อะไร ? คือ อิสลาม
เราจะสามารถหาคำอธิบายในความยิ่งใหญ่ของจักรวาลได้อย่างไร ?
มีคำชี้แจงใดๆบ้างที่จะสร้างความมั่นใจแก่เราถึงการมีอยู่ที่เร้นลับนี้ ?
เราสำนึกและเข้าใจเป็นอย่างดีว่าไม่มีครอบครัวใดจะสามารถดำรงอยู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยปราศจากหัวหน้าครอบครัวที่มีความรับผิดชอบ และไม่มีเมืองใดๆที่จะสามารถจะเจริญรุ่งเรืองได้นอกจากการบริหารที่ดีและไม่มีรัฐใดๆที่จะสามารถอยู่รอดได้ นอกจากจะต้องมีผู้นำที่มีความสามารถ และเรายอมรับในความเป็นจริงว่าไม่มีสิ่งใดๆจะบังเกิดขึ้นเองได้โดยลำพัง นอกจากนั้นเรายังสามารถสังเกตเห็นว่าจักรวาลอันยิ่งใหญ่ถูกจัดอยู่อย่างมีระเบียบและปฏิบัติหน้าที่ของมันอย่างมีประสิทธิภาพ และมันอยู่รอดอย่างนี้มาเป็นเวลาพันๆ ล้าน ล้าน ปีมาแล้ว อย่างนี้เราจะกล่าวว่าทุกอย่างนี้เกิดขึ้นเองโดยบังเอิญได้อย่างไร ? เกิดขึ้นอย่างไม่มีแบบแผนได้อย่างไร ? เราจะให้เหตุผลว่าการมีอยู่ของมนุษย์และจักรวาลโลกนี้เป็นไปตามธรรมชาติได้อย่างไร ?
มนุษย์ชาติเรานี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่เล็กที่สุดของจักรวาลอันยิ่งใหญ่ และหากเขาวางแผนการณ์และเห็นในคุณค่าและความดีงามของแผนการนั้น การเป็นอยู่ของเขาและการอยู่รอดของจักรวาลก็จำเป็นต้องตั้งอยู่บนหลักการวางแผนนโยบายที่ดีเช่นกัน นี่หมายถึง การมีอยู่ของส่วนประกอบแห่งปัจจัยของเรานี้ ได้ถูกออกแบบและวางแผนมาล่วงหน้าอย่างมีระบบ และต้องมีอำนาจพิเศษในอันที่จะบังเกิดและบังคับมันให้ดำเนินอย่างมีระบบ
ในโลกนี้ต้องมีพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่อย่างหนึ่งที่ดำรงอยู่ตลอดกาล เพื่อบังคับให้ทุกสิ่งเป็นไปอย่างมีระบบในความสวยงามแห่งธรรมชาตินี้ ก็เช่นกันจะต้องมีผู้สร้าง ผู้บังเกิดที่ยิ่งใหญ่ ผู้ซึ่งได้บังเกิดศิลปกรรมชิ้นหนึ่งที่งามเลิศและทรงสร้างทุกสรรพสิ่งสำหรับจุดประสงค์อันดียิ่งของชีวิตบุคคลผู้รู้ ผู้มีสติปัญญาต้องยอมรับว่าผู้สร้างที่ยิ่งใหญ่นี้ คือ อัลลอฮ์ พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา เพราะมนุษย์ไม่สามารถสร้างหรือบังเกิดมนุษย์ด้วยกันได้ และพระองค์ไม่ใช่ สัตว์ หรือต้นไม้ พระองค์ไม่ใช่เทวรูปหรือรูปปั้นใดๆทั้งสิ้นเพราะสิ่งเหล่านี้ไม่สามารถบังเกิดตนเองได้ พระองค์ทรงคุณลักษณะที่แตกต่างจากสิ่งเหล่านี้โดยสิ้นเชิง เพราะพรองค์คือ พระผู้ทรงสร้างและผู้ทรงดูแลรักษาสรรพสิ่งทั้งมวล พระผู้สร้างนั้นย่อมจะแตกต่าง และยิ่งใหญ่กว่าสิ่งที่ถูกสร้างทั้งหลายในชั้นฟ้าและแผ่นดิน
