การเยือนที่เป็นอุตริ 4 (บิดอะฮ์)
โดย : เชคอับดุลมัวะฮฺซิน บินฮะมัด อัลอับบาด อับบัดร์
ผู้เยือนกุบูรได้รับประโยชน์ 3 ประการ
1. ทำให้รำลำถึงความตาย เพื่อให้เขาได้เตรียมตัว โดยการประกอบความดี ดังที่ท่านร่อซูลุลลอฮ์ กล่าวว่า
“ท่านทั้งหลายจงไปเยือนกุบูร แท้จริงมันจะทำให้พวกท่านรำลึกถึงโลกอาคิเราะฮ์”
(บันทึกโดย มุสลิม)
2. การเยือนกุบูรเป็นซุนนะฮ์เพราะท่านร่อซูลุลลอฮ์ ได้ให้แบบอย่างไว้ ดังนั้น ผู้ปฏิบัติจึงได้รับการตอบแทน
3. การทำความดีแก่ผู้ตาย โดยการขอดุอาอ์ให้แก่พวกเขา ด้วยการทำความดีนี้ เขาจะได้รับการตอบแทนผลบุญ
ส่วนผู้ตายที่ถูกเยี่ยมก็จะได้รับประโยชน์ด้วยการเยี่ยมที่ชอบด้วยบัญญัติศาสนา โดยการขอดุอาอ์ให้แก่ผู้ตายและการทำความดีกับเขา เพราะผู้ตายจะได้รับประโยชน์จากการขอดุอาอ์ของคนเป็น
ชอบให้ผู้เยือนกุบูรขอดุอาอ์ให้แก่ผู้ตาย ตามที่ปรากฏจากท่านร่อซูลุลลอฮ ส่วนหนึ่งจากดุอาอ์ ได้แก่ ฮะดีษซึ่งบุรอยดะฮ์ อิบนิลซอยบ์ กล่าวว่า ท่านร่อซูลุลลอฮ์ ได้สอนพวกเขา เมื่อทำการเยือนกุบูร โดยกล่าวว่า
“ขอความสันติสุขจงมีแด่พวกท่าน โอ้ชาวเคหะนี้จากบรรดามุมินและมุสลิม
และแท้จริง เรานั้นหากอัลลอฮ์ทรงประสงค์จะให้ตามพวกท่านไป ฉันขอวิงวอนต่ออัลลอฮ์ ให้เราและท่านทั้งหลายได้รับความผาสุก”
(บันทึกโดย มุสลิม)
การเยี่ยมกุบูรเป็นสิ่งที่ชอบสำหรับผู้ชาย ส่วนการเยี่ยมกุบูรของผู้หญิง นักวิชาการมีความเห็นแตกต่างกัน บางคนอนุญาตให้ผู้หญิงไปเยี่ยมกุบูรได้และบางคนไม่อนุญาต ที่ปรากฏ คือ ไม่อนุญาต ดังคำพูดของนบีมูฮัมมัด กล่าวว่า
“อัลลอฮ์ ทรงสาปแช่งบรรดาผู้หญิงที่ไปเยี่ยมกุบูร”
(นำเสนอโดย อัตติรมีซีย์ และบุคคลอื่น)
แท้จริงที่ชัดเจนในถ้อยคำ “บรรดาหญิงผู้เยือน” หมายถึง บรรดาหญิงที่เยือนกุบูรนั้นเอง กล่าวคือ พาดพิงการเยือนไปยังผู้หญิง เช่นเดียวกับอายะฮ์ กุรอานที่ว่า
“และพระเจ้าของเจ้า มิได้อธรรมต่อบรรดาป่วงบ่าว”
(ฟุศศิลัต/46)
