มัสยิด คือ บ้านของอัลลอฮ์
  จำนวนคนเข้าชม  11093

มัสยิด คือ บ้านของอัลลอฮ์


อาจารย์ อะห์ซันนุดดีน มั่งมี


          พี่น้องผู้มีความศรัทธา จงมีความยำเกรงต่อ อัลเลาะห์  มนุษย์เราทุกคนตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเสมอภาค ไม่มีการแบ่งแยก ด้วยกับสีผิว ไม่มีการแบ่งแยก ด้วยกับรูปร่างหน้าตา ไม่มีการแบ่งแยก ด้วยกับฐานะตำแหน่งหน้าที่การงาน ยิ่งไปกว่านี้ เรายังมีเวลา 24 ชั่วโมงที่เท่าเทียมกัน แต่มวลมนุษย์จะแตกต่างระดับชั้นกันนั้น ขึ้นอยู่กับผลบุญความดี ขึ้นอยู่กับการยำเกรงต่ออัลเลาะห์ โดยประพฤติปฏิบัติตามสิ่งต่าง ๆ ที่พระองค์ทรงใช้ หลีกเลี่ยงห่างไกล จากสิ่งต่าง ๆ ที่พระองค์ทรงห้าม

         การตักวา เป็นตราชั่งที่ดีที่สุด เป็นสื่อกลางที่ดีที่สุด ที่เราจะต้องนำเสนอต่ออัลเลาะห์ ในวันกิยามะห์ ซึ่งเป็นวันที่บุคคลหนึ่ง จะหนีจากพ่อแม่ของเขา หนีจากพี่น้องของเขา หนีจากภริยาและบุตรของเขา  เงินทองอำนาจเกียรติยศบุตรบริวาร ไม่สามารถอำนวยประโยชน์ใด ๆ ได้เลย

          พี่น้องที่เคารพรัก มัสยิดคือบ้านของ อัลเลาะห์ เป็นสถาบันทางศาสนาอิสลาม มัสยิดเป็นองค์กรหลัก ในสังคมมุสลิม ที่จะส่งผลในการพัฒนาสังคมให้บรรลุสู่เส้นทางที่เที่ยงตรงทั้งดุนยา   และอาคีเราะห์   มัสยิดนั้นประกอบไปด้วย อีหม่าม  หรือผู้ปกครอง กรรมการมัสยิด  บิล้าล  คอเต็บ   สับบุรุษหรือสมาชิกของชุมชน   ซึ่งแต่ละบุคคลนั้น มีหน้าที่รับผิดชอบที่แตกต่างกันตามคุณสมบัติ


อิหม่ามامام  หรือผู้ปกครองมีคุณสมบัติพอสรุปได้  4 ประการ

              1. อิหม่าม นั้นต้องมีความรู้  ความเข้าใจอย่างแตกฉานในข้อกฎหมายอิสลาม  สามารถชี้แจงถึงบทบัญญัติของ อัลเลาะห์  เพื่อรองรับปัญหาของแต่ละบุคคลในชุมชน

2. มีความยุติธรรมกับทุกฝ่าย

3. มีความมั่นคง ไม่หวั่นไหว ไม่สะทกสะท้านในการปฏิบัติหน้าที่ ตอบรับและแก้ไขปัญหา ด้วยความเยือกเย็น

4. มองการณ์ไกล เล็งเห็น ผลประโยชน์ของสมาชิกในชุมชนเป็นอันดับแรก


          คอเต็บ  หรือผู้แสดง คุตะบะห์   ซึ่งคุตบะห์นั้นเปรียบเสมือนเครื่องมือหรืออาวุธ ที่ใช้ปฎิวัติสังคม ซึ่งท่านนบีมูฮำมัด  ได้ปฎิวัติสังคมได้สำเร็จ ด้วยคุตะบะห์  ท่านนบีมูฮำมัด  ไม่มีอาวุธในมือ ไม่มีทรัพย์สมบัติ ไม่มีอำนาจทางการเมือง ท่านมีแต่ความจริงใจ และความซื่อสัตย์ ที่แสดงออกโดยคุตะบะห์

