ย้อนรอยอดีต ผู้ก่อฟิตนะฮ์ อับดุลลอฮฺ อิบนุ สะบะ
แปลและเรียบเรียงโดย อาจารย์ ยะหฺยา อับดุลการีม
อับดุลลอฮ์ อิบนุสะบะ เป็นชาวยิว เมืองศอนอาอ์ ประเทศเยเมน เดินทางเข้าสู่เมือง มะดีนะตุล มุเนาว์วะเราะฮ์ เพื่อเข้ารับอิสลามในปี ฮ.ศ. 30 โดยวัตถุประสงค์สำคัญ คือ การมุ่งทำลายอิสลาม เขาได้อธิบายอัลกรุอาน โดยเอาคัมภีร์เตารอตเป็นข้ออรรถาธิบาย อับดุลลอฮ์ อิบนุสะบะ รับเอาอิทธิพลคำสอนของยิวและเปอร์เซียซึ่งแพร่หลายอยู่ในประเทศเยเมน ในช่วงที่เปอร์เซียร์เข้าไปยึดครอง เขาทำการเผยแพร่แนวความคิด แปลกๆมากมาย ในเมืองมะดีนะฮ์แต่ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะมีศ่อฮาบะฮ์ระดับผู้นำอยู่หลายท่านจึงไม่มีใครฟังคำพูดของเขาและในที่สุดเขาก็ถูกขับไล่ออกจากเมืองมะดีนะฮ์
หลังออกจากเมือง มะดีนะฮ์เขามุ่งหน้า ไปๆมาๆ อยู่ระหว่างเมืองบัศเราะฮ์ กูฟะฮ์ ชาม เพื่อเผยแพร่ความคิดแหวกแนว แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ ไม่มีใครให้ความสนใจแนวคิดของเขา ต่อมาจึงเดินทางไปประเทศอียิปต์ ซึ่งที่นั่นมีกลุ่มบุคคลฟังคำพูดของเขา เพราะพวกเขาเพิ่งจะเข้ารับอิสลามใหม่ๆ มาอยู่ที่นั่น พร้อมกับกองทัพของท่านแม่ทัพ อัมร์ อิบนุล อาศ์ ร่อดิยัลลอฮุอันฮ์
เมื่อพบว่ามีกลุ่มชนผู้รับฟังเขาจึงเริ่มแพร่แนวความคิดแหวกแนวสร้างความสับสนให้ทันที เขากล่าวว่า “เราแปลกใจ ผู้ที่อ้างว่านบีอีซาจะกลับมาสู่โลกนี้แต่ไม่เชื่อว่า นบีมุฮัมมัดจะกลับมาสู่โลกนี้ ? ทั้งๆที่มุฮัมมัดนั้นมีสิทธิ์ที่จะกลับมาสู่โลกนี้ยิ่งกว่าอีซาเสียอีก” กลุ่มผู้รับฟังเชื่อสนิทใจ เพราะท่านนบีมุฮัมมัด เป็นนบีและร่อซูลที่ประเสริฐกว่าบรรดาท่านนบีทั้งหลาย
อิบนุสะบะ ไม่หยุดเพียงเท่านั้น เมื่อประสบกับโอกาสแล้ว เขาจึงอธิบายสร้างความสงสัยสับสนให้กลุ่มผู้รับฟังอีกว่า “ในบรรดาคัมภีร์ที่มีมาก่อนๆ ปรากฏว่ามี นบี นับพัน นบี” แต่ละท่านล้วนมีผู้ได้รับการสั่งเสียให้สืบทอดแทนทั้งสิ้น ดังนั้นต้องมีคนที่เป็นผู้สืบทอดแทน นบีคนสุดท้าย เพราะมุฮัมมัดเป็นนบีท่านสุดท้าย
“ แล้วใครเล่า จะอธรรมยิ่งกว่าผู้ที่ไม่ยอมรับต่อผู้ได้รับการสั่งเสียของท่านนบี ? ”
“แล้วจะมีใครอีกเล่าที่จะอธรรมยิ่งไปกว่าผู้ที่เป็นศัตรูกับผู้ได้รับการสั่งเสียของท่านนบีและขึ้นเป็นผู้ปกครองประชาชาติ ?”
