การคลุมฮิญาบที่ถูกต้อง
  จำนวนคนเข้าชม  43079

การคลุมฮิญาบที่ถูกต้อง


เชค อัลบานีย์ รอฮิมาอุลลอฮฺ


         การคลุมฮิญาบเป็นหนึ่งกฎเกณฑ์ข้อบังคับ ที่อิสลามมีบทบัญญัติให้บรรดาผู้หญิงที่บรรลุศาสนะภาวะ    และเมื่อพูดถึงฮิญาบหลายคนอาจเข้าใจว่า จะเป็นผ้าคลุมแบบไหนก็ได้ เล็กบ้าง บางบ้าง หรือคลุมแล้วยังมีผมโผล่ด้านหลัง แต่ในความเป็นจริงการคลุมฮิญาบที่อิสลามมีบทบังคับใช้นั้น  เพื่อให้ผู้หญิงได้ปกปิดเอาเราะห์ของพวกนาง  และฮิญาบคือสิ่งที่มารักษาจิตใจของผู้หญิงให้มีความบริสุทธิ์

         ผู้หญิงที่เข้าใจจุดประสงค์ของบทบัญญัติที่ว่าด้วยกับการคลุมฮิญาบ ว่ามีเป้าหมายอะไร  นางก็จะเข้าใจคำว่า ฮิญาบ รวมไปด้วยกับเงื่อนไขต่าง ๆ ที่อิสลามได้กำหนดไว้ ความหมายของฮิญาบ คือ การปกปิดทุกอย่างที่ห้ามมิให้นางเปิดเผย ไม่ว่าจะเป็นการเขียนคิ้ว ทาหน้า ทาปาก หรือใส่น้ำหอมออกจากบ้าน ทั้งหมดที่กล่าวมานั้นอยู่ในรายละเอียดของการคลุมฮิญาบที่ถูกต้อง

          ปัจจุบันเราจะเห็นว่าฮิญาบของมุสลิมะห์จำนวนมากไม่ต่างอะไรกับแฟชั่นเสื้อผ้า ที่ออกมาตามรุ่นต่างๆ มีการออกแบบใหม่ตลอดเวลา เพื่อดึงดูดลูกค้า  ด้วยเหตุจะเห็นว่ามีผู้หญิงมุสลิมะห์จำนวนมากที่คลุมฮิญาบหลากหลายรูปแบบ และคิดว่าการคลุมฮิญาบ จะคลุมแบบไหนก็ได้ โดยไม่รู้การคลุมฮิญาบที่ถูกต้องว่ามันครอบคลุมเรื่องใดบ้าง แต่ฮิญาบที่อิสลามได้กำหนด ต้องมีเงื่อนไขการคลุมที่ถูกต้อง ขอนำเสนอเงื่อนไขที่ ท่านเชคอัลบานีย์รอฮิมาอฮุลลอฮฺได้กล่าวถึงการคลุมฮิญาบที่ถูกต้องไว้ดังต่อไปนี้


เงื่อนไขข้อที่หนึ่ง

         ฮิญาบต้องปกปิดร่างกายทั้งหมด ยกเว้นส่วนที่อนุญาตให้เปิดได้  คำดำรัสของอัลลอฮ์ ความว่า

“โอ้นะบีเอ๋ย ! จงกล่าวแก่บรรดาภริยาของเจ้า และบุตรสาวของเจ้า และบรรดาหญิงของบรรดาผู้ศรัทธา

ให้พวกนางดึงเสื้อคลุมของพวกนางลงมาปิดตัวของพวกนาง นั่น เป็นการเหมาะสมกว่าที่นางจะเป็นที่รู้จัก เพื่อที่พวกนางจะไม่ถูกรบกวน

และอัลลอฮฺทรงเป็นผู้อภัยผู้ทรงเมตตาเสมอ”

         สำหรับอายะแรก เป็นการระบุอย่างชัดเจนถึงความจำเป็นในการปกปิดสิ่งที่เป็นเครื่องประดับ ไม่อนุญาติให้เปิดเผยสิ่งใดจากเครื่องประดับ เมื่ออยู่ต่อหน้าคนที่ไม่ใช่มะฮฺรอม นอกจากสิ่งที่เปิดเผยได้ โดยไม่ได้เจตนา ถือว่านางไม่มีบาปเมื่อรีบที่จะปกปิดมัน

ท่านฮาฟิซ อิบนู กะซีรได้กล่าวไว้ในหนังสือ ตัฟซีรของท่าน (อธิบายอายะห์ข้างต้น) หมายความว่า

“พวกนางจะต้องไม่เปิดเผยสิ่งใดที่เป็นเครื่องประดับแก่บุคคลที่สามารถแต่งงานกันได้  นอกจากสิ่งที่ไม่สามารถจะทำการปกปิดได้”

