การเยือนที่เป็นอุตริ 3 (บิดอะฮ์)
  จำนวนคนเข้าชม  3905

การเยือนที่เป็นอุตริ 3 (บิดอะฮ์)


โดย : เชคอับดุลมัวะฮฺซิน  บินฮะมัด  อัลอับบาด  อับบัดร์


          ♣ การฏอว้าฟรอบกุบู้รของท่านรอซูล แท้จริงการกระทำดังกล่าว  เป็นที่ต้องห้าม  (ฮะรอม)  เพราะอัลลอฮ์  ไม่ทรงบัญญัติการฏอว้าฟต่อสิ่งอื่นใด  นอกจากอัลกะอ์บะอ์อันมีเกียรติ  อัลลอฮ์  ตรัสความว่า

 “และพวกเขาจงเวียนรอบเคหะอันเก่าแก่”

(อัลฮัจญ์/29)

          ดังนั้น  จึงไม่อนุญาตให้เดินฏอว้าฟเวียนรอบสถานที่ใดนอกจากอัลกะอ์บะอ์  โดยเหตุนี้จึงกล่าวได้ว่า  มีคนจำนวนมากละหมาดเพื่ออัลลอฮ์  ในทุกสถานที่  มีคนจำนวนมากที่ทำศ่อดาเกาะฮ์เพื่ออัลลอฮ์  มีคนจำนวนมากถือศีลอดเพื่ออัลลอฮ์  มีคนจำนวนมากที่รำลึกถึงอัลลอฮ์  ในทุกหนแห่ง  แต่ไม่อาจกล่าวว่า  มีคนจำนวนมากทำการฏอว้าฟเพื่ออัลลอฮ์  ในทุกสถานที่  เพราะการฏอว้าฟเป็นลักษณะเฉพาะสำหรับบัยตุลลอฮ์เท่านั้น

           ชัยคุลอิสลาม  อิบนิตัยมียะฮ์  ร่อฮิมะฮุลลอฮ์  กล่าวว่า  บรรดานักวิชาการมุสลิมมีความเห็นตรงกันว่า ไม่ชอบด้วยบัญญัติศาสนาในการเวียนรอบ  สิ่งอื่นใด นอกจากบัยตุลลอฮ์เท่านั้น  ไม่อนุญาตให้ฏอว้าฟหินศ็อคเราะฮ์ที่บัยตุลมักดิส  หรือห้องของท่านนบี  หรือที่ภูเขาอะรอฟะฮ์  หรือสถานที่อื่นใด

 

           ♣  การส่งเสียงดังที่กุบูรของท่านร่อซูล  การกระทำเช่นนี้ไม่เป็นสิ่งบังควร  เพราะอัลลอฮ์ ทรงใช้ให้บรรดาผู้ศรัทธามีมารยาท  เมื่ออยู่ต่อหน้าท่านนบี  ดังที่พระองค์ตรัสความว่า

 “โอ้  บรรดาศรัทธาชนทั้งหลาย  สูเจ้าทั้งหลายอย่ายกเสียงของพวกสูเจ้าเหนือเสียงของนบี  และพวกสูเจ้าจงอย่าพูดเสียงดังกับเขา 

 ดังเช่นการส่งเสียงดังของบางคนในหมู่พวกเจ้ากับอีกบางคน  (เพราะเกรงว่า)การงานของพวกสูเจ้าจะไร้ผล  โดยที่พวกสูเจ้าไม่รู้สึกตัว 

แท้จริงบรรดาผู้ลดเสียงของพวกเขา  ณ  ร่อซูลของอัลลอฮ์  เขาเหล่านั้นคือ  ผู้ที่อัลลอฮ์ทรงทดสอบหัวใจของพวกเขาสำหรับความยำเกรง 

พวกเขาจะได้รับการอภัยโทษและการตอบแทนที่ยิ่งใหญ่”

(อัลฮุจร็อต/2-3)

 ดังนั้น  ท่านรอซูลุลลอฮ์  จึงได้รับการให้ความเคารพทั้งขณะที่มีชีวิตและหลังจากที่สิ้นชีวิต

 

