อิสลาม คือ อะไร ?
  จำนวนคนเข้าชม  12378

อะไร ? คือ อิสลาม

  

เราจะสามารถหาคำอธิบายในความยิ่งใหญ่ของจักรวาลได้อย่างไร  ?

มีคำชี้แจงใดๆบ้างที่จะสร้างความมั่นใจแก่เราถึงการมีอยู่ที่เร้นลับนี้  ?

          เราสำนึกและเข้าใจเป็นอย่างดีว่าไม่มีครอบครัวใดจะสามารถดำรงอยู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยปราศจากหัวหน้าครอบครัวที่มีความรับผิดชอบ และไม่มีเมืองใดๆที่จะสามารถจะเจริญรุ่งเรืองได้นอกจากการบริหารที่ดีและไม่มีรัฐใดๆที่จะสามารถอยู่รอดได้  นอกจากจะต้องมีผู้นำที่มีความสามารถ และเรายอมรับในความเป็นจริงว่าไม่มีสิ่งใดๆจะบังเกิดขึ้นเองได้โดยลำพัง  นอกจากนั้นเรายังสามารถสังเกตเห็นว่าจักรวาลอันยิ่งใหญ่ถูกจัดอยู่อย่างมีระเบียบและปฏิบัติหน้าที่ของมันอย่างมีประสิทธิภาพ และมันอยู่รอดอย่างนี้มาเป็นเวลาพันๆ ล้าน ล้าน ปีมาแล้ว  อย่างนี้เราจะกล่าวว่าทุกอย่างนี้เกิดขึ้นเองโดยบังเอิญได้อย่างไร ?  เกิดขึ้นอย่างไม่มีแบบแผนได้อย่างไร  ?  เราจะให้เหตุผลว่าการมีอยู่ของมนุษย์และจักรวาลโลกนี้เป็นไปตามธรรมชาติได้อย่างไร  ?

          มนุษย์ชาติเรานี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่เล็กที่สุดของจักรวาลอันยิ่งใหญ่  และหากเขาวางแผนการณ์และเห็นในคุณค่าและความดีงามของแผนการนั้น  การเป็นอยู่ของเขาและการอยู่รอดของจักรวาลก็จำเป็นต้องตั้งอยู่บนหลักการวางแผนนโยบายที่ดีเช่นกัน นี่หมายถึง  การมีอยู่ของส่วนประกอบแห่งปัจจัยของเรานี้  ได้ถูกออกแบบและวางแผนมาล่วงหน้าอย่างมีระบบ  และต้องมีอำนาจพิเศษในอันที่จะบังเกิดและบังคับมันให้ดำเนินอย่างมีระบบ


         ในโลกนี้ต้องมีพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่อย่างหนึ่งที่ดำรงอยู่ตลอดกาล  เพื่อบังคับให้ทุกสิ่งเป็นไปอย่างมีระบบในความสวยงามแห่งธรรมชาตินี้  ก็เช่นกันจะต้องมีผู้สร้าง  ผู้บังเกิดที่ยิ่งใหญ่  ผู้ซึ่งได้บังเกิดศิลปกรรมชิ้นหนึ่งที่งามเลิศและทรงสร้างทุกสรรพสิ่งสำหรับจุดประสงค์อันดียิ่งของชีวิต

          บุคคลผู้รู้ ผู้มีสติปัญญาต้องยอมรับว่าผู้สร้างที่ยิ่งใหญ่นี้  คือ  อัลลอฮ์  “  พระผู้เป็นเจ้า  ”  พระองค์ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา  เพราะมนุษย์ไม่สามารถสร้างหรือบังเกิดมนุษย์ด้วยกันได้  และพระองค์ไม่ใช่  สัตว์  หรือต้นไม้  พระองค์ไม่ใช่เทวรูปหรือรูปปั้นใดๆทั้งสิ้นเพราะสิ่งเหล่านี้ไม่สามารถบังเกิดตนเองได้  พระองค์ทรงคุณลักษณะที่แตกต่างจากสิ่งเหล่านี้โดยสิ้นเชิง  เพราะพรองค์คือ  พระผู้ทรงสร้างและผู้ทรงดูแลรักษาสรรพสิ่งทั้งมวล พระผู้สร้างนั้นย่อมจะแตกต่าง  และยิ่งใหญ่กว่าสิ่งที่ถูกสร้างทั้งหลายในชั้นฟ้าและแผ่นดิน

