนื่องในเทศกาลข้างต้นนั้น ถือเป็นเรื่องต้องห้าม เนื่องจากการกระทำนี้นับได้ว่าเป็นเรื่องใหญ่เสียกว่าการแสดงความยินดีหรือการอวยพรเสียอีก เนื่องจากในการกระทำมีการเข้าไปมีส่วนร่วมกับพวกเขาในเทศกาลดังกล่าวด้วย
อีกทั้งยังเป็นเรื่องต้องห้ามสำหรับมุสลิมในการที่จะทำตนเลียนแบบพวกปฏิเสธด้วยการจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ขึ้นเนื่องในเทศกาลที่กล่าวถึง รวมไปถึงการแลกเปลี่ยนของขวัญ การแจกขนมหรืออาหาร รวมไปถึงการหยุดงาน และการกระทำอื่นๆ โดยยึดถือจากคำพูดของท่านนบี ที่ว่า
“ผู้ใดที่ประพฤติตนเลียนแบบชนกลุ่มหนึ่งกลุ่มใด เขาผู้นั้นก็คือส่วนหนึ่งจากชนกลุ่มนั้น”
ท่าน ชัยคุ่นอิสลาม อิบนุตัยมียะฮฺ ได้กล่าวไว้ในหนังสือของท่านที่ชื่อ ب الجحيماقتضاء الصراط المستقيم مخالفة أصحا ว่า
“การลอกเลียนแบบพวกเขาในเทศกาลบางเทศกาลของพวกเขานั้น ย่อมสร้างความปิติให้เกิดขึ้นในหัวใจของพวกเขาต่อความเหลวไหลที่พวกเขากำลังเป็นอยู่ และบางครั้งการกระทำดังกล่าวอาจทำให้พวกเขาเกิดความละโมบที่จะฉวยโอกาส และสร้างความต่ำต้อยให้เกิดแก่บุคคลที่อ่อนแอได้อีกด้วย” จบคำพูดของท่าน -ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮฺ-
ดังนั้นใครก็ตามที่ประกอบการกระทำข้างต้นเขาผู้นั้นย่อมคือ บุคคลผู้ทำบาป ไม่ว่าจะทำไปเพื่อความดูดี ความรัก หรือเพราะความเขินอาย หรือด้วยเหตุผลอื่นใดจากนี้ก็ตาม ทั้งนี้เนื่องจากการการกระทำดังกล่าวถือเป็นการทำลวงหลอกในเรื่องศาสนาของอัลลอฮฺ และถือเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้จิตใจของพวกปฏิเสธแข็งแกร่งขึ้น และยังเป็นการสร้างความภูมิใจในศาสนาของพวกเขาแก่พวกเขาอีกด้วย
ขออัลลอฮฺทรงทำให้ชาวมุสลิมมีเกียรติด้วยศาสนาอิสลาม และโปรดประทานให้พวกเขามีความมั่นคงในศาสนา และโปรดทรงช่วยเหลือพวกเขาให้มีชัยเหนือศัตรู พระองค์คือผู้ทรงแข็งแกร่งผู้ทรงไว้ซึ่งเกียรติ วั้ลฮัมดุลิ้ลลาฮิร็อบบิ้ลอาละมีน วะศ็อลลัลลอฮุอะลานบียินามุฮัมหมัดวะอะลาอาลิฮีวะเซาะฮฺบีฮีอัจม่ะอีน
แปลและเรียบเรียงโดย อาบีดีณ โยธาสมุทร