จริยธรรมกับการศรัทธา
โดย อิจรลาลีย์
จริยธรรมกับการศรัทธา
หากมองในด้านหลักศรัทธาแล้ว จริยธรรมนับว่ามีความสำคัญอย่างมาก เพราะอิสลามได้โยงความสำคัญระหว่างการศรัทธาและการมีจริยธรรมไว้อย่างแน่นแฟ้น ดังปรากฏในวจนะรอซูล เมื่อท่านถูกถามว่า ผู้ศรัทธาใดที่ถือว่าเป็นผู้มีศรัทธาสูงสุด ? ท่านตอบว่า “ คือผู้มีจริยธรรมดีงามที่สุด ”
อิสลามจึงไม่แยกจริยธรรมออกจากการศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้า การยกระดับจริยธรรมให้เกี่ยวพันกับการรู้จักพระองค์นั้น นับเป็นหนทางในการสร้างฐานะอันสูงส่งแก่มนุษย์ และในขณะเดียวกันก็เป็นการประกันสังคมให้ได้รับความปลอดภัย ร่มเย็นสงบสุข
อิสลามถือว่าการศรัทธานั้นเป็นความดี เพราะการศรัทธานั้นครอบคลุมในกิจการศาสนาเอาไว้ทั้งหมด ศรัทธาในอิสลามแทรกซึมอยู่ที่หัวใจ ลิ้น และอวัยวะทุกส่วนของร่างกาย กล่าวคือ การศรัทธาในศาสนาอิสลาม หมายถึง การเชื่อมั่นด้วยหัวใจ เอ่ยด้วยคำพูด และ ประจักษ์จริงบนการกระทำ ทั้งสามต่างยึดเหนี่ยวซึ่งกันและกัน และอยู่ควบคู่กันเสมอ พระคัมภีร์ระบุว่า
"หาใช่คุณธรรมไม่ การที่พวกเจ้าผินหน้าของพวกเจ้าไปทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตก แต่ทว่าคุณธรรมนั้น
คือผู้ที่ศรัทธาต่ออัลลอฮ และวันปรโลก และศรัทธาต่อมลาอิกะฮฺ ( เทวทูต ) ต่อบรรดาคัมภีร์ และต่อนบีทั้งหลาย"
( อัลบะเกาะเราะฮ 2 / 177 )
ท่านศาสดามุฮัมหมัด กล่าวว่า “ คุณธรรม คือ การมีจริยธรรมอันดีงาม ” (บันทึกโดยอิมามบุคอรีย์ อิมามมุสลิมและอิมามติรมีซีย์ )
ความดีเป็นคุณลักษณะของการกระทำที่ดำรงไว้ซึ่งคุณธรรม จริยธรรม และครอบคลุมทุกสิ่งอย่างที่เป็นความดีงาม
จริยธรรมกับการประกอบศาสนกิจ
ในด้านการอิบาดะฮฺ ( การแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อพระเจ้า ) อิสลามถือว่า การแสดงออกถึงการจงรักภักดี เป็นจิตวิญญาณของจริยธรรม เพราะการประกอบศาสนกิจนี้ถือเป็นการกระทำตามบัญชาของพระเจ้า จริยธรรมจึงเป็นอีกครึ่งหนึ่งของศาสนาบัญญัติ จึงเห็นได้ว่าอิสลามได้เชื่อมสัมพันธ์ระหว่าง การศรัทธา การจงรักภักดีด้วยสายสัมพันธ์ของจริยธรรม เพื่อให้จุดมุ่งหมายของจริยธรรมเด่นชัดและประจักษ์จริง