 

เงื่อนไขข้อที่สอง

        ผ้าคลุมฮิญาบต้องไม่มีการประดับประดาในตัวของมัน คำดำรัสของอัลลอฮ์ ความว่า

     “พวกนางอย่าได้เปิดเผยเครื่องประดับของพวกนาง”{ ولا يبدين زينتهن }

         สำหรับอายะห์นี้ครอบคลุม เสื้อผ้าที่สวมใส่แล้วดึงดูดความสนใจ ซึ่งมีเครื่องประดับ ที่ทำให้บรรดาผู้คนเกิดความสนใจต้องชำเลืองสายตามองเสื้อผ้าของนาง และหลักฐานที่มายืนยันในเรื่องดังกล่าว คำดำรัสของอัลลอฮฺ ความว่า

 “และพวกนางจงอยู่ในบ้านของพวกนาง และพวกนางอย่าได้ทำการอวดโฉมเหมือนกับการอวดโฉมของคนยุคงมงายแรกๆ”

(ซูเราะห์อัลอะซาบ อายะที่ 33 )

และคำพูดของท่านนบี

“บุคคลสามประเภท จะไม่ถูกถามถึงพวกเขา(ถูกทอดทิ้ง)

 ชายที่ละทิ้งญะมาฮะห์(กลุ่มมุสลิม) และเขาฝ่าฝืนผู้นำของเขา และตายในสภาพที่ยังฝ่าฝืน(ฝ่าฝืนผู้นำ)

ทาสหญิง หรือทาสชายที่หนีจากเจ้านาย 

และผู้หญิงที่เมื่อสามีของนางไม่อยู่ โดยที่สามีของให้ความสะดวกในการดำเนินชีวิตเพียบพร้อมทุกอย่าง แต่นางกลับแต่งตัวยั่วยวน(ผู้อื่น)เมื่อสามีไม่อยู่

ดังนั้นพวกเขาจะไม่ถูกถามถึง(ถูกทอดทิ้ง)

(บันทึกโดยอัลหากิม 1/119 ฮะหมัด 6/19 และหะดีษของท่านฟาดอละห์ บินตฺ อุบัยดฺ สายรายงานของเขาถูกต้อง ซึ่งอยู่ในหนังสือ อัลอาดะบุลมุฟรอต)

 

เงื่อนไขที่สาม

         เนื้อผ้าจะต้องไม่บาง เนื่องจากการปกปิดถือว่ายังไม่เกิดขึ้น เมื่อสิ่งที่นำมาปกปิดยังบางอยู่  สำหรับการสวมเสื้อผ้าที่บางเป็นการทำให้(ฟิตนะ)ความไม่ดีเพิ่มขึ้น และยังถือว่าเป็นการประดับประดาอยู่

يقول صلى الله عليه وسلم : "سيكون في آخر أمتي نساء كاسيات عاريات على رؤوسهن كأسنمة البخت العنوهن فإنهن ملعونات " زاد في حديث آخر :"لا يدخلن الجنة ولا يجدن ريحها وإن ريحها لتوجد من مسيرة كذا وكذا " . رواه مسلم من رواية أبي هريرة .

สำหรับเรื่องดังกล่าวท่านนบี ได้กล่าวว่า

 “จะปรากฏขึ้นในช่วงท้ายๆ ของประชาชาติของฉัน ผู้หญิงที่สวมเสื้อผ้าแต่ยังเหมือนเปลือยกายอยู่  บนศีรษะของพวกนางนั้นคล้ายกับโหนกอูฐ

พวกท่านจงสาปแช่งพวกนาง เพราะว่าพวกนางนั้นถูกสาปแช่ง”

 และมีสำนวนที่เพิ่มอีกสายรายงานหนึ่ง

 “พวกนางจะไม่ได้เข้าสวรรค์ และพวกนางจะไม่ได้กลิ่นไอของสวรรค์ เพราะแท้จริงกลิ่นไอของสวรรค์ ระยะทาง อย่างนั้น อย่างนั้น”

(บันทึกโดย อิหม่ามมุสลิม จากสายรายงานของท่าน อาบูฮุรัยเราะห์ )

        ท่าน อิบนู อับดุลบิรได้กล่าวว่า ท่านนบี ได้หมายถึงผู้หญิงที่สวมใส่เสื้อผ้า และเสื้อผ้านั้นยังบางอยู่  ไม่สามารถปกปิดเอาเราะห์ได้ ดังนั้นพวกนางก็เป็นผู้ที่สวมใส่เสื้อผ้าแต่ในความเป็นจริงก็เหมือนเปลือยกายอยู่

(รายงานจาก อัซซูยูตีย์ในหนัง ตันวีร อัลหาวาลิกเล่มที่3/103)

 

