ความเป็นธรรมมีค่ามากกว่าสันติภาพ
  จำนวนคนเข้าชม  4341

 

ความเป็นธรรมมีค่ามากกว่าสันติภาพ


โดย : บัรกัต  สยามวาลา นักวิชาการอาวุโส


         สงครามเป็นเกมที่สนุกของผู้รุกรานที่ทรงพลัง เป็นความทุกข์ยากของผู้เป็นเหยื่อ และเป็นความชั่วร้าย ที่อารยชน พึงประณาม

          ถ้า “สันติภาพ” เป็นสภาวการณ์ที่ตรงกันข้ามกับสงคราม ก็น่าจะเป็นผลตรงกันข้ามกับข้อที่กล่าวมานั้นทุกประการ กล่าวคือ สันติภาพ ควรจะเป็นความทุกข์ยากของผู้รุกรานที่ทรงพลัง เป็นความอุ่นใจของผู้อ่อนแอ และเป็นสิ่งดีงามที่อารยชน พึงนิยม


          “สันติภาพ” ที่นานาชาติต่างก็อ้างว่าเป็นที่ปรารถนาอย่างยิ่ง เป็นเป้าหมายของ องค์การสหประชาชาติ เป็นความหวังของประชาคมโลก กลับยังคงเป็นความฝันอันเลื่อนลอย ในขณะที่ผู้นำของโลกพูดถึงสันติภาพ เสียงกรรโชคขู่ขวัญ เสียงเครื่องจักรผลิตยุทธปัจจัย เสียงประณามต่อว่าต่อขานกัน เสียงใส่ร้ายป้ายสีกัน เสียงทดลองอาวุธมหาภัยที่แอบทดลองกันก็ยังอุตส่าห์ลอดออกมาส่งเสียง สะท้อนจากแหล่งต่างๆ ไม่ขาดระยะ


          “สันติภาพ” เช่นนี้ละหรือที่อารยชนพึงนิยม ดูห่างไกลกับทัศนคติของสันติชนทั่วโลก เป็น “สันติภาพ” ที่ไม่เพียงแต่ไม่สามารถให้ความสุขแก่ผู้อ่อนแอ แต่กลับเป็นการทรมานใจที่ต้องหวาดผวาอยู่ตลอดเวลา จนแทบจะทำให้เห็นว่าให้รบกัน ให้แหลกลาญแตกหักกันใปข้างหนึ่ง ให้รู้แล้วรู้รอดไปยังจะดีเสียกว่าเป็นไหนๆ ส่วนสำหรับผู้รุกรานที่ทรงพลังเล่า (สมมติว่ายังมีอยู่จริง) พวกเขาจะรู้สึกทุกข์ใจ เพราะสันติภาพกระนั้นหรือ

          ตรงกันข้าม “สันติภาพ” แบบนี้แหละที่เขาอยากเห็นนัก เพราะเปิดโอกาสอันงามให้เขารุกเงียบไม่ต้องเสียเลือดเนื้อ ไม่ต้องแสดงตนออกมา แถมยังมีโอกาสสอดแนม และมีโอกาสผลิตทั้งยุทโธปกรณ ทั้งลมปากอันเป็นพิษโดยไม่มีใครขัดขวางได้ ซ้ำร้ายบางทียังกลับได้รับการยกย่องสรรเสริญว่าเป็นผู้ธำรงสันติภาพเลยก็มี


          “สันติภาพ” ดังว่านี้จึงดูเหมือนว่าจะเป็นภาพลวง เป็นคำที่มีเสน่ห์ในตัวที่ทำให้ผู้ฟังมองเห็นภาพจริงได้ ถึงเวลาแล้วที่ปัญญาชนทั้งหลายพึงปลุกประชาคมโลกที่ยังคงเคลิบเคลิ้มกับเสน่ห์ของ “สันติภาพ” ให้ตื่นขึ้นดูเหตุการณ์ใหม่ ถ้ายังเป็นโชคของมนุษย์อยู่ ก็จะทำให้เรารู้สึกตัวได้ว่ากำลังเล็งเป้าหมายที่ผิดทิศทางตลอดมา

          แน่นอนที่สุด เป้าหมายที่ประชากรโลกจะต้องมุ่งไปสู่นั้นก็คือความเป็นธรรม เพราะถ้าจะมองจากแง่ความเป็นธรรมแล้ว สันติภาพก็ดี ความอุ่นใจก็ดี ความสงบสุขก็ดี ก็ล้วนเป็นผลพลอยได้ที่ติดตามมาอย่างไม่ต้องตะเกียกตะกายกันอย่างทุกวันนี้

 