คราใดที่มีกลุ่มผู้ฟังมานั่งรายล้อมเขา เขาก็ยิ่งเป่าหู กระตุ้นให้ลุกฮือฮาขึ้น เพื่อปลดท่านค่อลีฟะฮ์ อุสมาน ร่อดิยัลลอฮุอันฮ์ และให้ท่านอาลี ร่อฎิยัลลอฮุอันฮ์ เป็นผู้ปกครองแทน เพื่อให้ตรงกับคำสั่งเสียของท่านนบี ตามที่เขาอ้างเอาเอง อิบนุสะบะกับพรรคพวกวางแผนร้ายทำลายเมืองมะดีนะฮ์แต่ไม่ได้ นอกจากต้องหาทางทำลายผู้ปกครองของท่านค่อลีฟะฮ์ตามหัวเมืองต่างๆเสียก่อน ดังนั้น พรรคพวกของเขาจึงเริ่มแผนโดยใช้วิธีโจมตี ข้าหลวงของท่านค่อลีฟะฮ์ อุสมานที่ประเทศอียิปต์ อาศัยองค์กร ชื่อ “อัลอัมรุบิลมะอฺรูฟ วันนะฮฺยุอะนิลมุงกัร” คือ “ใช้ให้ทำดีห้ามไม่ให้ทำความชั่ว” เป็นฉากบังหน้า เพื่อให้ผู้คนได้เข้ามาร่วมงาน
นี่คือ “ฟิตนะฮ์” (การสร้างความวุ่นวาย) เริ่มจากการที่อับดุลลอฮ์ อิบนุสะบะกับพรรคพวกซึ่งไม่เคยเป็นสหายของท่านนบี เลยในขณะที่ท่านมีชีวิต เขาแสดงตัวว่า “เป็นผู้สละโลก” เพื่อเอาเป็นฉากปิดบัง แผนร้ายที่มุ่งหวังคือการกำจัดท่านค่อลีฟะฮ์ อุสมาน ร่อฎิยัลลอฮุอันฮ์
มีบุคคลที่บริสุทธิ์ตกหลุมพรางเข้าไปเป็นพรรคพวกจำนวนหนึ่ง เมื่อฟิตนะฮ์กระจายออกไปอย่างกว้างขวาง กลุ่มของอิบนิ สะบะ มีจำนวนเพิ่มมากยิ่งขึ้นและขยายออกไปสู่หัวเมืองต่างๆ เช่น กูฟะฮ์ และบัศเราะฮ์ พวกเขาได้นัดหมายกันเพื่อเดินทางเข้าสู่เมืองมะดีนะฮ์ ตามแผน เพื่อปิดล้อมค่อลีฟะฮ์ อุสมานร่อฎิยัลลอฮุอันฮ์ และปลดท่านออกจากตำแหน่งหรือสังหารท่านเสีย
พวกเขาออกใบปลิวปลอมในนามของ ศ่อฮาบะฮ์ แจกจ่ายสู่ประชาชนโจมตีค่อลีฟะฮ์ กล่าวหาท่านอย่างเสียหาย และในใบปลิวที่เป็นเรื่องเท็จนี้ เรียกร้องให้ประชาชนเข้าร่วมโค่นล้มค่อลีฟะฮ์ อุสมานด้วย เนื่องจากการติดต่อสอบถามความเป็นจริงในสมัยนั้นล่าช้าประชาชนยังไม่ทันจะตัดสินใจว่าอะไรถูก อะไรผิด กลุ่มผู้คิดร้ายก็บุกเข้าไปปิดล้อมไว้หมดทุกด้านแล้ว
ท่านหญิงอาอิชะฮ์ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮา ปฏิเสธว่าไม่เคยรู้เห็นหรือร่วมมือกับกลุ่มที่โค่นล้มค่อลีฟะฮ์ อุสมาน ที่ส่งใบปลิวถึงประชาชนแต่อย่างใดทั้งสิ้น และพี่น้องประชาชนได้รู้ในภายหลังว่าไม่มี ศ่อฮาบะฮ์ท่านใดบอกประชาชนให้มาโค่นล้มค่อลีฟะฮ์อุสมาน ร่อฎิยัลลอฮุอันฮ์ แต่ก็สายไปเสียแล้ว แผนการร้ายประสบความสำเร็จ ท่านค่อลีฟะฮฺอุสมาน ร่อฎิยัลลอฮุอันฮ์ ซุลนูรอยน์ ถูกสังหาร ท่านอาลีร่อฎิยัลลอฮุอันฮฺ จึงขึ้นดำรงตำแหน่ง ค่อลีฟะฮ์ ท่านอาลีนั้นเป็นคนดี ไม่ติดยึดกับโลกดุนยา เป็นคนที่หนักไปในด้านการปฏิบัติอะมัลอิบาดะฮ์
