ดร.แกรี่ มิลเลอร์...อ่านอัลกุรอานเพื่อจับผิดอัลกุรอาน
เรียบเรียงโดย ... วาริษาฮ์ อัมรีล
ดร.แกรี่ มิลเลอร์เป็นมิชชันนารีคริสต์ที่เปลี่ยนมารับอิสลามในปี 1978 ปัจจุบันเขาเป็นนักการศาสนาและนักเผยแพร่อิสลามชื่อเสียงโด่งดังมาก เนื่องจากดร.มิลเลอร์เป็นนักคณิตศาสตร์ ตรรกะและเหตุผลจึงสำคัญมากสำหรับเขา และเขาได้นำความรู้เหล่านี้มาประยุกต์เมื่อหยิบเอาอายะฮ์ต่างๆ ในอัล-กุรอานขึ้นมาอธิบาย แบบง่ายๆ แต่น่าทึ่ง มีเหตุผลรองรับสอดคล้องกันไปหมด หนังสือเล่มสำคัญของเขาคือ มหัศจรรย์แห่งอัล-กุรอาน (The Miracle of Quran) ขายดีติดอันดับตลอดกาลของหนังสืออิสลาม
ดร.มิลเลอร์ เป็นชาวแคนาดา จบปริญญาเอกด้านคณิตศาสตร์ เขาเกิดในครอบครัวชาวคริสต์ เคยทำงานกับคณะมิชชันนารีเผยแพร่ศาสนา จึงแตกฉานในคัมภีร์ไบเบิ้ล ต่อมาเขาอ่านอัลกุรอานมีเป้าหมายเพื่อหาข้อผิดพลาดของคัมภีร์ และนำมายืนยันกับชาวมุสลิมให้เปลี่ยนไปรับคริสตศาสนา ดร.มิลเลอร์คาดหวังว่า อัลกุรอานจะเป็นหนังสือโบราณอายุกว่า 1,400 ปี เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับทะเลทรายและอื่นๆ แต่เขากลับประหลาดใจว่านอกจากอัลกุรอานจะไม่มีข้อผิดพลาดแล้ว เขากลับพบความจริงที่มิอาจปฏิเสธได้
ดร.มิลเลอร์พบว่า คัมภีร์เล่มนี้หาได้เหมือนกับหนังสือเล่มใดๆ ในโลก เขาพยายามหาเรื่องราวต่างๆ อาทิเช่น ภาวะเศร้าโศกเสียใจของนบีมุฮัมมัด ยามที่สูญเสียภรรยา ลูกชายและลูกสาว แต่ก็ไม่เจอ และที่ทำให้เขางงก็คือ เขาพบซูเราะฮ์หนึ่งในอัลกุรอ่านชื่อ “มัรยัม” (พระนางมารี) ซึ่งยกย่องให้เกียรติพระนางมารีอย่างมาก ซึ่งในไบเบิลหรือหนังสือที่เขียนโดยคริสเตียนก็ไม่ขนาดนี้ ในขณะเดียวกันดร.มิลเลอร์กลับไม่พบซูเราะฮ์ที่ตั้งชื่อตาม “ฟาติมาฮ์” บุตรสาวท่านนบีมุฮัมหมัด หรือ “อาอิชาฮ์” ภรรยาท่านนบี เขายังพบต่อไปอีกว่าอัลกุรอานกล่าวถึงชื่อ เยซู 25 ครั้ง ในขณะที่เอ่ยถึงชื่อ “มุฮัมมัด” เพียง 4 หนเท่านั้น เขาเลยสับสนหนักขึ้น
จากนั้นดร.มิลเลอร์อ่านอัลกุรอานอย่างตั้งอกตั้งใจมากกว่าเดิม กะว่าคราวนี้ต้องจับผิดให้ได้ แต่ต้องตะลึงเมื่อเจอเข้ากับอายะฮ์สำคัญคือ อายะฮ์ 82 ในซูเราะฮ์ อัน-นิซาอฺ (ผู้หญิง) ที่บอกว่า:
“พวกเขาไม่พิจารณาดูอัลกุรอานบ้างหรือ ?