         ความเป็นธรรม มีกัมมันตภาพในตัวที่จะธำรง ความสงบสุขไว้ได้ สันติภาพเป็นเพียงสภาวะการณ์หรือผลลัพธ์ประการหนึ่งของความสงบสุขเท่านั้น ฉะนั้น ถ้าเราต้องการความสงบสุข เราก็ต้องแก้ที่ต้นเหตุ คือ ต้องยึดความเป็นธรรมเป็นบรรทัดฐาน มิใช่ที่ปลายเหตุ เปรียบเหมือนเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเป็นต้น เหตุของกระแสไฟฟ้าซึ่งอาจนำไปใช้ให้เกิดแสงสว่างหรือพลังงานอย่างใดก็ได้ ถ้าเราไม่ต้องการความมืด หรือถ้าเราไม่ต้องการออกแรงเอง เราก็ต้องจัดหาแหล่งกำเนิดกระแสไฟฟ้าไว้ใช้ มิใช่คอยจะให้มีกระแสไฟขึ้นมาเอง

          ฉันใดก็ฉันนั้น ความเป็นธรรมเทียบได้กับแหล่งกำเนิดกระแสไฟฟ้า ความสงบสุขเทียบได้กับกระแสไฟฟ้า และสันติภาพเทียบได้กับแสงสว่าง หรือพลังงานจากกระแสนั้น แต่ความเป็นธรรม เป็นธรรมชาติที่ไม่ต้องสร้างขึ้นมาหรือจัดหาอย่าง เครื่องกำเนิดไฟฟ้า เพราะมีอยู่ทุกเมื่อแล้ว เพียงแต่รอให้เราค้นพบและยึดถือเอามาเป็นส่วนเดียวกับชีวิตของเราเท่านั้น ให้ดูปรากฎการณ์ธรรมชาติเป็นตัวอย่าง เช่น

♥ ความเป็นธรรม ของน้ำหรือธรรมชาติของน้ำ คือการหาระดับพอดีของมันเอง

ความเป็นธรรมสำหรับปรมาณูต่างๆ ในวัตถุธาตุทุกชนิดก็อยู่ที่การรักษาส่วนของโปรตอน อิเล็กตรอน และนิวตรอน ของแต่ละธาตุไว้

ความเป็นธรรมของโลก ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ดาวนพเคราะห์ ตลอดจนทุกสิ่งในจักรวาล ก็อยู่ที่การรักษาอัตราโคจรตลอดจนวิถี ที่พอดี

       แม้แต่ความเป็นธรรมในร่างกายของคนเราก็เป็นตัวอย่างประการหนึ่ง คือร่างกายในสภาพที่ไม่เจ็บไข้ก็มีการสูบฉีดของหัวใจ การผายปอด การยอย การขับถ่าย ฯลฯ อยู่ในระบบเดียวกัน และประสานงานกันอย่างสนิท ครั้นส่วนหนึ่งส่วนใดอาพาธ ระบบของร่างกายก็จะปรับตัวในทันที เพื่อช่วยกันนำร่างนั้น ให้กลับสู่ความเป็นธรรมโดยมิชักช้า

          ถ้าน้ำบางหยดไม่ยอมปรับตนให้เข้ากับธรรมชาติ อณูบางอณูก็ไม่ยอมหลีกทางให้กับปริมาณที่ต้องการจะรักษาระดับธรรมชาติ ดาวนพเคราะห์บางดวงไม่ต้องการจะโคจรไปในระบบของจักรวาล ส่วนหนึ่งของร่างกายไม่ต้องการเกี่ยวข้องกับการหาความเป็นธรรมของส่วนอื่นๆ โดยต่างก็จะถือเอาตามอำเภอใจแล้ว ไม่ช้าสิ่งนั้นๆ ก็จะแตกดับไปในที่สุด

           แต่ความเป็นธรรมสำหรับคนเรานั้นไม่อาจพบได้ง่ายเหมือนในวัตถุธาตุอื่นๆ เพราะเรามีทั้งสังขารและทั้งจิต ความเป็นธรรมของสังขาร ซึ่งประกอบด้วยวัตถุธาตุ อันน่าจะอนุโลมตามธรรมชาติอื่นๆ ก็ยังอยู่ในอาณัติของจิตเสียเป็นส่วนใหญ่ เช่น การย่อยอาหาร การหลับ การเต้นของหัวใจ ฯลฯ ก็เป็นไปตามอารมณ์ของจิต