อับดุลลอฮ์ อิบนุสะบะ ก็ยังไม่หยุด เขายังเดินตามแผนทำลายอิสลามต่อไป มาถึงตอนนี้เขาเปลี่ยนคำโฆษณาชวนเชื่อขึ้นใหม่ว่าท่านอาลีตายแล้วก็จะกลับมา เพราะว่าท่านอาลีมีภาคหนึ่งของผู้เป็นเจ้าอยู่ด้วย เป็นต้น ยังมีอีกหลายอย่างที่เป็นฟิตนะฮ์ เป็นไฟแห่งความวุ่นวายที่เขาก่อขึ้นในสังคมมุสลิมเป็นระยะๆในเหตุการณ์ “ศึกอูฐ” กลุ่มของอับดุลลอฮ์ อิบนิสะบะ มีส่วนสำคัญที่ทำให้มุสลิมต้องสู้รบกันเอง
ก่อนที่จะเกิดศึกอูฐ ท่านหญิงอาอิชะฮ์ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮา อุมมุลมุมินีน ได้ออกเดินทางจากเมืองมะดีนะฮ์ ขณะที่ท่านค่อลีฟะฮ์อุสมาน ร่อฎิยัลลอฮุอันฮ์ ถูกปิดล้อม ท่านหญิงจะเดินทางไปทำฮัจญ์ที่เมืองมักกะฮ์ และเมื่อทำฮัจญ์เสร็จแล้ว ก็ตั้งใจจะเดินทางกลับสู่เมืองมะดีนะฮ์ ระหว่างทางกลับสู่มะดีนะฮ์ นางได้พบกับชายคนหนึ่งชื่อ อับดุลลอฮ์ ที่ตำบล ซัรฟ์ ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองมักกะฮ์ ประมาณสิบไมล์
อับดุลลอฮ์ เล่าให้ฟังว่า บัดนี้ ท่านค่อลีฟะฮ์ อุสมาน ร่อฎิยัลลอฮุอันฮ์ ถูกสังหารแล้ว และประชาชนได้สนับสนุนท่านอาลี ร่อฎิยัลลอฮุอันฮ์ ขึ้นดำรงตำแหน่งค่อลีฟะฮ์ต่อไป เมื่อนางทราบเช่นนั้น จึงตัดสินใจกลับเข้าสู้เมืองมักกะฮ์อีกครั้งหนึ่ง แทนที่จะเดินทางต่อไปยังเมืองมะดีนะฮ์ ตามความคิดเดิม
ท่านอุมมุลมุมินีน กล่าวว่า “อุสมานถูกสังหารอย่างไม่เป็นธรรมฉันจะต้อง ชำระเรื่องนี้ให้อุสมาน”
และเมื่อนางกลับเข้ามาถึงมักกะฮ์อีกครั้งหนึ่ง นางได้ไปที่หินดำ ทำการฏ่อวาฟเสร็จแล้ว ผู้คนต่างก็เข้ามาห้อมล้อม
นางจึงกล่าวคำปราศรัยว่า “ท่านพี่น้องทั้งหลาย หากการกระทำของศัตรูต่ออุสมานเป็นความผิด ก็ต้องมีการชำระโทษเหมือนกับมีการชำระสิ่งสกปรกออกจากทองคำบริสุทธิ์ เหมือนกับการชำระสิ่งสกปรกออกจากเสื้อผ้า ”
ประชาชนเห็นด้วยกับท่านหญิงอาอิชะฮ์ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮา พร้อมที่จะเดินทางไปยังเมืองมะดีนะฮ์ เพื่อเรียกร้องจากท่านค่อลีฟะฮ์อาลี ร่อฎิยัลลอฮุอันฮ์ ให้จับตัวผู้สังหารค่อลีฟะฮ์ อุสมาน นำตัวมาลงโทษ ประชาชนได้รวมตัวรวมใจกันบริจาคทรัพย์สิน สัตว์พาหนะจำนวนหนึ่งเพื่อใช้ในการดำเนินงานครั้งนี้ด้วย