เราสามารถรู้จัก อัลลอฮ์ พระผู้เป็นเจ้าได้ด้วยหลายวิถีทางและมีสรรพสิ่งหลายอย่างที่บ่งบอกถึงพระองค์ ความพิศวง อันมากมายเหลือคณานับและความซาบซึ้งอันประหลาดยิ่งของโลกเรานี้เปรียบเสมือนหนังสือที่เปิดกว้างใหญ่ซึ่งเราสามารถอ่านและศึกษาเกี่ยวกับพระองค์อัลลอฮ์ได้ นอกจากนี้พระองค์ได้ทรงประทานความช่วยเหลือแก่เราโดยผ่านศาสดาและคัมภีร์ต่างๆที่พระองค์ส่งมายังมนุษย์ชาติ บรรดาศาสดาและบรรดาคัมภีร์เหล่านี้มาสู่มนุษย์ชาติสามารถชี้แจ้งถึงสิ่งที่เราต้องการรู้เกี่ยวกับพระองค์อัลลอฮ์การยอมรัยโดยดุษฏี ในหลักคำสั่งสอนและทางนำแห่งอัลลอฮ์ดังที่ได้ถูกประทานแก่ท่านศาสดามูฮัมหมัด ศ้อลฯ นั่นคือศาสนาแห่งอัลอิสลาม
อิสลาม ได้สั่งสอนในเรื่องความศรัทธาในเอกภาพและอำนาจสูงสุดแห่งอัลลอฮ์ ซึ่งได้ทำให้มนุษย์ชาติได้ตระหนักถึงความหมายที่แท้จริงของจักรวาลและความเป็นอยู่ของเขาในจักรวาลนี้ หลักความเชื่อดังกล่าวได้ทำให้มนุษย์ชาติมีความรู้สึกปราศจากความกลัวต่างๆและทำลายความเชื่อถือทางไสยศาสตร์ โดยทำให้มนุษย์ชาติมีจิตสำนึกในการมีอยู่ของอัลลอฮ์ ผู้ทรงยิ่งใหญ่และสำนึกในหน้าที่ในฐานะบ่าวที่มีต่อนาย ความชื่อถือนี้จำต้องแสดงออกและตรวจสอบด้วยการกระทำ เพียงแต่ความเชื่อถือเท่านั้นไม่เป็นการเพียงพอ ความเชื่อความศรัทธาในอัลลอฮฺองค์เดียวจำเป็นต้องมีอยู่ในมนุษย์ชาติในฐานะครอบครัวหนึ่งภายใต้อำนาจแห่งสากลจักรวาลของอัลลอฮ์พระผู้ทรงสร้างต่อสรรพสิ่งทั้งมวล
อิสลาม ปฏิเสธแนวความคิดเกี่ยวกับ ชนผู้ถูกคัดเลือก การเชื่อมั่นศรัทธาในพระองค์อัลลอฮฺและปฏิบัติตนที่ดีงามเป็นเพียงหนทางเดียวเท่านั้นที่จะนำพาเราสู่สวนสวรรค์ดังนั้นความสัมพันธ์ต่อพระองค์อัลลอฮ์ จึงสามารถกระทำได้โดยตรงและปราศจากสื่อกลางใดๆ
อิสลาม หาใช่ศาสนาใหม่แต่อย่างใดไม่ แต่เป็นแก่นแท้ของสารดั้งเดิมและเป็นทางนำซึ่งพระองค์ได้ทรงประทานให้แก่บรรดาศาสดาทุกคนก่อนหน้านี้เช่นศาสดา อดัม นูฮฺ (โนอา) อิบรอฮีม อิสมาอีล อิสหาก ดาวูด มูซาและอีซา ขอความสันติสุขจงประสบแด่ท่านทั้งหลายพระคัมภีร์อัลกรุอานคือพระดำรัสสุดท้ายที่ได้ถูกประทานลงมาซึ่งนับว่าเป็นที่มาแห่งหลักคำสอนและกฎหมายอิสลาม