          เราสามารถรู้จัก  “ อัลลอฮ์ ”  พระผู้เป็นเจ้าได้ด้วยหลายวิถีทางและมีสรรพสิ่งหลายอย่างที่บ่งบอกถึงพระองค์  ความพิศวง  อันมากมายเหลือคณานับและความซาบซึ้งอันประหลาดยิ่งของโลกเรานี้เปรียบเสมือนหนังสือที่เปิดกว้างใหญ่ซึ่งเราสามารถอ่านและศึกษาเกี่ยวกับพระองค์อัลลอฮ์ได้  นอกจากนี้พระองค์ได้ทรงประทานความช่วยเหลือแก่เราโดยผ่านศาสดาและคัมภีร์ต่างๆที่พระองค์ส่งมายังมนุษย์ชาติ  บรรดาศาสดาและบรรดาคัมภีร์เหล่านี้มาสู่มนุษย์ชาติสามารถชี้แจ้งถึงสิ่งที่เราต้องการรู้เกี่ยวกับพระองค์อัลลอฮ์การยอมรัยโดยดุษฏี  ในหลักคำสั่งสอนและทางนำแห่งอัลลอฮ์ดังที่ได้ถูกประทานแก่ท่านศาสดามูฮัมหมัด  ศ้อลฯ  นั่นคือศาสนาแห่งอัลอิสลาม

          อิสลาม  ได้สั่งสอนในเรื่องความศรัทธาในเอกภาพและอำนาจสูงสุดแห่งอัลลอฮ์  ซึ่งได้ทำให้มนุษย์ชาติได้ตระหนักถึงความหมายที่แท้จริงของจักรวาลและความเป็นอยู่ของเขาในจักรวาลนี้  หลักความเชื่อดังกล่าวได้ทำให้มนุษย์ชาติมีความรู้สึกปราศจากความกลัวต่างๆและทำลายความเชื่อถือทางไสยศาสตร์  โดยทำให้มนุษย์ชาติมีจิตสำนึกในการมีอยู่ของอัลลอฮ์  ผู้ทรงยิ่งใหญ่และสำนึกในหน้าที่ในฐานะบ่าวที่มีต่อนาย  ความชื่อถือนี้จำต้องแสดงออกและตรวจสอบด้วยการกระทำ  เพียงแต่ความเชื่อถือเท่านั้นไม่เป็นการเพียงพอ ความเชื่อความศรัทธาในอัลลอฮฺองค์เดียวจำเป็นต้องมีอยู่ในมนุษย์ชาติในฐานะครอบครัวหนึ่งภายใต้อำนาจแห่งสากลจักรวาลของอัลลอฮ์พระผู้ทรงสร้างต่อสรรพสิ่งทั้งมวล

          อิสลาม  ปฏิเสธแนวความคิดเกี่ยวกับ  “ ชนผู้ถูกคัดเลือก ”  การเชื่อมั่นศรัทธาในพระองค์อัลลอฮฺและปฏิบัติตนที่ดีงามเป็นเพียงหนทางเดียวเท่านั้นที่จะนำพาเราสู่สวนสวรรค์ดังนั้นความสัมพันธ์ต่อพระองค์อัลลอฮ์ จึงสามารถกระทำได้โดยตรงและปราศจากสื่อกลางใดๆ

          อิสลาม  หาใช่ศาสนาใหม่แต่อย่างใดไม่ แต่เป็นแก่นแท้ของสารดั้งเดิมและเป็นทางนำซึ่งพระองค์ได้ทรงประทานให้แก่บรรดาศาสดาทุกคนก่อนหน้านี้เช่นศาสดา  อดัม  นูฮฺ (โนอา)  อิบรอฮีม  อิสมาอีล  อิสหาก  ดาวูด  มูซาและอีซา  ขอความสันติสุขจงประสบแด่ท่านทั้งหลายพระคัมภีร์อัลกรุอานคือพระดำรัสสุดท้ายที่ได้ถูกประทานลงมาซึ่งนับว่าเป็นที่มาแห่งหลักคำสอนและกฎหมายอิสลาม

