การพำนักอยู่ในนครมะดีนะฮ์
  จำนวนคนเข้าชม  4415

การพำนักอยู่ในนครมะดีนะฮ์


โดย : เชคอับดุลมัวะฮฺซิน  บินฮะมัด  อัลอับบาด  อับบัดร์


          ผู้ใดที่อัลลอฮ์ ทรงให้เขามีโอกาสพำนักอยู่ในนครมะดีนะฮ์แห่งความจำเริญ  หรือเมืองฏอยยบะฮ์ที่ดี  จำเป็นที่จะต้องตระหนักว่า  เขาเป็นผู้ที่ได้รับความเมตตาที่ยิ่งใหญ่และโชคดีอย่างมหาศาล  สมควรที่เขาจะต้องขอบคุณต่ออัลลอฮ์   ในความเมตตาที่พระองค์ประทานมาให้  สรรเสริญพระองค์ในความประเสริฐและความดีงามดังกล่าว  และจำเป็นที่จะต้องมีความรู้สึกว่า มีชาวโลกจำนวนมากที่ปรารถนาจะรับโอกาสในการเดินไปยังนครมักกะฮ์และนครมะดีนะฮ์  พร้อมกับได้พำนักอยู่ที่นั่น  ถึงแม้จะเป็นระระเวลาเพียงสั้น ๆ ก็ตาม  บางคนใช้เวลาหลายปีรวบรวมเงินทองทีละเล็กทีละน้อย  เพื่อจะให้บรรลุความสมหวัง 

          ข้าพเจ้าขอเล่าถึงนักวิชาการชาวอินเดียผู้หนึ่งซึ่งกล่าวว่า  ในอดีตนั้นบรรดาฮุจญ้าจชาวอินเดียได้เดินทางมายังนครมักกะฮ์และมะดีนะฮ์  เพื่อประกอบพิธีฮัจญ์โดยทางเรือใบ  พวกเขารอนแรมอยู่กลางทะเลเป็นเวลานาน  เมื่อกลุ่มหนึ่งจากพวกเขาเห็นแผ่นดินซึ่งเป็นที่ตั้งนครมักกะฮ์และมะดีนะฮ์  พวกเขาก้มลงสุญูดเพื่อขอบคุณอัลลอฮ์  บนพื้นเรือ


มารยาทของการพำนักอยู่ในนครมะดีนะฮ์


          1.  จำเป็นที่ผู้พำนักอยู่ในนครมะดีนะฮ์จะต้องมีความรักในความประเสริฐของเมืองนี้  และรำลึกถึงความรักของนบีมุฮัมมัด   ต่อเมืองนี้

 อัลบุคอรีย์  ได้บันทึกไว้ในหนังสือศ่อเฮี๊ยะฮ์ของท่านอนัส กล่าวว่า

“เมื่อนบีมุฮัมมัด    กลับจากการเดินทาง  ท่านจะมองไปยังเขตรอบ ๆ เมืองและปล่อยสัตว์พาหนะไป

และถ้าหากว่าท่านนั่งอยู่บนสัตว์พาหนะ  ท่านก็จะลงจากมันเนื่องจากความรักในเมืองนี้”

 

          2.  จำเป็นที่บุคคลจะต้องดำรงบัญญัติของอัลลอฮ์  เคร่งครัดในการปฏิบัติตามคำสั่งของอัลลอฮ์  และคำสั่งของร่อซูล    และระมัดระวังในการกระทำในสิ่งอุตริและการละเมิดบัญญัติศาสนา  แท้จริงการปฏิบัติความดีในเมืองนี้จะได้รับภาคผลที่ยิ่งใหญ่ 

          ขณะเดียวกันการประกอบสิ่งอุตริและการละเมิดบัญญัติศาสนาก็เป็นความผิดใหญ่หลวง  ดังนั้น  ผู้ใดที่ละเมิดบัญญัติของอัลลอฮ์  ในเขตฮะรอม  เป็นการทำความผิดขั้นอุกฉกรรจ์  และจะถูกลงโทษสถานหนัก  และรุนแรงยิ่งกว่าการทำความผิดนอกเขตฮะรอม  เพราะการทำความผิดมิได้เพิ่มพูนตามปริมาณของมัน  แต่การทำความผิดในเขตฮะรอมย่อมจะมากขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ

 

          3.  บุคคลจะต้องสำนึกอยู่เสมอว่า  เขาได้รับโชคมหาศาลเป็นการประกอบการค้าเพื่อโลกอาคิเราะฮ์  ซึ่งกำไรที่ได้มาจะเพิ่มขึ้นเป็นหลายเท่าทวีคูณ  เมื่อทำการละหมาดในมัสยิดของท่านร่อซูล    จะทำให้เขาได้รับภาคผลที่ยิ่งใหญ่ดังที่ท่านร่อซูลุลลอฮ์   ระบุไว้คือ

“การละหมาดในมัสยิดของฉันนี้ดีกว่า  1,000  ละหมาดในมัสยิดอื่น  นอกจากมัสยิดฮะรอม”

บันทึกโดย  อัลบุคอรียฺ  และมุสลิม

 

          4.  บุคคลที่พำนักอยู่ในนครมะดีนะฮ์  จะต้องเป็นแบบอย่างในการประกอบความดี  เพราะว่าเขาอาศัยอยู่ในเมืองที่รัศมีได้ทอแสงขจรกระจายออกไป  บรรดาผู้นำสู่แนวทางที่ถูกต้องผู้ผดุงคุณธรรม  ได้กระจายออกไปยังส่วนต่าง ๆ ของโลก  ผู้ใดที่เดินทางมายังเมืองนี้จะพบว่า  ชาวเมืองต่างเป็นแบบอย่างที่ดี  มีคุณลักษณะที่น่ายกย่องมีจรรยามารยาทที่ดีงาม  เมื่อเขากลับไปยังประเทศของเขา  เขาจึงนำเอาแบบอย่างดังกล่าวไปยึดถือปฏิบัติ  ในการประกอบความดี  ดำรงตนอยู่กับการภักดีต่ออัลลอฮ์  และภักดีต่อร่อซูล

          ผู้ที่เดินทางมายังนครมะดีนะฮ์จะได้รับประโยชน์ในความดีที่ได้พบเห็นแบบอย่างที่ดีในเมืองที่จำเริญนี้  ในทางตรงกันข้ามผู้ใดที่มายังนครมะดีนะฮ์  แล้วมีความประพฤติในทางที่ไม่ดี  แทนที่เขาจะได้รับประโยชน์ได้รับสิ่งที่ดีงาม  กลับกลายเป็นได้รับสิ่งที่เป็นผลร้ายและความมัวหมอง

 

          5.  บุคคลจะต้องรำลึกอยู่เสมอ  ขณะที่เขาพำนักอยู่ในนครมะดีนะฮ์ว่า  เขาพำนักอยู่ในแผ่นดินที่ดี  เป็นสถานที่ประทานวะฮีย์  ปลูกฝังการศรัทธาและเป็นศูนย์รวมพลังของท่านร่อซูลุลลอฮ์  บรรดาศ่อฮาบะฮ์ของท่านจากชาวมุฮาญิรีนและชาวอันศ็อร  พวกเขารวมพลังกันบนแผ่นดินนี้แล้วเคลื่อนไหว  เพื่อดำรงความดียึดมั่นในสัจธรรมและแนวทางที่ถูกต้อง

           ดังนั้น  เขาจะต้องระวังการกระทำใด ๆ ที่ตรงข้ามกับการกระทำของพวกเขา  เพราะจะทำให้พระองค์อัลลอฮ์  ทรงกริ้วและก่อให้เกิดความเสียหายและความหายนะอย่างใหญ่หลวง  ทั้งในโลกดุนยาและโลกอาคิเราะฮ์

 

         6.  ผู้ที่พระองค์อัลลอฮ์  ประทานโอกาสให้เขาได้พำนักอยู่ในนครมะดีนะฮ์  พึงระวังการกระทำสิ่งอุตริหรือให้ที่พักพิงแก่ผู้ทำสิ่งอุตริ  เพราะจะทำให้เขาต้องถูกสาปแช่ง  เนื่องจากมีรายงานยืนยันจากท่านร่อซูลุลลอฮ์  กล่าวว่า