เงื่อนไขที่สี่ 

         เสื้อผ้าจะต้องไม่รัดรูป จนเห็นทรวดทรง เพราะจุดประสงค์ของการใช้ให้คลุมฮิญาบ  คือต้องการปกป้องผู้หญิงจากความไม่ดีงาม(จากการเปิดเผยเอาเราะห์) ดังนั้นหากไม่สวมใส่เสื้อผ้าที่กว้างแล้ว ก็ถือว่าไม่บรรลุวัตถุประสงค์ในเรื่องนี้  การใส่เสื้อผ้าที่รัดรูป ถึงแม้จะปกปิดผิวหนังแล้ว แต่ยังคงเปิดรูปร่างทรวดทรง หรือเปิดเผยบางส่วนของรูปร่าง และการแต่งตัวที่รัดรูปไม่สามารถทำให้รอดพ้นจากสายตาผู้ชายได้ และยังเชิญชวนสายตาที่มองมา ด้วยกับการมองนั้นเป็นสาเหตุที่นำไปสู่สิ่งไม่ดี ดังนั้นการแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่ไม่รัดรูปจึงเป็นสิ่งจำเป็น

         ท่าน ฮูซามะห์ บุตรชายของท่านเซด ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลลอฮฺ  ได้สวมเสื้อ กิบตียะห์ที่หนาให้กับฉัน ซึ่ง ท่านดาฮียะ อัลกัลบีย์ได้มอบเป็นของขวัญให้แก่ท่านนบี  แล้วฉันก็ได้นำเสื้อผ้านั้นไปสวมให้แก่ภรรยาของฉัน แล้วท่านนบีได้กล่าวว่า ทำไมท่านไม่สวมเสื้ออัลกิบตียะห์  ฉันตอบไปว่า ฉันได้สวมมันให้แก่ภรรยาของฉัน ท่านรอซูลได้กล่าวว่า

“ท่านจงกำชับนาง ให้นางใส่มันไว้ใต้เสื้อคลุม เพราะว่าแท้จริงฉันกลัวว่า การสวมเสื้อผ้าของนางจะทำให้เห็นรูปร่างของนาง”

(บันทึกโดย อัดดิยาฮฺ อัลมูกอดดีซีย์ ในหนังสือ อัลอะหาดีษ อัลมุคตาร 1/441 และท่านอะหมัด วัลบัยฮากีย์ ด้วยสายรายงานที่ดี)

 

เงื่อนไขข้อที่ห้า

         ต้องไม่ใส่เครื่องหอม น้ำหอม มีหะดีษมากมายที่ห้ามผู้หญิงไม่ให้ใส่น้ำหอม เมื่อนางออกจากบ้าน และขอนำเสนอหลักฐานที่มีสายรายงานที่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องนี้

มีรายงานจากท่าน อาบีมูซา อัลอัชอารีย์ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลลอฮฺ ได้กล่าวว่า

“ผู้หญิงคนใดก็ตาม ที่นางนั้นได้ใส่น้ำหอม แล้วนางได้ผ่านไปยังผู้คน(หมายถึงผู้ชาย)

เพื่อที่จะให้พวกเขาได้รับกลิ่นหอมที่มาจากตัวนาง ก็เท่ากับว่านางนั้นเป็นผู้ที่ผิดประเวณี”

มีรายงานจากท่านซัยหนับ อัซซอกอฟียะห์ แท้จริงท่านนบี กล่าวว่า

“เมื่อผู้หญิงคนใดจากพวกนางได้ออกไปยังมัสยิด ดังนั้นพวกนางก็อย่าได้ใส่น้ำหอม”        

มีรายงานจากท่าน อาบู ฮูรัยเราะห์ได้กล่าวว่า แท้จริงท่านนบี ได้กล่าวว่า

 “ผู้หญิงคนใดก็ตาม ที่นางนั้นได้ใส่น้ำหอมนางอย่าได้มาละหมาดอีดร่วมกับพวกเรา”

มีรายงานจากท่าน มูซา บิน ยาซาร จากท่าน อาบีอูรัยเราะห์

“แท้จริงผู้หญิงคนหนึ่งได้ผ่านมายังเขา แล้วกลิ่นของนางก็ได้โชยมา(หมายถึงกลิ่นน้ำหอม) 
ท่าน อาบูอูรัยเราะห์กล่าวว่าโอ้หญิงสาวผู้หยิ่งยโสเธอต้องการที่จะไปมัสยิดใช่ไหม? 
ผู้หญิงคนนั้นตอบว่า ใช่แล้ว 
ท่านอาบูอุรัยเราะห์ถามนางว่า เธอใส่น้ำหอมใช่ไหม?
นางตอบว่า ใช่
อาบูอูรัยเราะห์กล่าว เธอจงกลับไป แล้วไปอาบน้ำ(เพื่อขจัดกลิ่นน้ำหอม) เพราะว่าแท้จริงฉันได้ยิน ท่านรอซูลุลลอฮฺ  กล่าวว่า