ส่วนท่านฏอลฮะฮ์ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮ์ และท่านอัซซุเบร ร่อฎิยัลลอฮุอันฮ์ ทั้งสองท่านได้เดินทางออกมาจากเมืองมะดีนะฮ์และได้มาพบกับท่านหญิงอาอิชะฮ์ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮา
นางถามว่า “ท่านทั้งสองมาที่นี่ในครั้งนี้ มีเบื้องหลังอะไรหรือไม่? ”
ทั้งสองตอบว่า “หนีความวุ่นวายของพวกก่อความไม่สงบ”
นางกล่าว่า “ดังนั้น พวกเราต้องร่วมกันปราบปรามพวกก่อความไม่สงบ”
หลังจากนั้น ก็มีการปรึกษาหารือกันว่า จะเดินทางไปไหนจึงจะดี บางท่านเสนอแนะให้เดินทางไปยังเมือง “ชาม” บางท่านเสนอแนะให้เดินทางไปยังเมือง “บัศเราะฮ์” สำหรับท่านหญิงอาอิชะฮ์ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮา ตั้งใจเดินทางกลับสู่เมืองมะดีนะฮ์ แต่ชาวเมืองมักกะฮ์ขอร้องให้นางอย่ากลับสู่เมืองมะดีนะฮ์ขณะนี้เลย ขอให้นางเดินทางไปยังเมืองบัศเราะฮ์ พร้อมกับหมู่คณะก่อนจะดีกว่า ในที่สุดนางก็เห็นด้วย ทั้งหมดจึงเดินทางมุ่งสู่เมืองบัศเราะฮ์
ฝ่ายท่านค่อลีฟะฮ์ อาลี ร่อฎิยัลลอฮุอันฮฺ เดินทางออกมาจากเมืองมะดีนะฮ์ เพื่อจะไปเมืองชาม ท่านทราบข่าวการเดินทางมายังเมืองบัศเราะฮ์ของกลุ่มท่านหญิงอาอิชะฮ์ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮา ท่านค่อลีฟะฮ์ อาลี ร่อฎิยัลลอฮุอันฮฺ ต้องการจะพบกับกลุ่มของท่านหญิงอาอิชะฮ์ก่อนที่นางจะมาถึงเมืองบัศเราะฮฺ แต่ไม่ทัน ดังนั้น ท่านค่อลีฟะฮ์ อาลี ร่อฎิยัลลอฮุอันฮฺ จึงส่งทูตเข้าไปเจรจาและได้พบกับท่านหญิงอาอิชะฮ์ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮา
ทูตของค่อลีฟะฮ์ ถามว่า “การเดินทางมายังเมืองบัศเราะฮ์ครั้งนี้ ท่านหญิงมีความต้องการอันใด”
ท่านหญิงอาอิชะฮ์ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮา กล่าวว่า “ต้องการให้ทุกฝ่ายประนีประนอมกัน”
และทูตของท่านค่อลีฟะฮ์อาลี ร่อฎิยัลลอฮุอันฮฺ ได้ขอร้องให้ท่านฏอล์ฮะฮฺและท่านซุเบรฺ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุมา ออกมาเจรจาทั้งสองก็ออกมาเจรจาและกล่าวว่า ทั้งสองมีความเห็นเหมือนกับความเห็นของ ท่านหญิงอาอิชะฮ์ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮา
ทูตของค่อลีฟะฮ์ ถามว่า “การประนีประนอมกันนั้น หมายความว่าอย่างไร? ”
ทั้งสองท่านกล่าวว่า “ถ้าหากปล่อยผู้สังหารอุสมานไว้ ก็เท่ากับทอดทิ้งกรุอาน ถ้าหากนำตัวมาลงโทษก็เท่ากับปฏิบัติตามกรุอาน”