ณ ที่นี้จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า หลักการปฏิบัติในศาสนาอิสลาม ล้วนมีจุดมุ่งหมายเพื่อส่งเสริมจริยธรรมเป็นที่ตั้ง เสมือนดั่งสนามฝึกฝนให้คุ้นเคย และเคยชิน เพื่อการดำรงชีวิตอย่างสันติบนพื้นฐานคุณธรรมจริยธรรม พระคัมภีร์อัลกุรอานได้ระบุไว้อย่างชัดเจนถึงเหตุผลอันแยบยลที่พระผู้เป็นเจ้าทรงกำหนดศาสนกิจต่างๆเพื่อเป็นข้อบังคับใช้แก่ผู้ศรัทธาในพระองค์ ตัวอย่างเช่น
เรื่อง การละหมาด
อัลลอฮ ตรัสว่า
"และจงดำรงการละหมาด (เพราะ) แท้จริงการละหมาดนั้นจะยับยั้งการทำลามกและความชั่ว"
( อัลอังกะบูต / 45 )
การออกห่างจากสิ่งชั่วช้า ละเว้นจากคำพูดและการกระทำที่ไม่ดีไม่งามทั้งหลาย ถือเป็น แก่นแท้ของการละหมาดที่แท้จริง หาใช่สักแต่ว่าละหมาดให้ผ่านเลยจะได้ชื่อว่าละหมาด หากยังคงไม่ละทิ้งจากสิ่งไม่ดีทั้งหลาย ก็ถือว่าถูกต้องตรงตามข้อเท็จจริงของการละหมาดไม่ ท่านศาสดามุฮัมหมัด กล่าวไว้ในฮะดีส กุ๊ดซีย์ มีความว่า
“ แท้จริงข้า ( อัลลอฮ ) จะรับละหมาดของผู้ที่ถ่อมตนในความยิ่งใหญ่ของข้า ไม่แสดงอาการโอหัง ด้วยการละหมาด เพื่อโอ้อวดมนุษย์ทั้งหลาย
ไม่นอนในสภาพที่ยังคงฝ่าฝืนข้า ใช้กลางวันในการรำลึกถึงข้า เขาเอ็นดูเมตตาคนยากจน คนเดินทาง หญิงหม้าย และผู้ประสบเคราะห์กรรม
บุคคลประเภทดังกล่าวมานี้ รัศมีของเขาเช่นเดียวกับแสงสว่างของดวงอาทิตย์ “
เรื่อง การชำระซะกาต ( บริจาคทานบังคับ )
จุดมุ่งหมายของการบริจาคหาใช่เพียงการหยิบยื่นแก่คนที่มีฐานะด้อยกว่า แต่จุดมุ่งหมายประการแรกนั้นคือ การบ่มเพาะความรู้สึกรักใคร่ สงสาร เอ็นดูเมตตา และเชื่อมสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างชนชั้นที่แตกต่าง เพื่อสร้างความใกล้ชิด ปิดความอิจฉาริษยา และลดช่องว่างในสังคม พระคัมภีร์ได้ระบุเป้าหมายข้อนี้ไว้อย่างชัดเจน ดังดำรัสที่ว่า
"(มุฮัมหมัด)จงเอาจากทรัพย์ของพวกเขาเป็นทาน เพื่อการขัดเกลาและซักฟอกเขาให้สะอาดบริสุทธิ์"
( อัตเตาบะฮฺ / 103 )
การบริจาคทาน ถือเป็นการพัฒนาจิตใจ ให้รู้จักเสียสละ ไม่ตระหนี่ถี่เหนียว เอื้อเฟื่อเผื่อแผ่ อีกทั้งยังนำมาซึ่งความปลาบปลื้มใจของผู้รับ เป็นการรักษาเกียรติของเพื่อนมนุษย์ ขจัดความเป็นศัตรู และความเกลียดชัง สร้างความมั่นคงในสังคม ทำให้ระบบสังคมมีความสูงส่งและสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
เรื่อง การถือศีลอด
อิสลามไม่ได้พิจารณาการถือศีลอดว่าเป็นเพียงแค่ การอดอาหารและเครื่องดื่มในช่วงเวลากลางวันเท่านั้น แต่ยังคำนึงถึงการหักห้ามจิตใจไม่ให้ประกอบความชั่วต่างๆอีกด้วย ท่านนบีมุฮัมหมัด กล่าวเน้นในเรื่องนี้ว่า