        ดังมีรายงานจากเหล่า ซอฮาบะห์ว่า พวกเราได้รับฟังคุตะบะห์ ของท่านนบี มูฮำมัด   ทำให้จิตใจของเรา เกรงกลัวต่อ อัลเลาะห์  และทำให้น้ำตาต้องหลั่งออกมา เนื่องจากความซาบซึ้งกินใจกับคุตะบะห์

 สำหรับคุตะบะห์ ต้องมีลักษณะดังนี้

1. ต้องเป็นเนื้อหาที่จริงใจจริงจัง กล่าวออกมาจากส่วนลึกของหัวใจ และบริสุทธิ์ใจ

               2. เนื้อหา เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับผู้ฟัง โดยตรวจสอบจากสภาพจริง ถ้าสังคมนั้นมีเรื่องราวที่สร้างสรรค์ คุตะบะห์จะกล่าวส่งเสริม ถ้ามีเรื่องที่ไม่ดี เรื่องเสื่อมทราม คุตะบะห์ จะต้องนำมากล่าวตักเตือนด้วยความบริสุทธิ์ใจ

3. คุตะบะห์ ต้องไม่มีการหาเสียง เอาอกเอาใจ ประจบสอพลอ เป็นการส่วนตัว

4. คุตะบะห์  ต้องไม่มีการ ประณาม ประจาน หรือตำหนิ เป็นการส่วนตัว

5. คุตะบะห์  ต้องตักเตือนอย่างกว้างๆ ทำให้ผู้ประกอบความผิด ทำบาป สำนึกตัวด้วยตนเอง

6. ต้องมีน้ำเสียงที่หนักแน่น พูดดังฟังชัด จนบุคคลที่นั่งก้มหน้า ต้องเงยหน้าขึ้นมาฟัง


สัปบุรุษ  หรือสมาชิกของชุมชน จะต้องมีคุณลักษณะดังนี้

       1. สมาชิกของชุมชน ต้องทำละหมาดญะมาอะห์ร่วมกัน และโดยเฉพาะละหมาดวันศุกร์ จะต้องตั้งใจฟังคุตะบะห์อย่างสงบนิ่ง ต้องไม่คุยกันในมัสยิด ในเรื่องราวของดุนยา

2. สมาชิก จะต้องประกอบอาชีพ ทำงานที่ ฮาลาล (حلال)

3. สมาชิกจะต้องรณรงค์ ให้ผู้คนทำความดี มีความรัก ความสามัคคี สมานฉันท์ ปรองดองมีความเสียสละ เยี่ยมเยียนเชื่อมสัมพันธ์ เป็นต้น

4. สมาชิกต้องรณรงค์ ให้ผู้คนละเว้นความชั่ว เช่นสิ่งเสพติด สุรา การพนัน  ผิดประเวณี ลักขโมย เป็นต้น

5. สมาชิกต้องเคารพ และปฏิบัติตามท่านอิหม่าม


          พี่น้องที่เคารพรัก สังคมใดที่ดำเนินการตามนี้ จะเป็นสังคมที่มีความสันติสุขและปลอดภัย แต่อย่างไรก็ดี ทุกสังคมนั้น มีผู้คนหลากหลาย มีขาว มีดำ มีสูง มีต่ำ มีกำไร มีขาดทุน มีความคิดที่แตกต่างกัน มีความขัดแย้งกัน ดังนั้นจำเป็นต้องปฏิบัติตามเจ้าบ้าน หรือผู้ปกครอง โดยใช้กฎหมายอิสลามเป็นเครื่องตัดสิน ซึ่งกฎหมายอิสลามมีความยุติธรรม ไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ไม่แพ้อำนาจเงิน ไม่แพ้อำนาจปืน เนื่องจากเป็นกฎหมาย ที่ถูกบทบัญญัติโดย  อัลเลาะห์  ซึ่งจะทำให้เกิดความสันติสุขในชุมชนสังคม 

 