การเจรจาของทั้งสองฝ่ายดำเนินไปด้วยดี เกือบบรรลุข้อตกลง แต่กลุ่มของอิบนิ สะบะ ที่แฝงตัวอยู่ในกลุ่มขอท่านค่อลีฟะฮ์ อาลี วางแผนทำลายการเจรจาทันที
พวกเขากล่าวว่า “ถ้าหากพรุ่งนี้ทั้งสองฝ่ายรวมตัวกันและประนีประนอมกันได้ พวกเราต้องแย่แน่ๆ”
แผนร้ายของกลุ่มอิบนิ สะบะประสบผล เมื่อพวกเขาทำให้ฝ่ายฏอลฮะฮ์กับอัซซุเบรฺเข้าใจผิดคิดว่าฝ่ายค่อลีฟะฮ์เตรียมนำกำลังมาบุก ไม่ยอมหยุด ต้องการหลั่งเลือด ละเมิดเขตหวงห้าม และพวกอิบนิ สะบะ ยังส่งคนแทรกเข้าไปในกลุ่มของค่อลีฟะฮ์ บอกว่าขณะนี้ กลุ่มของฏอลฮะฮ์กับอัซซุเบรฺ กำลังรวมตัวเตรียมพร้อมกันอยู่ที่บัศเราะฮ์พร้อมจะบุก ท่านค่อลีฟะฮ์ อาลี ร่อฎิยัลลอฮุอันฮฺ จึงเข้าใจผิด
ท่านกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้น กลุ่มของฏอลฮะฮ์กับซุเบรฺ ก็ไม่ยอมหยุด พวกเขาต้องการหลั่งเลือด ต้องการละเมิดไม่ปฏิบัติตามข้อเจรจา”
ทำให้ทั้งสองฝ่ายเข้าใจผิด ขณะนี้ไม่มีทางอื่นให้เลือก นอกจากการสู้รบ เมื่อการรบเริ่มขึ้น ท่านหญิงอาอิชะฮ์ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮา อยู่ในกระโจมบนหลังอูฐ ในวันนั้นมุสลิมต้องรบกันเอง ชาวเมืองบัศเราะฮ์ป้องกันอูฐของท่านหญิงอาอิชะฮ์ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮา อย่างสุดชีวิตทั้งฝ่ายของค่อลีฟะฮ์อาลี รอฎิยัลลอฮุอันฮฺ กับฝ่ายท่านหญิงอาอิชะฮ์ ฏอลฮะฮ์และอัซซุเบรฺ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุม สู้รบกันอย่างหนักหน่วงที่สุด ผู้คนล้มตายลงมากมาย เนื่องจากมีการแย่งชิงอูฐตัวที่ท่านหญิงอาอิชะฮ์ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮาใช้อยู่
เมื่อท่านอาลี ร่อฎิยัลลอฮุอันฮฺ เห็นเช่นนั้น จึงสั่งให้ฆ่าอูฐทันทีที่กระโจมตกลงมา ปรากฏว่าท่านมุฮัมมัด อิบนิ อบีบักรฺ และท่านอัมมาร์ อิบนิ ยาซิร จึงบุกเข้าไปนำเอากระโจมออกมา และนำตัวท่านหญิงเข้าสู่เมืองบัศเราะฮ์ กองกำลังของทั้งสองฝ่ายต่างอ่อนล้า เนื่องจากการสู้รบยาวนาน ดั้งนั้น ท่านอัซซุเบรฺ จึงปล่อยเหตุการณ์ทิ้งไว้เบื้องหลัง ท่านปลีกตัวเดินทางมุ่งหน้าสู่เมืองมะดีนะฮ์มุเนาวะเราะฮฺ แต่ถูกติดตามตัวและถูกสังหาร ณ วาดี หุบเขาแห่งหนึ่ง ศึกครั้งนี้มีคนตายนับหมื่น ท่านฏอลฮะฮ์กับลูกชายก็สิ้นชีวิต