“ ใครที่ไม่ละทิ้งคำพูดเท็จและ การกระทำที่เป็นเท็จ อัลลอฮก็ไม่ทรงประสงค์สิ่งใดจากการที่เขาละทิ้งอาหารและเครื่องดื่ม ”
( บันทึกโดย อิมาม บุคอรีย์ )
เรื่อง การประกอบพิธีฮัจญ์
อัลลอฮตรัสว่า
"(เวลา) การทำฮัจญ์นั้นมีหลายเดือนอัน เป็นที่ทราบกันอยู่แล้ว ดังนั้นผู้ใดที่ได้ให้การทำฮัจญ์จำเป็นแก่เขาในเดือนเหล่านั้นแล้ว
ก็ต้องไม่มีการสมสู่ และไม่มีการละเมิด และไม่มีการวิวาท ใดๆ ใน (เวลา) การทำฮัจญ์ และความดีใดๆ ที่ พวกเจ้ากระทำนั้น อัลลอฮทรงรู้ดี
และพวกเจ้าจงเตรียมเสบียงเถิด แท้จริงเสบียงที่ดีที่สุดนั้น คือความยำเกรง และพวกเจ้าจงยำเกรงข้าเถิด โอ้ ผู้มีปัญญาทั้งหลาย ! "
( อัลบะเกาะเราะฮ 2 / 197 )
จากดำรัสนี้ชี้ให้เห็นว่า เมื่อประกอบพิธีฮัจญ์ มุสลิมต้องอยู่ในสภาพที่สงบเสงี่ยม อดทน อดกลั้น ควบคุมอารมณ์และความโกรธ ไม่กระทำการใดที่ส่อไปในทางเกี้ยวพาราสี การละเมิดขอบเขตของศาสนาหรือ การทะเลาะวิวาทใดๆ
ดังกล่าวจะเห็นได้ว่า ศาสนบัญญัติอันเป็นเสาหลักของศาสนานั้น แม้ภายนอกจะแสดงออกถึงการปฏิบัติของร่างกาย แต่เหตุผลที่แฝงอยู่ในข้อบังคับใช้เหล่านั้นล้วนนำพาสู่จุดมุ่งหมายที่ท่านนบีมุฮัมหมัด ได้วาดไว้ ดังที่กล่าวว่า
“ แท้จริง ฉันถูกส่งมาเพื่อทำให้จริยธรรมอันประเสริฐสมบูรณ์ ”
ดังนั้น ศาสนกิจทั้งหลายทั้งมวล ล้วนแต่เป็นขั้นตอนสู่จริยธรรมอันสมบูรณ์ เพื่อธำรงรักษาและปกป้องชีวิตมนุษย์ มุสลิมที่ยึดมั่นกับคุณค่าจริยธรรมเหล่านี้ เขาก็จะได้รับฐานะอันมีเกียรติของศาสนา และหากเขาไม่ได้รับคุณค่าใดๆจากจริยธรรมทีอิสลามมอบให้ หัวใจของเขาก็จะไม่ได้รับการขัดเกลาเพราะตกเป็นทาสของกิเลสนั่นเอง อัลลอฮ ตรัสว่า
"แท้จริง เราได้ศรัทธาต่อพระเจ้าของเราเพื่อพระองค์จะทรงอภัยความผิดต่าง ๆ ของเราให้แก่เรา
และทรงอภัยสิ่งที่ท่านได้บังคับให้เรากระทำเกี่ยวกับเรื่องมายากล และอัลลอฮนั้นทรงเป็นผู้ดีเลิศยิ่งและทรงยั่งยืนตลอดไป *
ความจริงนั้น ผู้ใดมาหาพระเจ้าของเขาในสภาพของผู้กระทำความผิด แน่นอน เขาจะได้รับนรกเป็นการตอบแทน โดยที่เขาจะไม่ตายและไม่เป็นในนั้น*
และผู้ใดมาหาพระองค์โดยเป็นผู้ศรัทธาเขาได้กระทำความดีต่าง ๆ ไว้ ชนเหล่านี้แหละสำหรับพวกเขานั้นจะมีสถานะอันสูงส่ง *
สวนสวรรค์หลากหลายอันสถาพร ณ เบื้องล่างของมันมีลำน้ำหลายสายไหลผ่าน พวกเขาเป็นผู้พำนักอยู่ในนั้นตลอดกาล
และนั่นคือการตอบแทนสำหรับผู้ขัดเกลาตนเอง (ให้พ้นจากความชั่ว)"
( ฏอฮา / 73-76 )