           ♣  หันหน้าไปทางกุบูรของท่านร่อซูล   ในระยะห่างไม่ว่าจะอยู่ในมัสยิด  หรืออยู่นอกมัสยิด  แล้วกล่าวสลามกับท่าน  อาจารย์ของเราคือ  เชคอัลดุลอะซีซ  อิบนิบาส  ร่อฮิมะฮุลลอฮ์  ได้กล่าวไว้ในหนังสือ  การประกอบพิธีฮัจญ์ของท่านว่า  การกระทำเช่นนี้ใกล้กับการมีความรักและความบริสุทธิ์ใจยิ่งกว่าการแล้งน้ำใจต่อท่าน

           ส่วนหนึ่งจากคำเตือน  คือ  ผู้ที่เดินทางไปยังนครมะดีนะฮ์  บางคนในครอบครัวของเขาหรือคนอื่นได้ฝากสลามของเขาไปยังท่านนบี  การกระทำเช่นนี้ไม่ปรากฏในซุนนะฮ์  ดังนั้น  สมควรสำหรับผู้ที่ต้องการเช่นนี้ให้กล่าวกับเขาว่าจงกล่าวซอละวาตและสลามแก่ท่านนบีมาก ๆ เพราะมะลาอิกะฮ์จะเป็นสื่อนำคำศ่อละวาตและสลามไปบอกแก่ท่านร่อซูล 

ดังที่ท่านกล่าวว่า

 “แท้จริง สำหรับอัลลอฮ์มีมะลาอิกะฮ์  ผู้เดินทางโดยนำเอาสลามจากประชาชาติฉันมาบอกแก่ฉัน”

(ฮะดีษศ่อเฮี๊ยะฮฺบันทึกโดย อันนะซาอียฺและคนอื่น)

 และฮะดีษของท่านรอซูล ที่ว่า

 “ท่านทั้งหลายจงอย่าทำให้บ้านเรือนของพวกท่านเป็นกุบูร  และจงอย่ายึดเอากุบูรของฉันเป็นวันสำคัญ 

ท่านทั้งหลายจงกล่าวศ่อละวาตแก่ฉัน  แท้จริงการกล่าวศ่อละวาตของพวกท่านจะถึงฉัน  ไม่ว่าพวกท่านจะอยู่ ณ ที่ใด”

(ฮะดีษศ่อเฮี๊ยะฮฺ  บันทึกโดย อบูดาวูดและบุคคลอื่น)

          ส่วนหนึ่งจากสิ่งที่ควรรู้  คือ  ไม่จำเป็นต้องทำฮัจย์และอุมเราะฮ์ควบคู่กับการไปเยือนนครมะดีนะฮ์  ผู้ที่ประกอบพิธีฮัจญ์และอุมเราะฮ์  สามารถเดินทางกลับประเทศของตนโดยมิได้เยือนนครมะดีนะฮ์  หรือไปเยือนนครมะดีนะฮ์ โดยสามารถเดินทางกลับไปยังประเทศของเขาได้โดยมิได้ทำฮัจญ์หรืออุมเราะฮ์  ขณะเดียวกันก็สามารถรวมกันระหว่างทำฮัจญ์  ทำอุมเราะฮ์และไปเยือนนครมะดีนะฮ์  ก็ได้ 

 ส่วนรายงานฮะดีษต่าง ๆ เกี่ยวกับการเยี่ยมกุบูรของท่านร่อซูลุลลอฮ์  ที่เป็นฮะดิษฏออีฟ(อุปโลกษณ์) เช่น ฮะดีษที่ว่า

“ผู้ใดประกอบพิธีฮัจญ์แล้วเขาไม่ไปเยี่ยมฉัน แท้จริงเขาแล้งน้ำใจกับฉัน”

“ผู้ใดมาเยี่ยมฉันหลังจากที่ฉันตาย  ก็เหมือนกับว่าเขาเยี่ยมฉัน  ขณะที่ฉันมีชีวิตอยู่”

“ผู้ใดที่ไปเยี่ยมฉันและไปเยี่ยมอิบรอฮีมบิดา ของฉันในปีเดียวกัน  จะประกันสวรรค์ให้แก่เขา  ณ  อัลลอฮ์”

