การละหมาดในภาคส่วนของหัวใจ
“คู่ชั๊วะ” พึงรู้ว่าการละหมาดนั้นคือ ซิเกร คือการอ่าน คือการเข้าเฝ้า คือการสนทนา จึงต้องกระทำด้วยหัวใจ ซึ่งเมื่อกระทำอย่างถูกต้องและสมบูรณ์จะเกิดความเข้าใจ ความเคารพ ความเกรงกลัว ความหวัง และความละอาย โดยสรุปแล้ว เมื่อรู้จักอัลลอฮ์มากขึ้นก็จะยิ่งมีความกลัวมากขึ้น และทำให้หัวใจมีส่วนร่วมกับพฤติกรรมมากขึ้น อันส่งผลให้เกิดความยำเกรงมากขึ้นนั่นเอง
เมื่อได้ยินเสียงอะซาน ควรให้หัวใจได้สำนึกว่าความโกลาหลของวันกิยามะฮ์ได้เริ่มขึ้นแล้ว ทั้งร่างกายและจิตใจเริ่มสะพรึงกลัว เพื่อเตรียมการตอบรับอย่างเร่งรีบ เพราะผู้ที่กระวีกระวาดรีบเร่งตอบรับเสียงอะซาน คือผู้ที่จะได้รับการเรียกร้องในวันกิยามะฮ์ด้วยความนิ่มนวล หากหัวใจยินดี มีความดีใจกับโอกาสที่จะได้เข้าเฝ้า ก็จะมีความยินดีและดีใจเหมือนเสียงเรียกในวันกิยามะฮ์ ด้วยเหตุนี้ท่านนะบี จึงได้พูดกับบิล้าลว่า
“จงทำให้ฉันมีความสุขกับการละหมาดเถิด โอ้บิล้าล” ทั้งนี้ก็เนื่องจากละหมาดเป็น “กุรรอตุอัยนี” ดวงตาแห่งความสงบสุข ของฉัน
♥ ความสะอาดในการละหมาด คือ สะอาดหรือปราศจากสิ่งอื่นจากอัลลอฮ์ ด้วยประการฉะนี้เท่านั้น การละหมาดถึงจะเกิดความสมบูรณ์
♥ แท้จริงตัวท่านนั้น เมื่อท่านได้ปกปิดเอารัตของท่านด้วยอาภรณ์ ดังนั้นอันใดกันเล่าที่ท่านจะนำมาปกปิดเอารัตภายใจของท่าน จึงต้องรักษามารยาทเมื่ออยู่ต่อหน้าอัลลอฮ์
♥ พึงรู้ว่า อัลลอฮ์ทรงมองทั้งภายนอกและภายในของท่านอยู่ จึงต้องมีความนอบน้อมทั้งภายนอกและภายใน
ลองพิจารณา หากท่านยืนอยู่ต่อหน้าองค์พระมหากษัตริย์ ท่านมีความรู้สึกอย่างไร ทั้ง ๆ ที่ระหว่างกษัตริย์กับพระเจ้านั้นแตกต่างกันมาก และเมื่อมีความเข้าใจดีแล้ว ก็ต้องไม่เป็นคนโกหก
เมื่อกล่าวคำว่า “วัจญะฮ์ตุวัจฮี” ซึ่งแปลว่า ฉันขอพึ่งพา หรือฉันขอมอบหมาย
และเมื่อกล่าวว่า “หะนีฟัม มุสลิมัน วะมาอะนามินัลมุซริกีน” ซึ่งแปลว่า เป็นศาสนาที่เที่ยงแท้ บริสุทธิ์ และฉันไม่ใช่บรรดาผู้มีชิริก(ตั้งภาคี)
และเมื่อกล่าวว่า “อินนาซอลาตี วะนุซุกี วะมะห์ยะยาวะมะมาตีลิลแลฮ์” ซึ่งแปลว่า แท้จริงการละหมาดของฉัน การทำอิบาดะฮ์ของฉัน การมีชีวิต และการตายของฉัน ฉันขอถวายแด่อัลลอฮ์
♥ พึงระวัง อย่าให้คำกล่าวต่าง ๆ นี้เป็นคำกล่าวที่โกหก มิฉะนั้นจะนำมาซึ่งความหายนะแก่ท่าน
♥ ในตอนรูกั๊วะและสุหยูด ต้องมีสำนึกยอมรับในความยิ่งใหญ่และสวามิภักดิ์ ด้วยความรู้สึกแห่งตัวเองว่าต่ำต้อย คะนึงหาพระองค์ และต้องมีมารยาทนอบน้อมด้วยใจจริง ๆ
มีฮาดีสกล่าวว่า
"แท้จริงอัลลอฮ์ทรงรับ ทรงสนใจต่อผู้ละหมาด ตราบใดที่ผู้ละหมาดไม่ได้ผินความรู้สึกไปทางอื่น
ดังนั้นท่านจงระวังอย่าให้ภายนอกและภายในของท่านอย่าผินไปอื่น "
และกล่าวว่า
" แท้จริงบ่าวได้ละหมาด แต่ไม่ได้รับการบันทึกว่าได้ละหมาด ไม่ได้รับการบันทึกแม้เพียง 1/2 หรือ 1/3 หรือ 1/4 หรือ 1/5 หรือ 1/6 หรือ 1/10
ทั้งนี้เพราะการละหมาดนั้นจะถูกบันทึกเท่ากันกับที่สมองได้ละหมาดด้วยเท่านั้น"
นักวิชาการกล่าวว่า การสุหยูดเพียงครั้งเดียวที่หวังความใกล้ชิดต่ออัลลอฮ์ อานุภาพแห่งสุหยูดนั้นหากความผิด(บาป) กระจายอยู่ทุกตัวบุคคลในบ้านในเมืองนั้น แน่นอนบาปทั้งหมดนั้นมลายสิ้น นั่นหากการสุหยูดนั้นสุหยูดด้วยใจสวามิภักดิ์ ไม่มีอารมณ์อื่นใดมาเกี่ยวข้อง และไม่มีสิ่งอื่นใดมาเป็นตัวแปร
แปลจากมาวอิซอตุ้ลมุมินีน หน้า 38-39
โดย อับดุลการีม วันแอเลาะ / สมาคมคุรุสัมพันธ์