หมายความว่า พระองค์มิใช่ผู้อธรรม การใช้คำว่า “ซูวาร็อต” มิใช่แสดงความมากหรือบรรดาหญิงผู้เยี่ยมกุบูรมาก ดังที่นักวิชาการบางท่านอนุญาตให้ผู้หญิงเยือนกุบูรได้ และบางส่วนไม่อนุญาตให้เยี่ยมกุบูร เนื่องจากผู้หญิงมีความอ่อนแอ มีความอดทนอยู่ในขอบเขตจำกัด ไม่อาจระงับใจไม่ให้ร้องไห้และการรำพึงรำพัน ขณะเดียวกัน คำพูดที่ว่า ห้ามผู้หญิงไปเยี่ยมกุบูรเป็นการเผื่อไว้ เพราะผู้หญิงเมื่อปล่อยให้นางไปเยี่ยมกุบูรในการนี้จะไม่เกิดขึ้น นอกจากจะเป็นสิ่งที่ชอบด้วยบัญญัติศาสนา เมื่อการเยือนกุบูรเกิดขึ้น ก็จะต้องเผชิญกับการสาปแช่งของอัลลอฮ์
ส่วนการเยือนกุบูรแบบอุตริ คือ การเยือนที่ไม่ชอบด้วยบัญญัติศาสนา เช่น การไปเยือนกุบูรเพื่อขอดุอาอ์จากเจ้าของกุบูรหรือขอความช่วยเหลือจากเจ้าของกุบูร และขอให้ขจัดอุปสรรค ดังนั้นการเยือนกุบูรครั้งนี้ ผู้ตายไม่ได้รับประโยชน์จากการมาเยือนและผู้เยือนยังได้รับผลเสียหาย เพราะได้กระทำในสิ่งที่ไม่อนุญาต นั่นคือ การชิริก (การตั้งภาคี) ต่ออัลลอฮ์ ผู้ตายไม่ได้รับประโยชน์เพราะผู้เยือนกุบูร มิได้ขอดุอาอ์ให้แก่ผู้ตาย แต่ผู้ตายกับถูกขอดุอาอ์จากเขาอื่นจากอัลลอฮ์
เชคอับดุลอาซีซ อิบนิบาซ (ร่อฮิมะฮุลลอฮ์) ได้กล่าวไว้ในหนังสือ เกี่ยวกับการทำฮัจญ์ของท่านว่า ส่วนการเยี่ยมกุบูรโดยมีเป้าหมายเพื่อขอดุอาอ์จากเจ้าของกุบูร หรือเฝ้าที่กุบู้ร หรือขอให้ผู้ตายตอบสนองความต้องการหรือทำให้หายป่วย หรือให้เป็นสื่อกลางในวิงวอนต่ออัลลอฮ์ การไปเยี่ยมกุบู้รในลักษณะนี้เป็นแบบอุริ(บิดอะฮ์)ที่ชั่วช้าที่สุด ซึ่งอัลลอฮ์ และร่อซูล ของพระองค์มิได้บัญญัติเช่นนั้น แม้แต่ชาวสะลัฟที่ดีก็ไม่เคยปฏิบัติ ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นการกระทำที่ท่านร่อซูลลุลอฮ์ ไม่ชอบให้กระทำ
ดังที่ท่านกล่าวว่า
“ท่านทั้งหลายไปเยี่ยมกุบูร และท่านทั้งหลายอย่าพูดในสิ่งน่าเกลียด”
สิ่งที่กล่าวมานี้อยู่ในความหมายรวมของคำว่า อุตริ แต่มีระดับแตกต่างกัน บางกรณีก็เป็นอุตริแต่ไม่ถึงระดับชีริก (การตั้งภาคี) เช่น การขอดุอาอ์ต่ออัลลอฮ์ ที่กุบูร หรือการวิงวอนโดยอาศัยเกียรติของผู้ตาย เป็นต้น บางกรณีก็เป็นชีริกใหญ่ เช่น การขอดุอาอ์จากผู้ตาย และการขอความช่วยเหลือจากผู้ตาย เป็นต้น
แปลและเรียบเรียงโดย อาจารย์มูนีร มูฮัมมัด
ที่มา : อัลอิศลาห์สมาคม