ความสำคัญของการทำงานในระบบญะมาอะฮ์
  จำนวนคนเข้าชม  12081

 

ความสำคัญของการทำงานในระบบญะมาอะฮ์


โดย... ดร.ฏ็อบรอนีย์   บิลล่าเต๊ะ

 
        การทำงานในระบบญะมาอะฮ์ถือเป็นการทำงานในรูปองค์กรอย่างหนึ่ง เพราะเป็นการทำงานที่ต้องอาศัยความเป็นเอกภาพของคนในกลุ่ม (วะห์ดะฮ์) การเคารพและเชื่อฟังผู้นำ (ตออะฮ์) รวมทั้งการปฏิบัติตามระเบียบวินัยของกลุ่มอย่างเคร่งครัด โดยที่คนในกลุ่มทั้งหมดมีเป้าหมายในการทำงานเหมือนกัน

        การทำงานในระบบญะมาอะฮ์นี้ จำเป็น (วาญิบ) เหนือมุสลิมทุกคน เพราะมุสลิมคือผู้ดำรงชีวิตอยู่โดยมีเป้าหมายสูงสุด คือ การทำความดีเพื่อให้อัลลอฮ์ ทรงพอพระทัย   เรียกว่าเป็นการอิบาดะฮ์ ซึ่งในการบรรลุสู่เป้าหมายนี้ มุสลิมทุกคนจะต้องอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน เรียกกลุ่มก้อนนี้ว่า “ญะมาอะฮ์” หรืออาจเรียกได้ว่าเป็นประชาคมมุสลิมนั่นเอง

         ที่บอกว่าจำเป็น เพราะองค์อัลลอฮ์ พระผู้เป็นเจ้า ได้ทรงบัญญัติไว้ใน อัลกุรอาน ซูเราะฮ์ อาละอิมรอน อายะฮ์ที่ 103 ว่า

واعتصموا بحبل الله جميعا ولا تفرقوا ... الآيةْ} آل عمران : 103}

“จงยึดมั่นอยู่กับสายเชือกแห่งอัลลอฮ์อย่างพร้อมเพรียงกันเถิด และจงอย่าแตกแยกแบ่งฝ่าย...”

        เราสามารถพิจารณาหาเหตุผลที่ทรงบัญญัติเช่นนั้นได้ อย่างน้อยก็คือระบบญะมาอะฮ์ย่อมช่วยให้เกิดความเข้มแข็งได้เป็นอย่างดี เนื่องจากคนในระบบนี้จะช่วยเติมเต็มจุดอ่อนต่าง ๆ ของกันและกันได้ ต้องไม่ลืมว่าคนเราแต่ละคนได้รับพรจากอัลลอฮ์ (มาวฮิบะฮ์) ไม่เหมือนกัน ในขณะที่มีความถนัดด้านหนึ่ง แต่ก็มีจุดอ่อนอีกด้านหนึ่งทุกคนไป ความเป็นญะมาอะฮ์จะช่วยเสริมเติมเต็มจุดอ่อนเหล่านี้ได้ ขณะที่ความแตกแยกจะทำให้จุดอ่อนทั้งหลายยิ่งแผ่ขยายมากขึ้น


        อีกประการหนึ่ง ต้องไม่ลืมว่าโลกเรานี้คือสนามการต่อสู้ระหว่างความดีกับความชั่ว หรืออิสลามกับกุฟร์ แม้ไม่มีการต่อสู้ในรูปแบบที่ใช้กำลังอาวุธยุทโธปกรณ์ แต่การต่อสู้ทางความคิดและวัฒนธรรมกลับดำรงอยู่ตลอดเวลา ธรรมชาติของการต่อสู้ ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้เชิงกายภาพหรือการต่อสู้ทางความคิด ผู้ที่อ่อนแอกว่ามักพ่ายแพ้ และตกเป็นเหยื่อของผู้แข็งแรงกว่าเสมอ นั่นเป็นวิถีแห่งอัลลอฮ์  ที่ทรงกำหนดเหนือชีวิตและจักรวาล ซึ่งเราทุกคนไม่มีทางหลีกเลี่ยง

سنة الله التي قد خلت من قبل  ولن تجد لسنة الله تبديلاْْ}  الفتح : 23}

“นั่นเป็นวิถีแห่งอัลลอฮ์ซึ่งได้ล่วงผ่านมาก่อนแล้ว และเจ้าจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง/ทดแทนวิถีแห่งอัลลอฮ์ได้”


         ขณะที่ความพ่ายแพ้ในสงครามอาวุธอยู่ในรูปของซากศพ การบาดเจ็บล้มตาย การตกเป็นเชลย หรือการถูกยึดครองดินแดน ความพ่ายแพ้ในสงครามความคิดกลับปรากฏในรูปของการสูญสิ้นอัตลักษณ์ การดำเนินชีวิตตามวัฒนธรรมของผู้ชนะ ละทิ้งวัฒนธรรมของตนเอง และการต้องพึ่งพาปัจจัยต่าง ๆ จากผู้ชนะ เป็นต้น