          พระคัมภีร์อัลกรุอาน มีสาระสัมพันธ์แห่งข้อบัญญัติทางศาสนา  จริยธรรม  ประวัติศาสตร์แห่งมนุษย์ชาติ  การเคารพภักดี  ความรู้วิชาการ  วิทยปัญญา  ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระผู้เป็นเจ้า  และความสัมพันธ์แห่งมนุษย์ชาติในทุกด้านเป็นคำสอนที่กว้างขวาง  ซึ่งบนพื้นฐานดังกล่าวต้องมีระบบที่ถูกต้องในดานความยุติธรรมในสังคมมนุษย์ชาติ  ระบบเศรษศาสตร์  การเมืองการปกครอง  นิติบัญญัติ  นิติศาสตร์  กฎหมาย  และความสัมพันธ์นานาชาติเหล่านี้คือ  สาระส่วนประกอบที่สำคัญยิ่งของคำสอนแห่งพระคัมภีร์อัลกรุอานและพระวจนะของท่านศาสดามูฮัมหมัด  ( คือคำสอน  คำกล่าว  และการกระทำของท่าน )  ซึ่งได้ถูกรายงานและรวบรวมโดยบรรดาสาวกผู้อุทิศตนของท่านอย่างพิถีพิถันมากและได้ให้คำบรรยายโองการพระคัมภีร์อัลกรุอานอย่างละเอียด


หลัการศรัทธาแห่งอัลอิสลาม


          มุสลิมผู้ยึดมั่นอย่างแท้จริงและเคร่งครัดจำเป็นต้องมีความศรัทธา  เชื่อมั่น  ในข้อบังคับดังต่อไปนี้

          1. ต้องศรัทธาเชื่อมั่นในอัลลอฮ์องค์เดียว  ผู้ทรงมีอำนาจสูงสุด  ผู้ทรงมีอยู่ชั่วนิรันดร  ผู้ทรงคุณลักษณะเป็นเจ้า  ผู้ทรงอภิสิทธิแต่ผู้เดียว  ผู้ทรงกรุณาปราณี  ผู้ทรงเมตตา  ผู้ทรงสร้างและผู้ทรงประทานให้ซึ่งเครื่องยังชีพ

        2. ต้องศรัทธามั่นในบรรดารอซูลทั้งหลายของอัลลอฮ์โดนปราศจากการแบ่งแยกใดๆระหว่างท่านเหล่านั้น  ทุกๆประชาชาติที่มีชื่อในอดีตต่างก็มีรอซูล ( ผู้นำสาร )  ผู้กล่าวเตือนซึ่งถูกส่งมาโดยอัลลอฮ์ ท่านเหล่านั้นได้รับเลือกจากพระองค์เพื่อมาสั่งสอนมนุษย์ชาติ  และนำข่าวสารของพระองค์มาเผยแผ่คืออัลกรุอาน  ได้กล่าวถึงชื่อบรรดารอซูล  25  ท่าน  สำหรับท่านศาสดามูฮัมหมัดเป็นรอซูลท่านสุดท้ายในบรรดารอซูลที่ถูกส่งมาทั้งหมดท่านคือ  เกียรติยศ  ของรากฐานแห่งความเป็นศาสดา

          3. มุสลิมต้องศรัทธามั่นต่อบรรดาคัมภีร์ของพระองค์ คัมภีร์เหล่านี้คือแสงสว่างนำทางที่ได้ถูกประทานมายังบรรดารอซูลเพื่อแนะนำชี้แจงให้แก่บรรดาประชาชาติของท่านได้รับทราบแนวทางที่เที่ยงตรงของอัลลอฮ์  ได้มีการกล่าวอ้างเป็นพิเศษถึงคัมภีร์ต่างๆของท่านนบีอิบรอฮีม  มูซา  ดาวุด  และอีซา  แต่ทว่าบรรดาคัมภีร์ดังกล่าวบางเล่มได้ถูกแก้ไขเพิ่มเติมหรือสูญหายก่อนหน้า พระคัมภีร์อัลกรุอ่านที่ถูกประทานลงมาแก่ท่านศาสดามูฮัมหมัดเป็นเวลาช้านาน   ฉนั้นพระคัมภีร์ที่ยังดำรงแบบดั้งเดิมและสมบูรณ์ที่สุดในปัจจุบันนี้ก็คือ  อัลกรุอ่าน