“ผู้ใดที่เยี่ยมกุบู้รของฉัน  เขาจะได้รับการชะฟาอะฮ์ของฉัน”

          บรรดาฮะดีษเหล่านี้และที่คล้าย ๆ กันนี้  ไม่อาจนำมาเป็นหลักฐานได้  เพราะเป็นฮะดีษที่อุปโลกน์ขึ้น  หรือเป็นฮะดีษที่อ่อนหลักฐานอย่างมากดังที่บรรดานักฮะดีษทั้งหลาย เช่น  อัดดารุกุฏนียฺ  อัลอุกอยลี  อัลบัยฮะกียฺ  อิบนิตัยมียะฮ์  อิบนิหะญัร  ร่อฮิมะฮุลลอฮ์  ได้ตั้งข้อสังเกตไว้


 ส่วน ดำรัสของอัลลอฮ์  ที่ว่า

 “และถ้าหากว่า  พวกเขาอธรรมต่อตัวของพวกเขา  แล้วพวกเขามายังเจ้า  โดยขออภัยโทษต่ออัลลอฮ์

และรอซูลก็ขออภัยโทษให้แก่พวกเขา

 พวกเขาจะพบว่า  อัลลอฮ์  คือ ผู้ทรงอภัยโทษ ผู้ทรงเมตตายิ่ง”

(อันนิซาอ์/64)

           อายะฮ์นี้มิได้เป็นหลักฐานที่บ่งชี้ว่า เมื่ออธรรมต่อตัวเองแล้วให้ไปเยี่ยมกุบูรของท่านนบี  เพราะว่าถ้อยความของอายะฮ์เกี่ยวกับพวกมุนาฟิก  และการที่พวกเขาไปหาท่านนบี  ขณะที่ท่านนบี   ยังมีชีวิตอยู่  เพราะบรรดาศ่อฮาบะฮ์  ร่อฏิยัลลอฮ์อันฮุม  ไม่มีผู้ใดไปเยี่ยมกุบูรของท่านรอซูล  เพื่อขออภัยโทษ หรือขอให้ท่านขออภัยโทษจากอัลลอฮ์  ให้ 

โดยเหตุนี้  ค่อลีฟะฮ์  อุมัร  อิบนุล  ค็อฏฏ็อบ  จึงขอให้อัลอับบาส  ลุงของนบีมุฮัมมัด ช่วยขอดุอาอ์  เมื่อเกิดความแห้งแล้ง  ท่านกล่าวว่า

          “โอ้  อัลลอฮ์ แท้จริง เราเป็นสื่อขอดุอาอ์ต่อพระองค์ได้  เมื่อเราประสบความแห้งแล้ง  แล้วพระองค์ก็ประทานฝนให้แก่เรา  และเราได้ขอให้ลุงของนบีของเราเป็นสื่อขอดุอาอ์ต่อพระองค์  ขอพระองค์ประทานฝนให้แก่เราเถิด”  ท่านกล่าวว่า  “แล้วพวกเขาก็ได้รับน้ำฝน”

(นำเสนอโดย อัลบุคอรีย์  ในหนังสือ ศ่อเฮี๊ยะฮฺของท่าน)

           ดังนั้น  ถ้าหากว่าการขอให้นบี  เป็นสื่อขอดุอาอ์ ให้หลังจากที่ท่านได้ตายไป  เป็นการกระทำที่ชอบด้วยบัญญัติแล้ว  คอลีฟะฮ์  อุมัร คงไม่ขอให้อัลอับบาสเป็นสื่อขอดุอาอ์ให้  และฮะดีษซึ่งอัลบุคอรีย์บันทึกอยู่ในหนังสือศ่อเฮี๊ยะฮ์ของท่านภาคผู้ป่วย

จากท่านหญิงอาอิชะฮ์ร่อฎิยัลอฮุอันฮา  กล่าวว่า  โอ้ศีรษะของฉัน 

ท่านร่อซูล กล่าวว่า “นั่นแหละถ้าหากว่า  มันเป็นเช่นนั้นและฉันยังมีชีวิตอยู่  ฉันจะขออภัยโทษให้แก่เธอและขอดุอาอ์ให้แก่เธอ”

 ท่านหญิงอาอิชะฮ์  ร่อฎิยัลอฮุอันฮา  กล่าวว่า  “ขอสาบานด้วยอัลลอฮ์  แท้จริงฉันคิดว่าท่านชอบที่จะให้ฉันตาย...”