และหากว่า อัลกุรอานมาจากผู้ที่ไม่ใช่อัลลอฮฺแล้วแน่นอนพวกเขาก็จะพบว่าในนั้นมีความขัดแย้งกันมากมาย”
(อัน-นิซาอฺ อายะฮ์ 82)
ดร.มิลเลอร์บอกว่าโองการนี้ เป็นหนึ่งในหลักการวิทยาศาสตร์ที่รู้จักกันดี คือหลักการหาข้อผิดพลาดในทฤษฎี จนกระทั่งทฤษฎีนั้นถูกพิสูจน์ว่าเป็นความจริง (Falsification Test) มันน่าทึ่งมากที่อัลกุรอ่านท้าทายให้มุสลิมและผู้ที่มิใช่มุสลิมหาข้อผิดพลาดในคัมภีร์ แถมยังบอกอีกว่าไม่มีวันที่ใครจะหาเจอหรอก เขากล่าวอีกว่า ไม่มีนักเขียนคนใดในโลกนี้ที่หาญกล้าเขียนหนังสือขึ้นมาแล้วบอกว่าหนังสือทั้งเล่มไม่มีข้อผิดพลาดแม้เพียงนิดเดียว, ตรงข้ามกันนั้น อัลกุรอานกลับบอกคุณว่า ทั้งเล่มน่ะไม่มีข้อผิดเลย, ท้าทายให้คุณหาข้อผิดให้ได้, และสำทับว่าคุณไม่มีวันหาเจอหรอก !
อีกโองการหนึ่งที่ดร.มิลเลอร์นำมาอ้างเสมอคือ อายะฮ์ 30 ในซูเราะฮ์ อัลอัมบิยาอฺ (Al-Anbiyaa หรือ ศาสดา):
"และบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาเหล่านั้นไม่เห็นดอกหรือว่า แท้จริงชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินนั้นแต่ก่อนนี้รวมติดเป็นอันเดียวกัน
แล้วเราได้แยกมันทั้งสองออกจากกัน(*1*) และเราได้ทำให้ทุกสิ่งมีชีวิตมาจากน้ำ(*2*) ดังนั้นพวกเขาจะยังไม่ศรัทธาอีกหรือ"
(อัลอัมบิยาอฺ อายะฮ์ 30)
(1) คือพวกเหล่านั้นไม่ทราบดอกหรือว่า ชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน แต่ก่อนนั้นเป็นสิ่งเดียวกันคือติดกันแล้วอัลลอฮ์ทรงแยกออกจากกัน
(2) คือเราได้ทำให้น้ำเป็นแหล่งที่มาของทุกสิ่งที่มีชีวิต และเป็นสาเหตุของการมีชีวิตมนุษย์ สัตว์ และพืชพันธ์จะมีชีวิตอยู่ไม่ได้ปราศจากน้ำ
ดร.มิลเลอร์บอกว่า โองการนี้ยืนยันโดยผลงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ซึ่งได้รับรางวัลโนเบลในปี 1973 คือทฤษฎี ‘Great Explosion’ ทฤษฎีนี้บอกว่าจักรวาลถือกำเนิดมาจากการระเบิดครั้งใหญ่ แล้วทำให้เกิดการรวมตัวของจักรวาลซึ่งประกอบไปด้วยอวกาศและดวงดาวต่างๆ
เขากล่าวอีกว่า เอาละเรามาถึงเรื่องที่น่าทึ่งเกี่ยวกับนบีมุฮัมหมัด และที่บอกว่าอัลกุรอานนำลงมาโดยซาตาน ทั้งนี้พระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวว่า:
"และบรรดามารร้ายทั้งหลายไม่มีโอกาสนำอัลกุรอานลงมาได้เลย พวกมันไม่มีทั้งความเหมาะสมและความสามารถ (ที่จะนำลงมา)
เพราะแท้จริงพวกมันนั้นได้ถูกกีดกัน (ให้ออกไปไกลๆ) จากการได้ยิน (อัล-กุรอ่าน)"
( อัชชุอะรออฺ อายะฮ์ 210-212)
"ดังนั้น เมื่อเจ้าอ่านอัลกรุอาน ก็จงขอความคุ้มครองต่ออัลลอฮ์ให้พ้นจากชัยฏอนที่ถูกสาปแช่ง"
(อัชชุอะรออฺ อายะฮ์ 98)
คุณเห็นมั้ย? ซาตานจะเขียนอัลกุรอานขึ้นมาแบบนี้ได้ไง? พวกมันจะเขียนหนังสือบอกให้คุณวิงวอนพระเจ้าให้ปกป้องคุณจากพวกมันทำไม? เหล่านี้เป็นโองการที่วิเศษสุดๆ ในหนังสือมหัศจรรย์เล่มนี้ ! และก็มีคำตอบที่เป็นตรรกะแก่พวกที่บิดเบือนว่าอัลกุรอานเขียนโดยซาตานอีกด้วย !