         ถ้าพินิจดูสังคมมุสลิมปัจจุบันให้ดี เราจะพบว่าวัฒนธรรมอิสลามหลายประการสูญหายไปจากสังคม แต่ผู้คนหันไปใช้วัฒนธรรมวัตถุนิยมตามแบบฉบับของโลกตะวันตกแทน นับเป็นสิ่งที่สะท้อนความพ่ายแพ้เชิงความคิดได้อย่างชัดเจน และหากเหตุการณ์ยังดำเนินต่อไปเช่นนี้ ไม่นานอิสลามก็ย่อมหายไปจากชีวิตผู้คน ซึ่งนั่นก็คือการล่มสลายทางอัตลักษณ์ของมุสลิมนั่นเอง


        หากต้องการรักษาอิสลามไว้กับตัว และลาจากโลกนี้ไปในฐานะมุสลิมคนหนึ่ง เราจึงต้องคำนึงถึงความเป็นญะมาอะฮ์ให้มาก ด้วยว่าความเป็นญะมาอะฮ์เปรียบเหมือนบ้านหลังใหญ่ มั่นคงและแข็งแรง สามารถปกป้องภยันตรายต่าง ๆ ให้แก่ผู้อาศัยภายในได้ ทั้งนี้เพราะมือที่โอบบ้านหลังนี้ไว้ เป็นมือที่ทรงพลานุภาพสูงสุด ไม่มีอำนาจใดมาทำให้พ่ายแพ้ได้ คือ หัตถ์แห่งอัลลอฮ์  ผู้เป็นเจ้า ดังคำของนบีมุหัมมัด  ดังนี้

 
“แท้จริง อัลลอฮ์จะไม่ทรงรวบรวมประชาชาติของฉันให้อยู่บนความหลงผิด หัตถ์ของพระองค์จะอยู่ร่วมกับญะมาอะฮ์

และผู้ใดที่กระทำการแปลกแยกออกไป เขาก็แปลกแยกไปสู่นรก”


        หากถามว่า “ญะมาอะฮ์” คืออะไร ก็อาจพบคำตอบหลากหลายจากบรรดาปวงปราชญ์ แต่เมื่อสรุปเอาความแล้ว ญะมาอะฮ์ คือ การรวมกลุ่มรวมตัวของมุสลิมส่วนใหญ่ โดยมีผู้นำที่ได้รับความเห็นชอบ ทำหน้าที่บริหารจัดการสังคม ให้ดำเนินไปตามอุดมการณ์อิสลาม ซึ่งมีหลักใหญ่คืออัลกุรอานและซุนนะฮ์

        สงครามวัฒนธรรมก็เฉกเช่นเดียวกับสงครามอาวุธ จำเป็นต้องอาศัยกำลังพลในการต่อสู้ ยิ่งมีมากก็ยิ่งเพิ่มความเข้มแข็งมาก แต่กำลังพลที่มีจำนวนมากอาจไม่มีความหมายอะไร หากเป็นกำลังที่อ่อนแอ หรือแม้จะเป็นกำลังพลเข้มแข็ง แต่หากไร้ผู้นำ ก็ย่อมไม่อาจเอาชนะฝ่ายตรงข้ามได้

        ควรระลึกไว้ด้วยว่า วิถีวัฒนธรรมนี้ถูกกำหนดให้ดำเนินไปโดยไม่เลือกปฏิบัติ แต่มันจะลุล่วงไปตามวิถีที่ถูกกำหนด ไม่ว่ากับมุสลิมหรือมิใช่มุสลิมก็ตาม ซึ่งโดยนัยนี้ หากกาฟิรมีการรวมตัวที่เข้มแข็ง ก็ย่อมสามารถเอาชนะมุสลิมที่ขาดการรวมตัวได้ แม้มุสลิมจะมีจำนวนที่มากกว่าก็ตาม และโลกมุสลิมปัจจุบันก็เป็นตัวชี้ประเด็นนี้ให้เห็นได้เป็นอย่างดี


        ความอ่อนแออย่างสำคัญของมุสลิมในปัจจุบันเกิดจากภาวะไร้ความเป็นญะมาอะฮ์ตามนิยามที่กล่าวถึงข้างต้น แต่เต็มไปด้วยการแตกแยก แบ่งฝ่าย ชิงดีชิงเด่น ซึ่งหากจะถามถึงสาเหตุ ก็อาจสรุปอย่างรวบรัดแต่ได้ใจความ ตามแบบของศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ มุหัมมัด  เมื่อครั้งที่ท่านเตือนสติประชาชาติอิสลามให้ระมัดระวังความลุ่มหลงโลกไว้ว่า

فوالله ما الفقر أخشى عليكم، ولكن أخشى عليكم أن تبسط عليكم الدنيا كما بسطت على من كان قبلكم، فتنافسوا فيها كما تنافسوها ، فتهلككم كما أهلكتهم

(رواه البخاري الرقم : 3158)

“ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ ฉันมิได้ห่วงเลยว่าพวกท่านจะยากจน

แต่ฉันห่วงว่าโลกจะถูกปูลาดให้แก่พวกท่าน เหมือนที่มันเคยถูกปูลาดให้แก่ประชาชาติก่อน ๆ มาแล้ว

แล้วพวกท่านจะแก่งแย่งแข่งขันกันสวาปามโลก เหมือนที่พวกก่อนหน้าเคยแข่งขัน

แล้วมันก็จะทำลายพวกท่าน ดุจเดียวกับที่เคยทำลายพวกก่อนหน้ามาแล้ว”

 

 

http://www.skthai.org