           ถ้าหากว่า  สามารถขอดุอาอ์และขออภัยจากท่านร่อซูลุลลอฮ์  หลังจากที่ท่านตายไปได้แล้ว  ก็จะไม่มีความแตกต่างระหว่างการที่ท่านหญิงอาอิชะฮ์  ร่อฎิยัลอฮุอันฮา  ตายก่อนท่านร่อซูล  หรือท่านร่อซูลุลลอฮฺ  ตายก่อนนาง

 

 การอนุญาตให้เยี่ยมกุบูรของท่านร่อซูล  เป็นการให้อนุญาตให้เยี่ยมกุบูรอื่น  มีปรากฏอยู่ให้ฮะดีษต่าง ๆ ท่านร่อซูลุลลอฮ์   กล่าวว่า

 “ท่านทั้งหลายจงไปเยี่ยมกุบูรเถิด  แท้จริง  มันจะทำให้พวกท่านรำลึกถึงวันอาคิเราะฮ์”

(นำเสนอโดยมุสลิม  ในหนังสือ ศ่อเฮี๊ยะฮ์ของท่าน)


           ไม่สมควรที่จะยืนเป็นเวลานานที่กุบูรของท่านนบี  และไม่ต้องไปเยี่ยมมากครั้ง  เพราะการกระทำดังกล่าวเหมือนกับเป็นการแสดงออกถึงการหลงใหลในตัวนบี  พระองค์อัลลอฮ์  ทรงให้ลักษณะเฉพาะแก่ท่านนบี  โดยที่ประชาชาติของท่านมิได้รับเช่นนั้น  คือ  ให้มะลาอิกะฮ์บอกสลามแก่ท่านในทุกที่ 

ดังคำพูดของท่านนบี  ที่ว่า

 “แท้จริงสำหรับอัลลอฮ์  มีมะลอิกะฮ์ผู้ท่องไป โดยบอกสลามแก่ฉันจากประชาชาติของฉัน”

 และฮะดีษที่ว่า

  “ท่านทั้งหลายจงอย่าทำให้บ้านของพวกท่านเป็นกุบูรและอย่ายึดเอากุบูรของฉันเป็นวันสำคัญ 

 ท่านทั้งหลายจงกล่าวศ่อละวาตแก่ฉัน  แท้จริง  การกล่าวศ่อละวาตของท่านทั้งหลายถึงฉันว่าท่านทั้งหลายจะอยู่ที่ใด”

 

เมื่อนบีมุฮัมมัด   ห้ามมิให้เอากุบูรของท่านเป็นวันสำคัญ  ท่านก็ได้ชี้แนะถึงสิ่งทดแทนด้วยถ้อยคำที่ว่า

 “ท่านทั้งหลายจงกล่าวศ่อละวาตแก่ฉัน  แท้จริงการกล่าวศ่อละวาตของพวกท่านจะถึงฉัน  ไม่ว่าพวกท่านจะอยู่ที่ใด” 

คือ  โดยทางการสื่อสารของมะลาอิกะฮ์

 


           ส่วนการไปเยี่ยมกุบูรอัลบะเกียะอ์และกุบูรของบรรดาผู้ตายชะฮีดในสงครามอุฮุดเป็นสิ่งที่ชอบให้ปฏิบัติ  ถ้าหากว่าถูกต้องตามบัญญัติศาสนา  แต่เป็นที่ต้องห้าม(ฮะรอม)ถ้าหากว่าเป็นการอุตริ

          การเยี่ยมกุบูรที่ชอบด้วยบัญญัติศาสนา  คือ  การกระทำโดยถูกต้องจากท่านร่อซูลุลลอฮ์   ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้ไปเยี่ยมซึ่งมีชีวิตและเป็นประโยชน์ต่อผู้ตายที่ถูกเยี่ยม

 


 

แปลและเรียบเรียงโดย  อาจารย์มูนีร  มูฮัมมัด

ที่มา : อัลอิศลาห์สมาคม