พระคัมภีร์อัลกรุอาน มีสาระสัมพันธ์แห่งข้อบัญญัติทางศาสนา จริยธรรม ประวัติศาสตร์แห่งมนุษย์ชาติ การเคารพภักดี ความรู้วิชาการ วิทยปัญญา ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระผู้เป็นเจ้า และความสัมพันธ์แห่งมนุษย์ชาติในทุกด้านเป็นคำสอนที่กว้างขวาง ซึ่งบนพื้นฐานดังกล่าวต้องมีระบบที่ถูกต้องในดานความยุติธรรมในสังคมมนุษย์ชาติ ระบบเศรษศาสตร์ การเมืองการปกครอง นิติบัญญัติ นิติศาสตร์ กฎหมาย และความสัมพันธ์นานาชาติเหล่านี้คือ สาระส่วนประกอบที่สำคัญยิ่งของคำสอนแห่งพระคัมภีร์อัลกรุอานและพระวจนะของท่านศาสดามูฮัมหมัด ( คือคำสอน คำกล่าว และการกระทำของท่าน ) ซึ่งได้ถูกรายงานและรวบรวมโดยบรรดาสาวกผู้อุทิศตนของท่านอย่างพิถีพิถันมากและได้ให้คำบรรยายโองการพระคัมภีร์อัลกรุอานอย่างละเอียด
หลัการศรัทธาแห่งอัลอิสลาม
มุสลิมผู้ยึดมั่นอย่างแท้จริงและเคร่งครัดจำเป็นต้องมีความศรัทธา เชื่อมั่น ในข้อบังคับดังต่อไปนี้1. ต้องศรัทธาเชื่อมั่นในอัลลอฮ์องค์เดียว ผู้ทรงมีอำนาจสูงสุด ผู้ทรงมีอยู่ชั่วนิรันดร ผู้ทรงคุณลักษณะเป็นเจ้า ผู้ทรงอภิสิทธิแต่ผู้เดียว ผู้ทรงกรุณาปราณี ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงสร้างและผู้ทรงประทานให้ซึ่งเครื่องยังชีพ
2. ต้องศรัทธามั่นในบรรดารอซูลทั้งหลายของอัลลอฮ์โดนปราศจากการแบ่งแยกใดๆระหว่างท่านเหล่านั้น ทุกๆประชาชาติที่มีชื่อในอดีตต่างก็มีรอซูล ( ผู้นำสาร ) ผู้กล่าวเตือนซึ่งถูกส่งมาโดยอัลลอฮ์ ท่านเหล่านั้นได้รับเลือกจากพระองค์เพื่อมาสั่งสอนมนุษย์ชาติ และนำข่าวสารของพระองค์มาเผยแผ่คืออัลกรุอาน ได้กล่าวถึงชื่อบรรดารอซูล 25 ท่าน สำหรับท่านศาสดามูฮัมหมัดเป็นรอซูลท่านสุดท้ายในบรรดารอซูลที่ถูกส่งมาทั้งหมดท่านคือ เกียรติยศ ของรากฐานแห่งความเป็นศาสดา
3. มุสลิมต้องศรัทธามั่นต่อบรรดาคัมภีร์ของพระองค์ คัมภีร์เหล่านี้คือแสงสว่างนำทางที่ได้ถูกประทานมายังบรรดารอซูลเพื่อแนะนำชี้แจงให้แก่บรรดาประชาชาติของท่านได้รับทราบแนวทางที่เที่ยงตรงของอัลลอฮ์ ได้มีการกล่าวอ้างเป็นพิเศษถึงคัมภีร์ต่างๆของท่านนบีอิบรอฮีม มูซา ดาวุด และอีซา แต่ทว่าบรรดาคัมภีร์ดังกล่าวบางเล่มได้ถูกแก้ไขเพิ่มเติมหรือสูญหายก่อนหน้า พระคัมภีร์อัลกรุอ่านที่ถูกประทานลงมาแก่ท่านศาสดามูฮัมหมัดเป็นเวลาช้านาน ฉนั้นพระคัมภีร์ที่ยังดำรงแบบดั้งเดิมและสมบูรณ์ที่สุดในปัจจุบันนี้ก็คือ อัลกรุอ่าน