ดังมีรายงานว่า ท่านอาลี  เป็น คอลีฟะห์ ได้พบว่า โล่ของท่าน หายไปอยู่กับคริสเตียนคนหนึ่ง ท่านอาลี นำคริสเตียนคนนั้น ไปหาท่านซูรอยฮ์  ซึ่งเป็นผู้พิพากษา

ท่านอาลี ได้ฟ้องร้องว่า นี่คือโล่ของฉัน ฉันไม่เคยขาย หรือให้มันแก่ใครเลย

ผู้พิพากษา ได้ถาม คริสเตียนคนนั้นว่า ท่านจะว่าอย่างไร ต่อคำฟ้องร้องของคอลีฟะห์

คริสเตียนคนนั้นตอบว่า นี่เป็นโล่ของฉัน คอลีฟะห์พูดโกหก

ผู้พิพากษากล่าวย้ำท่านอาลี   ว่า โอ้ท่านคอลีฟะห์ ท่านหาข้อพิสูจน์ได้ไหมว่า โล่นั้นเป็นของท่าน

ท่านอาลี  ยิ้มและตอบว่า ฉันไม่มีข้อพิสูจน์

ท่านซูรอยฮ์  ได้กล่าวกับท่านอาลีว่า ดังนั้น โล่อันนี้เป็นของคริสเตียน

ท่านอาลี  ได้กล่าวว่า โอ้ท่านผู้พิพากษา  ท่านตัดสินถูกต้องแล้ว 

          ซึ่งสร้างความพอใจ ให้กับคริสเตียนคนนั้น หลังจากนั้น คริสเตียนก็ได้เดินหนีไป พร้อมกับโล่ เขาเดินจากไปไม่กี่ก้าว หลังจากนั้น เขาก็หันกลับไปหาท่านอาลี  และพูดว่า ฉันขอประกาศว่า การตัดสินเช่นนี้ เป็นระบบการปกครองของนบีทั้งหลาย ท่านอาลี ได้ฟ้องร้องฉัน ในศาลของท่านเอง และท่านซูรอยฮ์ ซึ่งเป็นผู้พิพากษา ก็เป็นคนของท่าน ซึ่งเขาตัดสินไม่เห็นด้วยกับท่านอาลี ด้วยเหตุนี้เอง ฉันขอปฏิญาณตนว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจาก อัลเลาะห์  และ มูฮำมัด เป็นร่อซู้ลของ อัลเลาะห์

โอ้ท่านคอลีฟะห์ โดยความเป็นจริงแล้ว โล่นี้เป็นของท่าน ซึ่งโล่นี้มันตกลงมาจากหลังอูฐของท่าน และฉันก็เก็บมันไว้ ท่านโปรดเอาคืนไปเถิด

ท่านอาลี ได้กล่าวตอบว่า บัดนี้ท่านได้เข้ารับอิสลามแล้ว ดังนั้นโล่นี้เป็นของท่าน

 

         พี่น้องที่เคารพรัก เราจะสังเกตเห็นได้ว่า กฎหมายอิสลามนั้น มีความสวยงามเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ท่านซูรอยฮ์ ว่าตามความเป็นจริง ตัดสินให้ คริสเตียนถูกต้อง โดยไม่เข้าข้างฝ่ายท่านอาลี ซึ่งเป็น คอลีฟะห์ (ผู้นำสูงสุด) ตัวท่านอาลี  เองก็ต้องยอมรับการตัดสินของท่าน ซูรอยฮ์ ทั้งๆที่โล่นั้น เป็นของท่านอาลี ส่วนคริสเตียนเอง ก็มีความสำนึกรับผิดที่จะคืนโล่ ให้กับท่านอาลี  ด้วยความซาบซึ้งในใจ


         พี่น้องที่เคารพรัก นี่คือ ความงดงาม ความน่ารัก ความซาบซึ้ง ความสามัคคีปรองดองของเหล่าซอฮาบะฮ์ ที่เป็นแบบอย่าง ให้กับเราทุกคนที่อาศัยอยู่ในบ้านของอัลเลาะห์  หลังนี้ ได้ปฏิบัติตาม

 

 

คุตบะห์วันศุกร์  มัสยิดท่าอิฐ