เมื่อการสู้รบสงบลง ท่านค่อลีฟะฮ์อาลี ร่อฎิยัลลอฮุอันฮฺ จัดการละหมาดศพและฝังพี่น้องที่เสียชีวิตไว้ด้วยกัน หลังจากนั้นท่านไปเยี่ยมท่านหญิงอาอิชะฮ์ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮาที่บ้านพัก ท่านให้สลามและนั่งสนทนากันและเตรียมการให้ท่านหญิงกลับสู่เมืองมะดีนะฮ์
ท่านค่อลีฟะฮ์ คัดเลือกสตรีชาวเมืองบัศเราะฮ์ จำนวนสี่สิบคน ให้เดินทางเป็นเพื่อนคอยดูแลและให้มุฮัมมัด อิบนุอบีบักรฺ น้องชายของนางให้ร่วมเดินทางไปด้วย สำหรับทหารที่รอดชีวิต ท่านค่อลีฟะฮ์ให้อิสระ ใครจะกลับสู่มะดีนะฮ์หรือจะอยู่ที่บัศเราะฮ์ก็ได้
ในวันเดินทางกลับ ท่านค่อลีฟะฮ์พร้อมกับประชาชนจำนวนมากมาส่งท่านหญิงอาอิชะฮ์ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮา นางกล่าวคำอำลา และเข้าไปนั่งในกระโจมบนหลังอูฐ ท่านค่อลีฟะฮ์เดินตามไปส่งไกลหลายไมล์วันนั้นคือ วันที่ 1 เดือน ร่อญับ ปี ฮ.ศ. 36 นางเดินทางไปมักกะฮ์ก่อนจะอยู่ที่นั่นจนกระทั่งทำฮัจญ์เสร็จแล้วจึงเดินทางกลับสู่มะดีนะตุลมุเนาว์วะเราะฮ์
อับดุลลอฮ์ อิบนิ สะบะ ยังคงหลบซ่อนและบงการอยู่เบื้องหลัง วางแผนการร้ายโดยไม่ได้เข้ามาลงมือปฏิบัติการด้วยตนเอง ทั้งการสังหารท่านค่อลีฟะฮ์ อุสมาน ร่อฎิยัลลอฮุอันฮ์และศึกอูฐ การสร้างความวุ่นวายของ อิบนิ สะบะ ยังคืบคลานต่อไปโดยกลุ่มของอิบนิ สะบะ ยังแทรกตัวอยู่ในหมู่คณะของค่อลีฟะฮ์ อาลี ร่อฎิยัลลอฮุอันฮฺ ขณะที่ท่านมุอาวียะฮ์ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮฺ เรียกร้องให้ค่อลีฟะฮ์ อาลี ร่อฎิยัลลอฮุอันฮฺ นำตัวผู้สังหารท่านอุสมาน ร่อฎิยัลลอฮุอันฮฺ มาลงโทษเสียก่อน
ฝ่ายท่านค่อลีฟะฮ์ อาลี ร่อฎิยัลลอฮุอันฮฺ ก็เรียกร้องให้ฝ่ายมุอาวิยะฮฺ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮฺ ให้สัตยาบันยอมรับการเป็นค่อลีฟะฮ์ของท่าน และท่านพยายามทุกวิถีทางแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ จนกระทั่งเกิดสงคราม “ซิฟฟีน” ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของแม่น้ำยูเฟรติส ขณะที่การรบกำลังดำเนินอยู่นั้น ฝ่ายมุอาวิยะฮ์ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮฺขอพักรบเพื่อเจรจา ในที่สุดฝ่ายอาลี ร่อฎิยัลลอฮุอันฮฺ ก็ยอมเจรจาโดยที่ทั้งสองฝ่ายแต่งตั้งตัวแทนในการเจรจาขึ้น
