อัลกุรอานแหล่งที่มาแห่งการสร้างเอกภาพ
โดย... ปริญญา ประหยัดทรัพย์
ท่านพี่น้องมุสลิมทั้งหลายพึงเกรงกลัวอัลเลาะฮฺ เถิด เพราะการยำเกรงต่อพระองค์นั้น คือ ทางรอดแห่งชีวิตทั้งในโลกนี้และโลกหน้า พี่น้องที่เคารพ คำว่า “เอกภาพ” คือความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ความสามัคคี ความร่วมมือกัน ความสัมพันธ์โดยแนบสนิท ท่านนบีมูฮัมหมัด พยายามที่จะให้มวลผู้ศรัทธาทั้งหลายได้ยึดมั่นสิ่งเหล่านี้ คุณลักษณะความเป็นเอกภาพ ความชนะใจคนนั้นมีอยู่ในตัวของท่านนบี ตลอดเวลา
ย้อนอดีตในปีฮิจเราะฮฺศักราชที่ 8 ในขณะที่กองทัพอันเกรียงไกรของท่านนบี นำทัพออกจากมหานครมาดีนะฮฺเพื่อยึดนครมักกะฮฺแดนมาตุภูมิ เมื่อกองทัพได้รายล้อมรอบนครมักกะฮฺนั้น ชาวมักกะฮฺคิดว่าคราวนี้ท่านนบี จะใช้หนี้แค้นที่ครั้งหนึ่งถูกขับไล่ไสส่งออกจากนครมักกะฮฺ ด้วยแสนยานุภาพของกองทัพอันมหึมาของท่าน เกินกว่ากำลังของชาวมักกะฮฺจะทัดทานได้ ในที่สุดท่านนบี ได้ให้คนประกาศว่า
“ชาวมักกะฮฺผู้ใดเข้ามาในมัสยิดฮารอมจะปลอดภัย ผู้ใดเข้าบ้านอบูซุฟยานจะไม่ปลอดภัย"
ชาวมักกะฮฺด้วยความหวาดหวั่นต่างพากันเข้ามัสยิดฮะรอมแน่นขนัด เมื่อไปถึงที่นั่นมีชายฉกรรจ์ถืออาวุธที่พร้อมจะสังหารคู่อาฆาตเก่าให้ถึงแก่ความตายได้ในเวลาอันสั้น แต่ท่านนบี ได้กำชับสั่งการเด็ดขาด ห้ามไม่ให้อาวุธของเราได้สัมผัสเลือดเนื้อร่างกายของชาวมักกะฮฺจนกว่าเขาจะทำร้ายเราก่อน เราจะไม่หยิบยื่นความเจ็บปวด หรือการแก้แค้นทำลายพวกเขา ทั้งๆที่เราเคยเลือดตกยางออก และออกจากนครมักกะฮฺด้วยความสูญเสียอันประเมินค่าไม่ได้
การให้อภัยของท่านนบี นั้นเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก ท่านหยิบยื่นความเมตตาให้ชาวมักกะฮฺ สลัดความอาฆาตพยาบาททิ้งไป ซึ่งถือว่าเป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่ที่สามารถโน้มน้าวจิตใจชาวมักกะฮฺให้สนใจเข้ารับนับถือศาสนาอิสลามด้วยหัวใจที่ซาบซึ้ง ในเจตนารมณ์แห่งคำสอนอันบริสุทธิ์ของอัลอิสลาม ที่มิได้ขึ้นอยู่กับการสั่งสอนในภาคทฤษฎีเท่านั้น แต่ได้แฝงฝังอยู่ในความบริบูรณ์สูงสุดในภาคปฏิบัติ และด้วยตัวอย่างที่สามารถสัมผัสในชีวิตจริงได้
หลังจากนั้นธงของอิสลามได้ถูกยกให้สูงขึ้น ลัทธิการบูชานอกเหนือจากอัลเลาะฮฺได้อันตรธานหายไปจนหมดสิ้น กระทั่งในปีที่ 9 แห่งฮิจเราฮฺศักราช รัศมีแห่งอัลอิสลามได้เจิดจรัสทั่วคาบสมุทรอาหรับ นักประวัติศาสตร์ได้ขนานนามปีนี้ว่า “ปีแห่งหมู่คณะ” ทั้งนี้เนื่องจากคลื่นมหาชนจากคาบสมุทรอาหรับได้หลั่งไหลเข้าสู่นครมาดีนะฮฺ พร้อมประกาศเข้ารับศาสนาของอัลเลาะฮฺเป็นหมู่คณะด้วยความสมัครใจ
เกี่ยวกับเหตุการณ์นี้อัลเลาะฮฺ ทรงดำรัสไว้ในพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานว่า
إذاجاءنصرالله والفتح ورأيت الناس يدخلون فى دين الله أفواجا فسبّح بهمدربّك واستغفر إنه كان توّابا
" เมื่อความช่วยเหลือแห่งอัลเลาะฮฺ และการพิชิตได้มาปรากฏแล้ว และเจ้าได้เห็นมวลมนุษย์ พากันเข้ามาสู่ศาสนาของอัลเลาะฮฺเป็นกลุ่ม ๆ
ดังนั้นเจ้าจงสดุดีพระบริสุทธิคุณ พร้อม ด้วยการสรรเสริญองค์อภิบาลของเจ้าเถิด
และจงขออภัยต่อพระองค์เพราะแท้จริงพระองค์ทรงรับการสารภาพโทษยิ่ง "
(ซูเราะฮฺ อัน-นัศรฺ : 1-3)