4. มุสลิมที่แท้จริงจำต้องศรัทธาในบรรดาศาสนาทูต ( มลาอิกะฮ์ ) ของอัลลอฮ์ท่านเหล่านี้ทรงรูปแบบวิญญาณอันบริสุทธิ์เป็นสิ่งถูกสร้างที่ดีเลิศซึ่งปราศจากความต้องการ กินดื่มหรือหลับนอน มลาอิกะฮ์จะจงรักภักดีต่อพระองค์อัลลอฮ์ตลอดเวลาทั้งกลางวันและกลางคืนเป็นบ่าวที่มีเกรียติของอัลลอฮ์ ที่ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่สำคัญๆและจะไม่กล่าวก่อนที่อัลลอฮ์จะสั่งแต่จะปฏิบัติหน้าที่ตามที่พระองค์ทรงใช้ทุกประการ
5. มุสลิมจำต้องศรัทธาในวันสุดท้าย วันแห่งการตัดสิน โลกนี้จะสูญสลายในวันหนึ่งซึ่งในวันนั้นบรรดาคนตายจะถูกให้ฟื้นคืนชีพเพื่อรับทราบผลกรรมทั้งดีละชั่วและการตัดสินจะกระทำโดยความยุติธรรมยิ่ง บุคคลใดที่การบันทึกของเขาดีก็จะได้รับรางวัลด้วยความเอื้อเฟื้อและได้รับการต้อนรับสู่สวนสวรรณของอัลลอฮ์ สำหรับที่การบันทึกของเขามีแต่ความชั่วจะได้รับการลงโทษและขับไล่ส่งสู่ขุมนรก
6. มุสลิมจำเป็นต้องศรัทธามั่นในกฎกำหนดสภาวะทั้งดีและชั่ว ซึ่งอัลลอฮ์ได้ทรงกำหนดให้แก่บรรดาสิ่งที่ถูกสร้าง มนุษย์ชาติ ด้วยความรอบรู้ของพระองค์เป็นการล่วงหน้าทุกสิ่งทุกอย่างได้ถูกวางแผนการไว้ล่วงหน้าด้วยอำนาจและความรอบรู้ของพระองค์ โดยปราศจากเวลาและไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นในอาณาจักรของพระองค์ นอกจากความรอบรู้และความต้องการของพระองค์ทรงมีอยู่และปฏิบัติการได้ตลอดเวลาเหนือบ่าวและสิ่งถูกสร้างอื่นๆของพระองค์ พระองค์ทรงรอบรู้เหนือสรรพสิ่ง ทรงเมตตากรุณา กิจการใดๆของพระองค์ย่อมมีเป้าหมายอันดีเลิศ หากเรามีความเชื่อเช่นนี้ในจิตใจและความคิดของเรา เราควรที่จะต้องยอมรับด้วยความศรัทธามั่นอย่างแท้จริงในสิ่งที่พระองค์ทรงลิขิตถึงแม้ว่าเราอาจจะไม่เข้าใจ ได้ หรือ มันไม่ดี
หลักการอัลอิสลามห้าประการการศรัทธาที่ปราศจากการปฏิบัติย่อมจะไร้คุณค่าตามทัศนะแห่งอัลอิสลามความเชื่อมั่นโดยธรรมชาติเป็นความรู้สึกที่รับได้ง่ายและอาจเป็นวิถีทางที่มีผลดีที่สุด แต่เมื่อไม่ปฏิบัติหรือนำมาใช้การมีอยู่และอำนาจแรงดลใจของมันก็จะสูญสิ้นได้โดยเร็ว
หลักการห้าประการดังกล่าวมีดังนี้
1. ชะฮาดะตัย คือ การปฏิญาณตนว่าไม่มีผู้ใดที่สมควรแก่การเคารพภักดีนอกจากอัลลอฮ์องค์เดียวและมูฮัมหมัด ศ้อลฯ คือศาสดาของพระองค์ซึ่งถูกส่งมายังมนุษย์ชาติจนกระทั่งวันแห่งการตัดสินมุสลิมทั้งมวลจำต้องปฏิบัติตามแบบฉบับที่ดีงามของท่านศาสดามูฮัมหมัด ศ้อลฯ