ตัวแทนของฝ่ายค่อลีฟะฮ์ อาลี ร่อฎิยัลลอฮุอันฮฺ ได้แก่ ท่านอบูมูซา อัลอัชอารีย์ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮฺ ตัวแทนฝ่ายมุอาวิยะฮ์ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮฺ ได้แก่ ท่านอัมรฺอิบนิล อาศฺ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮฺ การเจรจาครั้งนี้เรียกว่า “อัตตะฮ์กีม” การเจรจาเกิดขึ้นที่เดาว์มะตุลญันดัลฺ ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของประเทศซาอุดิอาราเบียในปัจจุบัน การเจรจาดำเนินไปด้วยดี แต่มีกลุ่มหนึ่งจากฝ่ายค่อลีฟะฮ์ อาลี ไม่เห็นด้วยกับการเจรจา จึงแยกตัวออกมาตั้งตนเป็นศัตรูกับค่อลีฟะฮ์ อาลี ร่อฎิยัลลอฮุอันฮฺ คือกลุ่ม “คอวาริญจ์” กลุ่มนี้สร้างความวุ่นวายไปทั่ว และวางแผนสังหารท่านค่อลีฟะฮ์ อาลี ร่อฎิยัลลอฮุอันฮฺ ท่านค่อลีฟะฮ์ ก็ส่งกำลังออกปราบปรามอยู่ตลอด
ภายหลังจากเสร็จสิ้น สงคราม “ศิฟฟีน” และการ “ตะฮ์กีม” แล้ว ท่านค่อลีฟะฮ์ อาลี ร่อฎิยัลลอฮุอันฮฺก็ยังคงอยู่ที่เมืองกูฟะฮ์ ทำหน้าที่ปกครองและสอนศาสนาให้แก่ประชาชน บัดนี้กลุ่มของอิบนิ สะบะ เปิดเผยตัวเรียกร้องให้ผู้คนเชื่อว่า “อาลีคือผู้เป็นเจ้า” โดยไม่ยอมฟังคำสั่งห้ามจากท่านค่อลีฟะฮ์ และพวกเขาก็ออกจากเมืองกูฟะฮ์ ไปอยู่รอบนอกเผยแผ่ความเชื่อผิดๆว่า อาลี คือผู้เป็นเจ้า และจะไม่ตาย
ท่านค่อลีฟะฮ์ติดตามนำตัวพวกเขามาลงโทษ แต่พวกเขาก็หนีเตลิดไปเรื่อย อาศัยหลบซ่อนตัวอยู่ตามเมืองต่างๆ พร้อมกับเผยแพร่แนวความคิดผิดๆไปเรื่อยๆ ตัวของอิบนุสะบะไปหลบซ่อนอยู่ที่เมือง “มะดาอิน” เมื่อท่าน ค่อลีฟะฮ์ อาลี ร่อฎิยัลลอฮุอันฮฺ ถูกสังหาร ด้วยน้ำมือของพวกค่อวาริญจ์ ในเดือนร่อมะฎอน ฮ.ศ. 40 ภายหลังจากทำหน้าที่ค่อลีฟะฮ์ได้ 5 ปี อิบนุ สะบะ กลับเข้ามายังเมืองกูฟะฮ์ และสร้างฟิตนะฮ์ ความวุ่นวายอีก โดยเป็นผู้เผยแพร่ความเชื่อว่า
“ท่านอาลี ร่อฎิยัลลอฮุอันฮฺ ยังไม่ตาย ผู้ที่ตาย คือ ชัยฏอน อยู่ในรูปของอาลี สำหรับเรือนร่างพร้อมวิญญานของท่านนั้น ขึ้นไปอยู่บนฟ้าแล้วจะกลับมาสู่โลกอีกครั้ง”
หลังจากนั้นอิบนุสะบะ ก็หายตัวไปจากกูฟะฮ์ บางท่านบอกว่า เขาถูกสังหาร บางท่านบอกว่า เขาหายไปอย่างไร้ร่องรอย ประชาชนหันมาให้สัตยาบัน ต่อท่านอัลฮะซัน บุตรของท่าน อาลี ร่อฎิยัลลอฮุอันฮฺ ท่านอยู่ในตำแหน่ง 6 เดือนจึงลาออก สละตำแหน่งให้ท่าน มุอาวิยะฮ์ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮฺ เมื่อเดือนร่อบีอุลเอาว์วัล ฮ.ศ. 41 ความเป็นอันหนึ่งเดียวกันของพี่น้องมุสลิม หวนกลับมาอีกครั้งหนึ่ง ปีนั้นจึงเรียกว่า “ ปีแห่งเอกภาพ ”
ที่มา : อัลอิศลาห์สมาคม