และหนึ่งในบรรดาเรื่องราวที่ดร.มิลเลอร์ทึ่งที่สุดก็คือ เรื่องของอบูละฮับ เขาระบุว่า: ชายผู้นี้ (อบูละฮับ) เกลียดชังอิสลามเป็นที่สุด เขาเดินตามท่านนบี ไปทุกที่เพื่อหยามเกียรติท่านนบี หากเขาเจอท่านนบี พูดคุยกับคนแปลกหน้า อบูละฮับจะรอจนท่านนบี พูดจบแล้วเข้าไปถามคนแปลกหน้าพวกนั้นว่า: ‘มุฮัมมัดบอกอะไรกับพวกเจ้า?’
หากท่านนบี บอกว่าขาว อบูละฮับจะบอกว่าดำ หากท่านนบี บอกว่ากลางคืน อบูละฮับก็จะบอกว่ากลางวัน อบูละฮับจะบิดเบือนคำพูดของท่านนบี เสมอ เพื่อให้ผู้คนเกิดความคลางแคลงใจ จากนั้นประมาณ 10 ปีก่อนอบูละฮับจะเสียชีวิต อัลลอฮ ได้ลงซูเราะฮ์หนึ่งลงมาคือ อัลมะซัด (Al-Masad) บอกว่า อบูละฮับจะลงไปอยู่ในนรก หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ อบูละฮับจะไม่มีวันเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม
ช่วง 10 ปีนั้นอบูละฮับสามารถพูดได้ว่า: “มุฮัมมัดบอกว่าฉันไม่มีวันเป็นมุสลิม ฉันจะต้องลงไปอยู่ในเปลวเพลิงนรก แต่ฉันกำลังบอกอยู่นี่ไงว่า ฉันต้องการเปลี่ยนมารับอิสลาม เป็นมุสลิม ตอนนี้พวกเจ้าคิดยังไงกับมุฮัมมัดล่ะ? เขาพูดความจริงหรือเปล่า? เขาได้รับวะฮีจากพระผู้เป็นเจ้าจริงๆ นะหรือ? ” แต่อบูละฮับก็ไม่เคยรับอิสลาม อบูละฮับไม่เคยเชื่อนบีมุฮัมมัด และทำทุกอย่างในทางตรงข้ามหมด แต่มิใช่เรื่องนี้ !
อีกนัยหนึ่งนบีมุฮัมมัด ให้โอกาสอบูละฮับได้พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่านบี พูดผิด ! แต่อบูละฮับก็ไม่เคยทำเลยตลอด 10 ปีเต็ม ! อบูละฮับไม่เคยเปลี่ยนมารับอิสลามและไม่เคยแสร้งทำว่าเป็นมุสลิมเลยแม้แต่หนเดียว ! ! ตลอดเวลา 10 ปีเต็มๆ ที่เขามีโอกาสทำลายอิสลามได้ใน 1 นาที ! แต่มันก็ไม่เคยเกิดขึ้น เพราะนั่นคือพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงรอบรู้ และรู้ว่าอบูละฮับไม่มีวันหันมาเป็นมุสลิม
นบี จะแน่ใจได้อย่างไรในตลอดระยะเวลา 10 ปีนั้นว่า อัลกุรอานบอกไว้อย่างถูกต้อง หากท่านมิได้รับพระวจนะจากพระผู้เป็นเจ้า? ใครก็ตามที่ท้าทายความเสี่ยงขนาดนั้น, บอกได้อย่างเดียวแหละว่า: เขาต้องได้รับแรงบันดาลใจจากพระผู้เป็นเจ้า
"มือทั้งสองของอบีละฮับจงพินาศ และเขาก็พินาศแล้ว (*1*) ทรัพย์สมบัติของเขา และสิ่งที่เขาได้ขวนขวายไว้นั้นไม่อาจป้องกันเขาได้เลย
ต่อไปเขาจะถูกเผาไหม้ในนรกที่มีไฟลุกโชน (*2*) โดยมีภริยาของเขา เป็นผู้แบกไม้ฟืน ที่คอของนางมีเชือกถักด้วยใยอินทผลัม (*3*)"
(อัล-กุรอ่าน, ซูเราะฮ์ อัลมะซัด)