           คราวนี้ขอให้พิจารณาดูความเป็นธรรมของจิตเอง เพื่อหาหนทางที่จะช่วยให้จิตได้พบกับความเป็นธรรม ซึ่งก็ย่อมหมายถึงการพบกุญแจดอกเดียวที่จะยังความสงบสุขแก่มวลมนุษย์ทั่วโลกได้อย่างแท้จริง  โดยที่ความเป็นธรรมเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้ว ฉะนั้นการที่จิตยังไม่ประสบความสงบ สุข หรือยังไม่พบความเป็นธรรมนั้น ก็คงต้องมีอุปสรรคอย่างหนึ่งอย่างใดที่ขวางอยู่ เช่นเดียวกับแอ่งที่ขังมิให้น้ำไหลไปตามธรรมชาติของมัน


          วิธีหนึ่งที่จะช่วยให้เราค้นหาอุปสรรคที่ขวางมิให้จิตได้พบกับความเป็นธรรม ก็คือการหยุดพิจารณาดูตัวเราให้ซึ้งทุกครั้งที่รู้สึกว่าขาดความสงบสุข ฉะนั้นเมื่อเราพูดว่าต้องการเห็นสันติภาพยิ่งกว่าสงคราม แต่ถ้ามีประเทศมหาอำนาจประเทศใดประเทศหนึ่งคุกคามสันติภาพของประเทศที่อ่อนแอกว่าได้รับความเป็นธรรม เช่นขอร้องให้ประเทศที่อ่อนแอกว่าให้พ้นภัย แต่แล้วเรามักจะกลับต้องคิดดูเสียก่อนว่าประเทศไหนมีสัมพันธไมตรีมากน้อยเพียงใด เรามีสนธิสัญญาที่ดูดายเสียเฉยๆ โดยอ้างว่าไม่ใช่ธุระกงการอะไรบ้าง ต้องการเป็นผู้รักษาสนธิสัญญาระหว่างประเทศบ้าง ไม่ต้องการหาเรื่องให้เราถูกรุกรานบ้าง กลัวจะเสียไมตรีกับประเทศนั้นประเทศนี้บ้าง ซึ่งถ้าจะพิจารณาให้ดี สนธิสัญญาต่างๆ ก็ดี สัมพันธไมตรีต่างๆ ที่มีอยู่กับนานาประเทศได้ทำขึ้นก็ด้วยความเชื่อในความสุจริตใจของคู่สัญญาว่าคงจะรักสันติภาพเหมือนกับเรา เมื่อเขาไม่เป็นเช่นนั้น ก็ไม่เป็นธรรมอย่างใดที่จะอ้างสนธิสัญญาต่างๆ ว่าเป็นเหตุทำให้เราอยู่ในฐานะที่จะออกความเห็นได้ เรื่องของเรื่องก็คือ เราเกรงเขา เราห่วงความปลอดภัยของตัวเอง เรากลัวจะขาดผลประโยชน์ที่เขากำลังให้เรา

         จากเรื่องระหว่างประเทศหันมาดูตัวอย่างในเรื่องระหว่างบุคคลบ้าง สมมุติว่าเราเห็นความไม่เป็นธรรมของผู้มีอำนาจต่อผู้น้อย เราก็ไม่กล้าออกความเห็นให้ผู้มีอำนาจได้ยินแล้วเราก็พยายามหาเหตุผลที่ “ชอบธรรม” ต่าง ๆ นานา สำหรับการเอาหูไปนา เอาตาไปไร่ โดยอ้างว่านอกขอบข่ายหน้าที่บ้าง พยายามหาข้อแก้ตัวให้กับผู้เบียดเบียนนั้นบ้าง นั่งปลงอนิจจังว่าเป็นกรรมของสัตว์บ้าง แต่ความจริงที่ไม่ยอมรับ ก็คือเรากลัวอิทธิพลของผู้มีอำนาจ เรากลัวจะขาดประโยชน์ที่เคยได้รับ เรากลัวจะเสียตำแหน่ง


         ไม่ว่าจะพิจารณากรณีใดๆ ที่ ทำให้เราขาดความสงบสุข ก็จะพบว่าสาเหตุที่เราอ้างนั้นเป็นสาเหตุที่เลี่ยงความจริง สาเหตุที่แท้จริงอย่างตรงไปตรงมาก็มาลงเอยที่ตัวเราเองทั้งนั้น แม้แต่ในกรณีที่เรามีอำนาจกว่าหรือเป็นผู้พิชิต หรือทำงานให้สังคมอย่างใดอย่างหนึ่ง และใช้อำนาจของเราปราบสิ่งที่ไม่เป็นธรรมราบลงแล้ว เราก็ยังไม่พอใจจะหยุดเพียงเท่านั้น เราต้องจัดงานฉลองชัยชนะหรือความสำเร็จนั้น เราต้องทารุณกรรมกับผู้แพ้ เราต้องเยาะเย้ยเขา เราต้องหวังการยกย่องจากสมัครพรรคพวก  เราต้องหวังรางวัลจากผู้บังคับบัญชา  เราจะผิดหวังเป็นอย่างยิ่งถ้า หนังสือพิมพ์ไม่ประโคมข่าวความสำเร็จของเรา เป็นอันว่าความเป็นธรรมในแง่คิดของเราก็คือเป็นธรรมแก่ตัวเองเท่านั้น เราพยายามคัดความเป็นธรรมที่เป็นอยู่อย่างอิสระให้หันมาเป็นเครื่องรับใช้เราเอง