หลังจากภารกิจการเผยแพร่ศาส์นอิสลาม ได้เสร็จสมบูรณ์ การสร้างสังคมใหม่บนพื้นฐานของการศรัทธาในพระผู้อภิบาล แห่งสากลจักรวาล และเจตนารมณ์ของรอซูลลุลลอฮ์ ได้ดำเนินไปอย่างครบถ้วน ท่านรอซูลลุลลอฮ์ เริ่มมีสิ่งบอกเหตุว่าตัวเองใกล้มาถึงวาระสุดท้ายของชีวิตแล้ว ท่านจึงได้กล่าวแก่มุอ๊าซ บิน ญะบัล ในวันที่ท่านส่งตัวเขาไปยังเมืองยะมันว่า
“โอ้มูอ๊าซเอ๋ย ! หลังจากปีนี้แล้ว เป็นไปได้ว่า ท่านอาจไม่มีโอกาสพบฉันอีกแล้ว และบางทีท่านอาจเดินผ่านเข้ามัสยิดของฉัน และพบสุสานของฉัน”
เมื่อได้ยินถ้อยคำดังกล่าว ท่านมูอ๊าซก็ร้องไห้อันเนื่องจากเกรงว่าจะไม่ได้พบบุคคลผู้เป็นสุดที่รักเหนือชีวิต และแล้วสิ่งบอกเหตุของท่านนบี ก็เป็นจริง เพราะท่านได้กลับคืนสู่ความเมตตาของอัลเลาะฮฺในปี ฮ.ศ. ที่ 11 ในขณะที่มูอ๊าซกำลังปฏิบัติภารกิจอยู่ในเมืองยะมัน
พี่น้องผู้รักเอกภาพทั้งหลาย มุสลิมทุกคนนั้นเป็นพี่น้องกันซึ่งจะต้องมีความรักต่อกัน แต่ในบางครั้งเนื่องจากเราอยู่กันหมู่มาก อาจจะมีความคิดเห็นขัดแย้งกันก็ตาม แต่จงเอาความดีเข้าผูกพันก่อนที่จะมีสิ่งอื่นแทรงแซงเข้ามาทำให้เราเสียเอกภาพ ฉะนั้นท่านทั้งหลายจงเกรงกลัวอัลเลาะฮฺ ในเรื่องที่จะไม่มีเอกภาพเถิด เพราะแท้ที่จริงผู้ใดก็ตามที่ทำลายเอกภาพ ผู้นั้นจะไม่ได้รับความเมตตาจากอัลเลาะฮฺ นี่เป็นสิ่งที่น่ากลัว น่าหวั่นอย่างยิ่ง ใครจะทำอะไรก็ตามในเมื่อคนนั้นถูกขับออกจากดินแดนแห่งความกรุนา และความเมตตาของอัลเลาะฮฺ แล้วจะมีอะไรดีอีกหรือสำหรับบุคคลนั้น
เมื่อเป็นอย่างนี้ความเป็นเอกภาพ ความมีภราดรภาพ ความเป็นญาติได้ถูกกำหนดไว้อย่างสูงสุดในอิสลาม ที่บุคคลต้องสำนึกอยู่ตลอดเวลา มิฉะนั้นผู้ที่ขาดคุณสมบัติในเรื่องนี้เขาจะสูญเสียศักดิ์ศรีในความเป็นมุสลิม สูญเสียความเป็นมุอฺมินอย่างสมบูรณ์ โดยแน่นอน เล่าโดย นัวะมาน บุตรของท่านบะซีร ว่า ท่านนบี ได้กล่าวไว้ว่า :
“อุปมาอุปไมยแก่มวลศรัทธาชนในอันที่จะต้องมีความรักต่อกัน มีความเมตตาต่อกัน มีความอ่อนโยนต่อกัน มีความสัมพันธ์ต่อกัน
มีความเกื้อกูลกันนั้นดุจดั่งเรือนร่างเดียวกัน
เมื่ออวัยวะหนึ่งอวัยวะใดเกิดเจ็บป่วยย่อมแผ่ความเจ็บปวดกระจายไปทั้งร่างให้นอนไม่หลับ"
(รายงานโดยบุคคอรี – มุสลิม)
ท่านพี่น้องที่เคารพทุกท่าน อัลกุรอานสอนให้เราทุกคนอยู่ร่วมกันในสังคมบนโลกใบนี้อย่างสันติสุข มีความสมานฉันท์ มีเอกภาพต่อกัน ดังอัลกุรอานได้ระบุไว้ในซูเราะฮฺ อาลิอิมรอน โองการที่ 102,103,104 ความว่า
"โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย พวกเจ้าจงยำเกรงอัลเลาะฮฺอย่างจริงใจ และพวกเจ้าจงดำรงมั่นอยู่ในศาสนาอิสลามจนกว่าจะตาย"
"พวกเจ้าทั้งหลายจงยึดมั่นในแนวศาสนาของอัลเลาะฮฺเถิด และจงอย่าแตกแยกกัน"
"และพวกเจ้าแต่บางส่วนจงเป็นกลุ่มชนที่ชักชวนไปสู่ศาสนาอิสลามใช้ให้กระทำดี และห้ามปรามจากความชั่ว พวกเหล่านั้นแหละคือพวกที่มีชัย"
โองการพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานข้างต้นนี้กำชับให้สมัครสมานสามัคคี ให้มีเอกภาพ และให้มีผู้ที่คอยตักเตือน ให้กระทำแต่ความดี และห้ามปรามมิให้กระทำชั่ว เมื่อท่านทั้งหลายรู้หน้าที่ของตน และปฏิบัติตามโดยถือตามเนื้อหาของอัลกุรอานที่กล่าวมาแล้วสังคมก็จะมีแต่ความร่มเย็นเป็นสุขทั่วหน้ากัน
สำนักจุฬาราชมนตรี http://www.skthai.org