“นครมะดีนะฮ์  คือ  เขตฮะรอม  ดังนั้น  ผู้ใดที่กระทำสิ่งอุตริในเมืองนี้  หรือให้ที่พักพิงแก่ผู้ทำอุตริ

เขาจะได้รับการสาปแช่งจากอัลลอฮ์  มะลาอิกะฮ์และชนทั้งมวล  พระองค์จะไม่ทรงรับค่าไถ่และการชดเชยจากเขาในวันกิยามะฮ์”

บันทึกโดยมุสลิม  จากฮะดีษของอบูฮุรอยเราะฮ์ และในหนังสือศ่อเฮี๊ยะฮฺ  อัลบุคอรียฺ และมุสลิม รายงานจากท่านอาลี  อิบนีอบีฏอลิบ

 

           7.  เขาจะไม่ตัดต้นไม้และไม่ล่าสัตว์ในนครมะดีนะฮ์  ดังปรากฏการห้ามอยูในฮะดีษต่าง ๆ ของท่านร่อซูลุลลอฮ์  กล่าวว่า

“แท้จริง  อิบรอฮีมได้กำหนดเขตฮะรอมนครมักกะฮ์  และแท้จริงฉันกำหนดเขตฮะรอมนครมะดีนะฮ์อยู่ระหว่าง  2  โขดหินสีดำของเมือง

ไม่มีการตัดต้นไม้ของมัน  และไม่มีการล่าสัตว์ของมัน”

(บันทึกโดย มุสลิม  จากฮะดีษของญาบิรอิบนิอัลดิลลาฮ์)

 ท่านมุสลิม  ได้บันทึกฮะดีษเช่นเดียวกันจากซะอ์ดฺอิบนิอบีวักก็อส  ว่า ท่านนบี  กล่าวว่า

“แท้จริง  ฉันกำหนดเขตฮะรอมระหว่างโขดหินสีดำทั้งสองของนครมะดีนะฮ์  โดยถูกห้ามตัดต้นไม้ของมันและถูกห้ามฆ่าสัตว์ที่ล่าของมัน”

          ในหนังสือศ่อเฮี๊ยะฮ์  อัลบุคอรีย์และมุสลิมจากอาซิม  อิบนิสุลัยมาน  อัลยะฮ์วัล  กล่าวว่า  ฉันกล่าวกับท่านอนัสว่า  ท่านร่อซูลุลลอฮฺ  กำหนดเขตฮะรอมนครมะดีนะฮ์หรือ? 

 ท่านกล่าวว่า 

 “ใช่  ระหว่างจุดนั้นถึงจุดนั้น  โดยห้ามตัดต้นไม้ในเมืองนี้  ผู้ใดที่ทำสิ่งอุตริใด  เขาจะได้รับการสาปแช่งจากอัลลอฮ์  มะลาอิกะฮ์และมวลมนุษย์”

ในหนังสือศ่อเฮี๊ยะฮ์อัลบุคอรีย์และมุสลิม  จากอบูฮุรอยเราะฮ์  กล่าวว่า  ถ้าหากว่าฉันเห็นเก้งที่นครมะดีนะฮ์กินหญ้าอยู่  ฉันจะทำให้มันหวาดกลัว 

ท่านร่อซูลุลลอฮ์  กล่าวว่า “ระหว่างสองโขดหินสีดำเป็นที่ต้องห้าม”

 ต้นไม้ที่ห้ามตัดในที่นี้  คือ  ต้นไม้ที่อัลลอฮ์    ให้ขึ้นตามธรรมชาติ  ส่วนต้นไม้ที่ผู้คนปลูกและดูแลอยู่ให้ตัดได้

 

         8.  จะต้องอดทนต่อความลำบากยาก  ความอดอยากหรือทุกข์ภัย  ดังที่ท่านร่อซูลุลลอฮ์  จากท่านอบูฮุรอยเราะฮ์ กล่าวว่า

“ไม่มีคนใดจากประชาชาติของฉันที่อดทนต่อความหิวโหยในนครมะดีนะฮ์  และความลำบากยากของมัน 