          4. มุสลิมที่แท้จริงจำต้องศรัทธาในบรรดาศาสนาทูต ( มลาอิกะฮ์ ) ของอัลลอฮ์ท่านเหล่านี้ทรงรูปแบบวิญญาณอันบริสุทธิ์เป็นสิ่งถูกสร้างที่ดีเลิศซึ่งปราศจากความต้องการ  กินดื่มหรือหลับนอน  มลาอิกะฮ์จะจงรักภักดีต่อพระองค์อัลลอฮ์ตลอดเวลาทั้งกลางวันและกลางคืนเป็นบ่าวที่มีเกรียติของอัลลอฮ์ ที่ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่สำคัญๆและจะไม่กล่าวก่อนที่อัลลอฮ์จะสั่งแต่จะปฏิบัติหน้าที่ตามที่พระองค์ทรงใช้ทุกประการ

          5. มุสลิมจำต้องศรัทธาในวันสุดท้าย  วันแห่งการตัดสิน  โลกนี้จะสูญสลายในวันหนึ่งซึ่งในวันนั้นบรรดาคนตายจะถูกให้ฟื้นคืนชีพเพื่อรับทราบผลกรรมทั้งดีละชั่วและการตัดสินจะกระทำโดยความยุติธรรมยิ่ง  บุคคลใดที่การบันทึกของเขาดีก็จะได้รับรางวัลด้วยความเอื้อเฟื้อและได้รับการต้อนรับสู่สวนสวรรณของอัลลอฮ์  สำหรับที่การบันทึกของเขามีแต่ความชั่วจะได้รับการลงโทษและขับไล่ส่งสู่ขุมนรก

         6. มุสลิมจำเป็นต้องศรัทธามั่นในกฎกำหนดสภาวะทั้งดีและชั่ว  ซึ่งอัลลอฮ์ได้ทรงกำหนดให้แก่บรรดาสิ่งที่ถูกสร้าง  มนุษย์ชาติ  ด้วยความรอบรู้ของพระองค์เป็นการล่วงหน้าทุกสิ่งทุกอย่างได้ถูกวางแผนการไว้ล่วงหน้าด้วยอำนาจและความรอบรู้ของพระองค์ โดยปราศจากเวลาและไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นในอาณาจักรของพระองค์ นอกจากความรอบรู้และความต้องการของพระองค์ทรงมีอยู่และปฏิบัติการได้ตลอดเวลาเหนือบ่าวและสิ่งถูกสร้างอื่นๆของพระองค์  พระองค์ทรงรอบรู้เหนือสรรพสิ่ง  ทรงเมตตากรุณา  กิจการใดๆของพระองค์ย่อมมีเป้าหมายอันดีเลิศ หากเรามีความเชื่อเช่นนี้ในจิตใจและความคิดของเรา  เราควรที่จะต้องยอมรับด้วยความศรัทธามั่นอย่างแท้จริงในสิ่งที่พระองค์ทรงลิขิตถึงแม้ว่าเราอาจจะไม่เข้าใจ ได้  หรือ  มันไม่ดี


หลักการอัลอิสลามห้าประการ

          การศรัทธาที่ปราศจากการปฏิบัติย่อมจะไร้คุณค่าตามทัศนะแห่งอัลอิสลามความเชื่อมั่นโดยธรรมชาติเป็นความรู้สึกที่รับได้ง่ายและอาจเป็นวิถีทางที่มีผลดีที่สุด  แต่เมื่อไม่ปฏิบัติหรือนำมาใช้การมีอยู่และอำนาจแรงดลใจของมันก็จะสูญสิ้นได้โดยเร็ว

หลักการห้าประการดังกล่าวมีดังนี้

1. ชะฮาดะตัย  คือ  การปฏิญาณตนว่าไม่มีผู้ใดที่สมควรแก่การเคารพภักดีนอกจากอัลลอฮ์องค์เดียวและมูฮัมหมัด ศ้อลฯ  คือศาสดาของพระองค์ซึ่งถูกส่งมายังมนุษย์ชาติจนกระทั่งวันแห่งการตัดสินมุสลิมทั้งมวลจำต้องปฏิบัติตามแบบฉบับที่ดีงามของท่านศาสดามูฮัมหมัด  ศ้อลฯ