2. ศอลาฮฺ หรือ นมาซ คือการสวดอ้อนวอนประจำวันห้าเวลาเป็นหน้าที่ของมุสลิมทั้งชายหญิงจำต้องปฏิบัติต่ออัลลอฮ์ การปฏิบัติศอลาฮ์เป็นประจำทำให้ความเชื่อมั่นในอัลลอฮ์มีชีวิตชีวาเพิ่มยิ่งขึ้นและจะกระตุ้นมนุษย์สู่จรรยาธรรมที่สูงส่ง นมาซยังทำให้จิตใจมีความบริสุทธิ์ผุดผ่องและยับยั้งการล่อลวงสู่ความประพฤติชั่ว ผิดศีลธรรม
ศอลาฮฺดังกล่าวคือ
ศอลาฮฺ ตุล ฟัจญร์ หรือนมาซศุบห์ ( เวลาก่อนรุ่งสาง )
ศอลาฮฺ ตุล ดุฮริ ( เวลาหลังเที่ยง )
ศอลาฮฺ ตุล อัสริ ( เวลาบ่าย )ศอลาฮฺ ตุล มักริบ ( เวลาตะวันตก )
ศอลาฮฺ ตุล อิซา ( เวลาค่ำ )
3. ซะกาต ความหมายตามตัว ง่ายๆของซะกาตคือการซักฟอก ความบริสุทธิ์ ส่วนความหมายตามหลักวิชาการของคำๆนี้ได้ถูกกำหนดไว้สำหรับทรัพย์สินมีค่าหรือเงินทองที่ครบรอบปี ซึ่งมุสลิมผู้มีทรัพย์ครอบครองในเวลาที่ถูกกำหนดไว้จำต้องจ่ายให้แก่ผู้ที่มีสิทธิที่จะได้รับแต่ความสำคัญของซะกาตในด้านของศาสนาและจิตวิญญาณนับว่ายังมีความหมายลึกซึ้งอยู่อีกมากดังนั้นคุณค่าของซะกาตสามารถส่งผลสะท้อนต่อมนุษย์ชาติและสังคมการเมืองได้เป็นอย่างดี
4. เซาว หรือ การถือศีลอด ในช่วงรอมาฎอนชาวมุสลิมต้องงดเว้นจากการรับประทาน การดื่ม การร่วมประเวณี ในระหว่างเวลารุ่งสางจนกระทั่งตะวันตกดิน และเขายังจำเป็นต้องงดเว้นจากการคิดที่ไม่มีศิริมงคลความตั้งใจที่ชั่วร้ายและความปรารถนาอื่นๆอีกตลอดปีโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเดือนรอมาฎอน การถือศีลอดได้สอนให้เรามีความรัก สมัครสมาน สามัคคี มีความบริสุทธิ์ใจ อุทิศเพื่อส่วนรวม การต่อสู่และบังคับจิตใจตนเอง และยังได้สร้างความรู้สึกที่ดีต่อสังคม ส่วนรวม การอดกลั้น บังคับตนไม่ให้มีความเห็นแก่ตัว
5. ฮัจย์ ( การแสวงบุญ ณ เมืองมักกะฮ์ ) ชาวมุสลิมจำต้องไปประกอบพิธีนี้ ณ เมือง มักกะฮ์อย่างน้อยหนึ่งครั้งในชีวิต หากเขามีความสามารถทั้งร่างกายและทรัพย์สิน ใช้จ่ายในการเดินทาง
ฮัจย์ คือ การประชุม การชุมนุม ประจำปีแห่งความศรัทธามั่นในพระผู้เป็นเจ้า ซึ่ง ณ ที่นั้นชาวมุสลิมจะพบปะแสดงความรู้สึกซึ่งกันและกัน ศึกษาหรือปรึกษาหารือในกิจการทั่วๆไปของพวกเขาและส่งเสริมบำรุงรักษาและยกฐานะกิจการของตนให้ดีขึ้นเป็นการแสดงออกซึ่งความสามัคคีแห่งโลกอิสลาม ภราดรภาพ เอกภาพ และความเสมอภาคของมุสลิม
จากหนังสือ "อิสลาม คือ อะไร ?"
แปลและเรียบเรียงโดย อบู ยุซรอ อิสมาอีล อะหมัด
اعداد وترجمة : أبو يسرى إسماعيل أحمد