นอกจากฉันจะเป็นผู้ขอชะฟาอะฮ์ หรือเป็นพยานแก่เขาในวันกิยามะฮ์”

(บันทึกโดย มุสลิม)

           ในหนังสือศ่อเฮี๊ยะฮ์มุสลิม  เช่นเดียวกันจากอบีสะอี๊ด  คนใช้ของอัลมะฮ์วีย์  อบูสะอีด  อัลคุดรีย์  ในค่ำคืนที่มีความร้อนอบอ้าว  โดยขอคำปรึกษาที่จะอพยพออกจากนครมะดีนะฮ์
 เขาได้ร้องทุกข์กับอบูสะอีด  อัลคุดรีย์  ถึงสินค้าในเมืองมีราคาแพง  เขามีลูกหลายคน 

พร้อมกับได้บอกกับอบูสะอีดอัลคุดรีย์  ว่า  เขาไม่อาจทนต่อความลำบากยากและความหิวโหยในนครมะดีนะฮ์ได้ 

อบู  สะอีด  อัลคุดรีย์  ได้กล่าวกับเขาว่า  ความหายนะได้มีแด่ท่าน  ฉันจะไม่ใช้ให้ท่านทำอย่างนั้น  แท้จริงฉันได้ยินท่านร่อซูล กล่าวว่า

“ไม่มีคนใดที่อดทนต่อความหิวโหยของเมืองนี้แล้วเขาตายไป  นอกจากฉันจะเป็นผู้ชะฟาอะฮ์ให้แก่เขาในวันกิยามะฮ์  ถ้าหากว่าเขาเป็นมุสลิม”

 

          9.  เขาจะต้องระวังการสร้างความเดือดร้อนให้แก่ชาวเมืองนี้  เพราะการสร้างความเดือดร้อนให้แก่มุสลิมทั่วไปเป็นสิ่งต้องห้าม  (ฮะรอม)  แต่การทำร้ายต่อมุสลิมภายในเมืองที่มีเกียรติถือเป็นการทำบาปใหญ่และมีโทษมหันต์ 

     อัลบุคอรีย์ได้บันทึกไว้ในหนังสือซ่อเฮียะฮ์ของท่าน  จากซะอด์อินิอบีวักก็อส  กล่าวว่า  ฉันได้ยินท่านนบี   กล่าวว่า

“ไม่มีคนใดที่วางแผนร้ายแก่ชาวมะดีนะฮ์  นอกจากมันจะมลายไปดังเช่น  เกลือละลายในน้ำ” 

     อิมามมุสลิมได้บันทึกไว้ในหนังสือศ่อเฮี๊ยะฮ์ของท่านจากอบูฮุรอยเราะฮ์  กล่าวว่า  ท่านร่อซูลุลลอฮ์   กล่าวว่า

 “ผู้ใดที่ต้องการทำไม่ดีกับชาวเมืองนี้  หมายถึงนครมะดีนะฮ์  อัลลอฮ์จะทรงให้มันมลายไปดังเช่นเกลือละลายในน้ำ”

 

          10.  ผู้ที่พำนักอยู่ในนครมะดีนะฮ์  อย่าลำพองตนว่าเป็นชาวเมืองนี้  เช่น  พูดด้วยความยะโสว่า  “ฉันเป็นชาวนครมะดีนะฮ์  ฉันอยู่กับความดี”  เพราะการเป็นชาวนครมะดีนะฮ์  มิได้หมายความว่าจะได้รับความดีด้วยกับเมืองนี้  หรือดำรงการภักดีต่ออัลลอฮ์  และร่อซูลของพระองค์ หรือมีผลทำให้เขาออกห่างจากการทำความผิดและการฝ่าฝืนความจริง

          การเป็นเพียงชาวเมืองมะดีนะฮ์  ไม่มีผลทำให้เกิดความดีและก่อประโยชน์แต่อย่างใด  กลับจะก่อให้ความเสียหายมากกว่า  ถ้าหากว่าตัวเขาเองไม่ประกอบความดี ไม่ดำรงการภักดีต่ออัลลอฮ์    และร่อซูลของพระองค์และไม่ยับยั้งตัวเองจากการทำความชั่ว