2. ศอลาฮฺ  หรือ  นมาซ  คือการสวดอ้อนวอนประจำวันห้าเวลาเป็นหน้าที่ของมุสลิมทั้งชายหญิงจำต้องปฏิบัติต่ออัลลอฮ์ การปฏิบัติศอลาฮ์เป็นประจำทำให้ความเชื่อมั่นในอัลลอฮ์มีชีวิตชีวาเพิ่มยิ่งขึ้นและจะกระตุ้นมนุษย์สู่จรรยาธรรมที่สูงส่ง  นมาซยังทำให้จิตใจมีความบริสุทธิ์ผุดผ่องและยับยั้งการล่อลวงสู่ความประพฤติชั่ว  ผิดศีลธรรม

ศอลาฮฺดังกล่าวคือ

ศอลาฮฺ    ตุล  ฟัจญร์  หรือนมาซศุบห์ ( เวลาก่อนรุ่งสาง )

ศอลาฮฺ    ตุล  ดุฮริ  ( เวลาหลังเที่ยง )
 
ศอลาฮฺ    ตุล  อัสริ  ( เวลาบ่าย )

ศอลาฮฺ    ตุล  มักริบ  ( เวลาตะวันตก )

ศอลาฮฺ    ตุล  อิซา  ( เวลาค่ำ  )

3. ซะกาต  ความหมายตามตัว  ง่ายๆของซะกาตคือการซักฟอก  ความบริสุทธิ์  ส่วนความหมายตามหลักวิชาการของคำๆนี้ได้ถูกกำหนดไว้สำหรับทรัพย์สินมีค่าหรือเงินทองที่ครบรอบปี ซึ่งมุสลิมผู้มีทรัพย์ครอบครองในเวลาที่ถูกกำหนดไว้จำต้องจ่ายให้แก่ผู้ที่มีสิทธิที่จะได้รับแต่ความสำคัญของซะกาตในด้านของศาสนาและจิตวิญญาณนับว่ายังมีความหมายลึกซึ้งอยู่อีกมากดังนั้นคุณค่าของซะกาตสามารถส่งผลสะท้อนต่อมนุษย์ชาติและสังคมการเมืองได้เป็นอย่างดี

4. เซาว  หรือ  การถือศีลอด ในช่วงรอมาฎอนชาวมุสลิมต้องงดเว้นจากการรับประทาน  การดื่ม  การร่วมประเวณี ในระหว่างเวลารุ่งสางจนกระทั่งตะวันตกดิน และเขายังจำเป็นต้องงดเว้นจากการคิดที่ไม่มีศิริมงคลความตั้งใจที่ชั่วร้ายและความปรารถนาอื่นๆอีกตลอดปีโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเดือนรอมาฎอน  การถือศีลอดได้สอนให้เรามีความรัก  สมัครสมาน สามัคคี  มีความบริสุทธิ์ใจ  อุทิศเพื่อส่วนรวม  การต่อสู่และบังคับจิตใจตนเอง  และยังได้สร้างความรู้สึกที่ดีต่อสังคม  ส่วนรวม  การอดกลั้น  บังคับตนไม่ให้มีความเห็นแก่ตัว

5. ฮัจย์  ( การแสวงบุญ  ณ  เมืองมักกะฮ์  ) ชาวมุสลิมจำต้องไปประกอบพิธีนี้  ณ  เมือง  มักกะฮ์อย่างน้อยหนึ่งครั้งในชีวิต  หากเขามีความสามารถทั้งร่างกายและทรัพย์สิน  ใช้จ่ายในการเดินทาง

          ฮัจย์  คือ  การประชุม  การชุมนุม  ประจำปีแห่งความศรัทธามั่นในพระผู้เป็นเจ้า  ซึ่ง  ณ  ที่นั้นชาวมุสลิมจะพบปะแสดงความรู้สึกซึ่งกันและกัน  ศึกษาหรือปรึกษาหารือในกิจการทั่วๆไปของพวกเขาและส่งเสริมบำรุงรักษาและยกฐานะกิจการของตนให้ดีขึ้นเป็นการแสดงออกซึ่งความสามัคคีแห่งโลกอิสลาม  ภราดรภาพ เอกภาพ และความเสมอภาคของมุสลิม

จากหนังสือ "อิสลาม คือ อะไร ?"

แปลและเรียบเรียงโดย  อบู  ยุซรอ  อิสมาอีล  อะหมัด

اعداد وترجمة :  أبو يسرى إسماعيل أحمد