(1) ทั้ง 5 อายะฮ์ของซูเราะฮฺนี้ ถูกประทานลงมาเป็นการตอบโต้อบีละฮับ อาของท่านนบี ทั้งนี้เนื่องจากว่าเมื่ออายะฮฺที่ว่า “จงตักเตือนวงศาคณาญาติของเจ้าที่ใกล้ชิด” จากซูเราะฮฺ อัชชุอะรออฺถูกประทานลงมา ท่านนบีได้ขึ้นไปบนภูเขาอัซซอฟา แล้วเรียกร้องมหาชนให้มาชุมนุมกัน ครั้นเมื่อประชาชนมาชุมนุมล้อมรอบท่านแล้ว ท่านได้กล่าวแก่พวกเขาว่า “แท้จริงฉันขอเตือนพวกท่านถึงการเผชิญหน้ากับการลงโทษอย่างแสนสาหัส พวกท่านจงกล่าวคำว่า ‘ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮฺ’ คำคำนี้พวกท่านจะมีอำนาจเหนือชาวอาหรับ ส่วนชาวต่างชาติก็จะปฏิบัติตามพวกท่าน” อบูละฮับได้กล่าวว่า “ด้วยเหตุนี้น่ะหรือที่เจ้าเรียกพวกเรามาชุมนุม ความพินาศจงมีแด่เจ้าตลอดวันนี้” อัลลอฮฺจึงประทานซูเราะฮฺนี้ลงมาเป็นการตอบโต้ว่า “มือทั้งสองของอบีละฮับจงพินาศ และเขาก็พินาศแล้ว" ดังนั้นเขาจึงพินาศและประสบหายนะด้วยโรคร้ายแรงจนไม่สามารถจะอาบน้ำศพของเขาได้
(2) เมื่ออัลลอฮฺทรงกริ้วเขาและให้เขาเข้าสู่นรกญะฮันนัม ทรัพย์สินเงินทองที่เขาแสวงหาเอาไว้นั้นไม่อาจจะปกป้องเขาให้พ้นจากการลงโทษได้ เขาจะถูกเผาไหม้ในนรกญะฮันนัมที่มีไฟลุกโชน
(3) ภริยาของเขาคือ อุมมุญะมีล ตาเสียข้างหนึ่งก็จะเป็นผู้แบกฟืนของไฟนรก เพราะนางเป็นผู้ขัดขวางท่านนบีด้วยการวางหนามตลอดทางที่ท่านนบีใช้เดินทางไปละหมาดศุบฮฺ ณ มัสยิดอัลฮะรอม และที่คอของนางจะมีเชือกที่ถักด้วยใยอินทผลัมคล้องคอนางอยู่ เพื่อใช้ดึงนางไปสู่นรกญะฮันนัม
ดร.มิลเลอร์ระบุถึงโองการที่ทำให้เขาประหลาดใจ: หนึ่งในความมหัศจรรย์ของอัลกุรอาน คือ บอกเรื่องในอนาคตที่มนุษย์ไม่อาจคาดเดาได้เลย การทดสอบ Falsification Test ใช้วิธีค้นหาข้อผิดพลาดจนกว่าทุกอย่างจะถูกพิสูจน์ให้เห็นว่าถูกต้องครบถ้วน ตัวอย่างเช่น มาดูกันว่าอัลกุรอานระบุเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างชาวมุสลิมและชาวยิวว่าอย่างไร ? อัลกุรอานบอกว่า ชาวยิวเป็นศัตรูสำคัญของมุสลิม และคำกล่าวนี้ก็เป็นจริงจนกระทั่งปัจจุบันนี้ ที่ชาวยิวก็ยังคงเป็นศัตรูตัวฉกาจของมุสลิมอยู่นั่นเอง
เขากล่าวต่อไปว่า: นี่ถือเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ เพราะชาวยิวมีโอกาสที่จะทำลายอิสลามได้ด้วยการแสร้งทำดีซักไม่กี่ปี เพื่อจะได้พูดว่า: “เห็นไหม เราเป็นเพื่อนกับเจ้าแล้วนี่ไง แต่อัลกุรอานบอกว่าพวกเราเป็นศัตรูคนสำคัญของพวกเจ้า เพราะฉะนั้นอัลกุรอานน่ะเขียนผิด!’ แต่เรื่องเหล่านี้ไม่เคยเกิดขึ้นเลยตลอดระยะเวลา 1,400 ปี ที่ผ่านมา! และก็ไม่มีวันเกิดขึ้น! เพราะนั่นคือคำพูดของพระผู้อภิบาลหนึ่งเดียว มิใช่คำพูดของมนุษย์
ดร.มิลเลอร์บอกว่า: คุณเห็นไหมว่าคำพูดที่ระบุถึงความเป็นปรปักษ์ระหว่างมุสลิมและยิวเป็นการท้าทายจิตใจของมนุษย์อย่างยิ่ง?