     ในหนังสืออัลมุวัฎเฎาะของอิมามมาลิก  ซัลมาน  อัลฟาริซีย์  กล่าวว่า

 “แผ่นดินมิได้ทำให้มนุษย์คนใดมีเกียรติ  แท้จริง  การงานบุคคลเป็นสิ่งที่ทำให้เขามีเกียรติ”

     สายผู้รายงานถ้อยคำนี้ขาดตอน  แต่ความหมายถูกต้อง  เพราะมีความสอดคล้องกับความเป็นจริง ดังดำรัสของอัลลอฮ์  ที่ว่า

“แท้จริง  ผู้ที่มีเกียรติที่สุดในหมู่สูเจ้า  ณ  อัลลอฮ์  คือ  ผู้ที่ยำเกรงมากที่สุดในหมู่สูเจ้า  ณ  อัลลอฮ์  คือ  ผู้ที่ยำเกรงมากที่สุดในหมู่พวกเจ้า”

(ซูเราะฮ์  อัลฮุจร็อต : 13)

          เป็นที่ทราบดีว่านครมะดีนะฮ์  ในยุคอดีตมีทั้งคนดีและคนชั่ว  คนดีการงานของเขาเป็นประโยชน์ต่อเขา  และคนชั่วเกียรติของนครมะดีนะฮ์มิได้ทำให้พวกเขาดีขึ้น  และมิได้ยกฐานะของพวกเขาให้สูงขึ้น  เช่นเดียวกับ ผู้ที่อยู่ในตระกูลสูง  การมีตระกูลสูง  แต่มิได้ประกอบความดี  การมีตระกูลสูงมิได้ยังประโยชน์อันใด ณ  อัลลอฮ์  ดังที่ท่านร่อซูล  กล่าวว่า

“และผู้ใดที่การงานของเขาทำให้เขาล่าช้า (ในการเข้าสวรรค์) เชื้อสายของเขาก็ไม่อาจจะทำให้เขา (เข้าสวรรค์) อย่างรวดเร็วได้”

(บันทึกโดย มุสลิม  ในหนังสือศ่อเฮี๊ยะฮฺของท่าน)

 

          11.  จำเป็นจะต้องตระหนักว่า  นครมะดีนะฮ์  คือ  เมืองที่รัศมีส่องประกาย  ความรู้ที่ยังประโยชน์ได้กระจายออกไปทั่วทุกมุมโลก  จึงจำเป็นที่เขาจะต้องเอาใจใส่  ในการแสวงหาความรู้ทางศาสนาและเชิญชวนผู้อื่นไปสู่การศรัทธาต่ออัลลอฮ์    ด้วยความสุขุมคัมภีร์ภาพ  เฉพาะอย่างยิ่งการแสวงหาวิชาความรู้ในมัสยิดของท่านร่อซูลุลลอฮ์ 

 ท่านอบูฮุรอยเราะฮ์  กล่าวว่า  ท่านได้ยินท่านร่อซูลุลลอฮ์ กล่าวว่า

“ผู้ใดเข้าไปในมัสยิดของเรานี้เพื่อศึกษาความดีหรือเพื่อสั่งสอนความดี  เขาเปรียบเสมือนผู้ทำการญิฮาดในหนทางของอัลลอฮ์ 

และผู้ใดที่เข้าไปในมัสยิดของเรา  โดยมีจุดประสงค์อื่นจากนี้  เขาจะเป็นเสมือนผู้มองในสิ่งที่ไม่ใช่สิทธิของเขา”

บันทึกโดย  อะฮ์มัด  อิบนุมาญะฮ์  และบุคคลอื่น และมีฮะดีษสนับสนุน  โดยบันทึกของอัฏฏ็อบรอนีย์  จากฮะดีษ  ซะฮฺลฺ  อิบนิ  ซูอฺดฺ

 


แปลและเรียบเรียงโดย  อาจารย์มูนีร  มูฮัมมัด

ที่มา : อัลอิศลาห์สมาคม