 

         ก่อนที่จะกล่าวต่อไป ขอย้อนถึงคำอ้างในกรณีที่เรากลัวอิทธิพลต่างๆว่า ข้าพเจ้ามิได้ตั้งใจจะให้ต่อต้านด้วยการใช้กำลังกับอำนาจนั้นเพื่อความเป็นธรรม อย่างน้อยถ้าเลี่ยงได้ ก็ควรเลี่ยงจากการสนับสนุนความไม่เป็นธรรม ถ้าเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ก็ต้องยอมเสียสละความเห็นแก่ตัวเพื่อความเป็นธรรม เพราะการที่จะมีชีวิตอยู่ในสภาพของความหวาดกลัว นอกจากจะยุยงส่งเสริมอำนาจอธรรมให้คุกคามกว้างขวางออกไปแล้วยังจะเป็นสภาวการณ์ที่หลอกหลอนทรมานจิตใจของเราไปตลอดชีวิต

         จากตัวอย่างที่อ้างมานี้ ก็พอจะชี้ให้เราเห็นอุปสรรคที่ขัดขวางมิให้จิตของเราพบกับความเป็นธรรมได้แล้ว อุปสรรคนั้นก็คือ “ตัวเราเอง” คือเราตั้งข้อยกเว้นให้แก่ตัวเราได้ทุกกรณี ทั้งที่เราต้องการความเป็นธรรมจากผู้อื่น

         คราวนี้ จะกล่าวถึงความเป็นธรรมที่อาจมีได้ในกรณีที่เราต้องการความสงบสุข หรือสันติภาพในโลก ถ้าจิตใจของทุกคนในโลกมุ่งรักษาความเป็นธรรม ความสงบสุขก็จะเกิดมีขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ระดับจิตใจของคนทุกคนแตกต่างกันไปตามผลแห่งกรรม ความไม่เป็นธรรมจึงมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง เราจะใช้คำว่า “สันติภาพ” เป็นโล่ก็หาพ้นไปได้ไม่ ฉะนั้นควรใช้มาตรการใดบ้าง เพื่อที่จะแก้ไขสถานการณ์ให้ดีขึ้น  ข้าพเจ้าเห็นว่าเราควรตั้งนโยบายเกี่ยวกับการขจัดความไม่เป็นธรรม ไว้ดังนี้


1. ตรึกตรองให้แน่ใจเสียก่อน ว่าสิ่งที่เราคิดขจัดนั้นเป็นความเป็นธรรม มิใช่เป็นเพียงเครื่องขัดลาภ  หรือผลประโยชน์ของเราเอง


2. เมื่อแน่ใจแล้ว ก็ให้หาวิธีขจัดโดยหลีกเลี่ยงการใช้กำลังก่อน เช่น ด้วยการเจรจา การเลิกสนับสนุน ฯลฯ


3. เมื่อจำเป็นต้องใช้กำลังโดยไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ก็ระวังอย่าให้ความห่วงตัวเองฝ่ายเดียวเป็นเหตุให้เลิกล้มความตั้งใจเสีย


       4. เมื่อจะใช้กำลัง ให้ระลึกเสมอว่าเราจะใช้ต่อต้านความไม่เป็นธรรม มิใช่เพื่อทำร้ายบุคคลอย่างใช้อารมณ์ อย่าทำเกินกว่าเหตุ เมื่อความไม่เป็นธรรมหมดไปแล้วให้หยุดใช้กำลังทันทีอย่าติดตามพยาบาทบุคคลและอย่าจองเวร แต่ถ้าถึงคราวที่ต้องเสียสละก็อย่าลังเลใจ


          ฉะนั้น จึงพอสรุปได้ว่าจุดหมายของผู้รักสงบควรจะมุ่งหาความเป็นธรรม สันติภาพ ที่มีอยู่ในท่ามกลางความไม่เป็นธรรม เป็นสันติภาพจอมปลอม เป็นม่านที่ซ่อนการตระเตรียมกำลังอาวุธของผู้รุกราน ส่วนความเป็นธรรมเป็นหลักประกันอย่างแท้จริงในการดำรงไว้ซึ่งสันติสุขของชาวโลก ฉะนั้นความเป็นธรรมจึงมีค่าเสียยิ่งกว่าสันติภาพ

 

 

http://www.skthai.org