"แน่นอนเจ้าจะพบว่า หมู่ชนที่เป็นศัตรูอันรุนแรงแก่บรรดาผู้ที่ศรัทธานั้นคือชาวยิว และบรรดาผู้ที่ให้มีภาคีแก่อัลลอฮ์(*1*)
และแน่นอนเจ้าจะพบว่า บรรดาผู้ที่มีความรักใคร่แก่บรรดาผู้ที่ศรัทธาใกล้กว่า(*2*)
พวกเขา(*3*)นั้นคือ บรรดาผู้ที่กล่าวว่าแท้จริงพวกเราเป็นคริสตชน นั่นก็เพราะว่า ในหมู่พวกเขานั้นมีบรรดานักปราชญ์ และบาทหลวง
และก็เพราะว่าพวกเขาไม่เย่อหยิ่ง และเมื่อพวกเขา(*4*)ได้ยินสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่รอซูลแล้ว
เจ้า(*5*)ก็จะเห็นตาของพวกเขาหลั่งออกมาซึ่งน้ำตา เนื่องจากความจริงที่พวกเขารู้(*6*) โดยที่พวกเขาจะกล่าวว่า
โอ้พระเจ้าของพวกข้าพระองค์โปรดได้ทรงจารึกพวกข้าพระองค์ไว้ร่วมกับบรรดาผู้กล่าวปฏิญาณยืนยันด้วยเถิด(*7*)
ไม่มีเหตุผลใด ๆ แก่เราที่เราจะไม่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์และความจริงที่มายังเรา
และเราปรารถนาอย่างแรงกล้าที่พระเจ้าของเราจะทรงให้เราเข้าอยู่ร่วมกับพวกที่ดี ๆ ทั้งหลาย(*8*)"
(อัล-มาอิดะฮฺ อายะฮ์ 82-84)
(1) หมายถึงพวกมุชริก และพวกที่มิใช่มุสลิมทั่ว ๆ ไปนอกเหนือจากพวกอะฮ์ลุลกิตาบ
(2) คือใกล้กว่าพวกยิว และพวกมุชริก
(3) คือใกล้กว่าพวกยิวและพวกมุชริก
(4) คือพวกที่กล่าวว่า เราเป็นคริสต์ได้ยินโองการที่ถูกประทานลงมาแก่ท่านนบีมุฮัมหมัด
(5) หมายถึงท่านนบีมุฮัมหมัด
(6) คือเนื่องจากโองการที่พวกเขาได้ยินนั้นมีความจริงตรงตามที่พวกเขาเคยรู้มาก่อนจากคัมภีร์ของพวกเขา เช่น กษัตริย์อัน-นะญาชีย์ และบรรดาปุโรหิตของพระองค์ได้ฟังอัล-กรุอานที่ระบุเกี่ยวกับความเป็นจริงของท่านนบีอีซา เป็นต้น
(7) คือผู้ที่กล่าวปฏิญาณตนนับถืออัล-อิสลาม
(8) คือพวกที่ดำเนินชีวิตอยู่ในวิถีทางของอัลลอฮ์อย่างเคร่งครัด
ดร.มิลเลอร์ยังบอกว่าอัลกุรอาน มีสไตล์ของตัวเองต่างหากที่เขารู้สึกว่าช่างวิเศษจริงๆ: อัลกุรอานเป็นหนังสือที่ไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใคร อัลกุรอานบอกข้อมูลบางอย่างและก็ระบุว่าคุณไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน ตัวอย่างเช่น:
"นั่นคือส่วนหนึ่งจากบรรดาข่าวของสิ่งเร้นลับ ซึ่งเราชี้แจงให้เจ้า(*1*)ทราบ และเจ้ามิได้อยู่ ณ ที่พวกเขา(*2*)
ขณะที่พวกเขาโยนเครื่องเสี่ยงทายของพวกเขา (เพื่อทราบว่า) ใครในหมู่พวกเขาจะได้อุปการะมัรยัม
และเจ้ามิได้อยู่ ณ ที่พวกเขา ขณะพวกเขาโต้เถียงกัน(*3*)"
(อาละอิมรอน อายะฮ์ 44)
(1) คือท่านนบีมุฮัมหมัด
(2) หมายถึงพวกพระในโบสถ์
(3) คือโต้เถียงกันว่าใครเป็นผู้เหมาะสมที่จะอุปการะนางมัรยัม
"เหล่านั้นคือส่วนหนึ่งจากเรื่องราวอันเร้นลับที่เราได้วะฮีมายังเจ้า (มุฮัมมัด) เจ้าไม่รู้เรื่องนี้และกลุ่มชนของเจ้าก็ไม่รู้มาก่อนเลย
ดังนั้นเจ้าจงอดทน แท้จริงบั้นปลายที่ดีนั้นสำหรับบรรดาผู้ยำเกรง(*1*)"
(อัล-กุรอ่าน, ซูเราะฮ์11 ฮูด Hud, อายะฮ์ 49)
(1) เรื่องราวของนะบีนุห์นี้ ได้นำมาบอกเล่าเพื่อเป็นการปลอบโยนท่านนบีจากการทำร้ายของพวกมุชริกีน
"นั่นคือส่วนหนึ่งจากข่าวเร้นลับที่เราได้วะฮีแก่เจ้า(*1*) และเจ้ามิได้อยู่กับพวกเขา ขณะที่พวกเขาตกลงกันในเรื่องของพวกเขาและพวกเขาวางแผน"
(ยูซุฟ อายะฮ์ 102)
(1) นั่นคือข่าวคราวและเรื่องราวของยูซุฟซึ่งเป็นข่าวเร้นลับ เจ้าจะไม่รู้มาก่อนการลงวะฮีเลย แต่เราได้ให้เจ้ารู้เรื่องราวอย่างละเอียด เพื่อให้ความจริงของเจ้าปรากฏขึ้นในการเรียกร้องไปสู่การเผยแพร่ศาสนา
ดร.มิลเลอร์กล่าวต่อไปว่า: ไม่มีคัมภีร์ในศาสนาใดที่เขียนสไตล์นี้ หนังสือเล่มอื่นบอกว่าข้อมูลในหนังสือน่ะมาจากที่ใด เช่น เมื่อไบเบิลบอกถึงเรื่องราวของชนชาติโบราณ ไบเบิลได้บอกว่ากษัตริย์องค์นี้อาศัยอยู่ที่ใด ผู้นำคนนั้นสู้รบในสมรภูมิไหน คนๆ นั้นมีบุตรกี่คน ชื่ออะไรบ้าง และ (ไบเบิล) ก็บอกว่า หากคุณอยากรู้เพิ่มเติมละก้อ คุณไปหาอ่านในหนังสือเล่มใดเพราะเรื่องราวเหล่านี้มาจากหนังสือเล่มนั้น
ดร.มิลเลอร์กล่าวต่อไปว่า: ซึ่งคนละเรื่องกันกับอัลกุรอานที่บอกเรื่องราวกับคุณ แล้วบอกคุณว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องใหม่ ! และที่น่าทึ่งก็คือ ชาวเมืองเมกกะในยุคนั้น (ที่อัลลอฮ์ ลงโองการต่างๆ ลงมา) ได้ยินโองการเหล่านี้และคำท้าทายว่า เป็นเรื่องใหม่ ! ชาวเมืองและนบีมุฮัมมัด ไม่เคยรู้มาก่อน จนขนาดนั้นแล้วก็ไม่มีใครเคยพูดเลยว่า: ‘เราเคยรู้เรื่องนี้มาแล้ว มันไม่ใช่เรื่องใหม่หรอก’ ไม่มีใครเคยบอกว่า ‘เรารู้ว่ามุฮัมมัดเอาคำพูดเหล่านี้มาจากไหน’ คำพูดเหล่านี้ไม่เคยเกิดขึ้น ! แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ไม่มีใครหาญกล้ามาบอกว่า มุฮัมมัดโกหกพวกเขา เพราะเรื่องเหล่านั้นเป็นเรื่องใหม่ มิได้มาจากมนุษย์ แต่มาจากอัลลอฮ ผู้รู้แจ้งทั้งอดีต ปัจจุบันและอนาคต
ปัจจุบันดร.มิลเลอร์เป็นอาจารย์สอนอยู่ที่มหาวิทยาลัย King Fahd University of Petroleum & Minerals ประเทศซาอุดิอารเบีย เขาเผยแพร่อิสลามให้แก่ผู้คนทั่วไป ทั้งทางวิทยุ และโทรทัศน์ เขียนบทความและหนังสือต่าง ๆ เกี่ยวกับอิสลามออกมามากมาย
ที่มา : บล็อกของ khal-doon