“ไม่ว่าผู้หญิงคนใดก็ตามที่นางได้ออกไปยังมัสยิดแล้วกลิ่นของนาง(หมายถึงกลิ่นน้ำหอม)ได้โชยออกไป

อัลลอฮฺจะรับละหมาดจากนางนั้น ก็ต่อเมื่อนางได้กลับไปยังบ้านของนางแล้วนางอาบน้ำ (เพื่อขจัดกลิ่นน้ำหอม)

        สำหรับหลักฐานต่างๆ ได้กล่าวแบบภาพรวม ซึ่งในหะดีษได้ชี้ให้เห็นว่า การใส่น้ำหอมมักจะใส่ตามร่างกายและเสื้อผ้า โดยเฉพาะหะดีษที่ได้กล่าวถึงการใช้น้ำหอมที่เสื้อผ้าเป็นการเฉพาะ  สาเหตุที่ห้ามใส่น้ำหอม เนื่องจากการใส่น้ำหอมของผู้หญิงจะมากระตุ้นอารมณ์ความต้องการทางเพศ  โดยนักวิชาการได้นำเรื่องการใส่น้ำหอมไปรวมอยู่ในความหมาย ของการใส่เสื้อผ้าที่สวยงามที่มีการประดับประดาด้วยเครื่องประดับ และมีความหมายรวมอยู่กับการปะปนกับผู้ชาย (ให้ไปดู ฟัตหุลบารีย์ 2/279)

        ท่านอิบนู ดากีกอัลอีด ได้กล่าวไว้ว่า “ในหะดีษได้ห้ามการใส่น้ำหอมสำหรับผู้หญิงที่ต้องการจะไปมัสยิด เนื่องจากการใส่น้ำหอมนั้นเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดอารมณ์ทางเพศแก่ผู้ชาย” ท่านอัลมานาวีย์ได้กล่าวไว้ในหนังสือ ฟัยดุลกอดีร ในการอธิบายหะดีษของท่านอาบูฮูรอยเราะห์หะดีษที่หนึ่ง

 

เงื่อนไขที่หก

        จะต้องไม่เป็นการแต่งกายเลียนแบบผู้ชาย ได้มีปรากฏในหะดีษที่ถูกต้องถึงการสาปแช่งผู้หญิงที่ทำตัวเลียนแบบผู้ชายในการแต่งตัว หรือเรื่องอื่นๆ

รายงานจากท่านอาบูฮูรัยเราะห์ ได้กล่าวว่า

“ท่านรอซูลุลลอฮฺ  ได้สาปแช่งผู้ชายที่เลียนแบบการแต่งกายของผู้หญิงและผู้หญิงที่แต่งกายแบบผู้ชาย”

มีรายงานจากท่าน อับดุลลอฮฺ อิบนู อัมรฺ ได้กล่าวว่า ฉันได้ยินท่านรอซูลุลลอฮฺ  กล่าวว่า

“ ไม่ถือว่าเป็นพวกของเรา บรรดาผู้หญิงที่ไปเลียนแบบพวกผู้ชาย และบรรดาผู้ชายที่เลียนแบบพวกผู้หญิง”

มีรายงานจากท่าน อิบนูอับบาสได้กล่าวว่า

“ท่านนบี  ได้สาปแช่งบรรดาผู้ที่ทำตัวเหมือนผู้หญิง(กะเทย)จากบรรดาผู้ชาย  และสาปแช่งพวกที่ทำตัวเหมือนผู้ชาย(ทอม)จากบรรดาผู้หญิง

และท่านได้กล่าวว่า ให้พวกท่านไล่พวกเขาออกจากบ้าน แล้วท่านนบีได้ให้คนคนหนึ่งออกไป และท่านอุมัรได้ให้คนหนึ่งออกไป”

และมีอีกสำนวนหนึ่ง

“ท่านนบี  ได้สาปแช่ง บรรดาผู้หญิงที่ทำตัวเหมือนผู้ชาย และบรรดาผู้ชายที่ทำตัวเหมือนผู้หญิง”

 

มีรายงานจากท่าน อับดุลลอฮฺ อิบนู อุมัร ได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลอฮฺ  ได้กล่าวว่า

“บุคคลสามประเภทพวกเขาจะไม่ได้เข้าสวรรค์ และอัลลอฮจะไม่มองไปยังพวกเขาในวันกิยามะห์

ผู้ที่เนรคุณต่อพ่อแม่ ผู้หญิงที่ทำตัวเหมือนผู้ชาย และบรรดาผู้ชายที่ไม่สนใจครอบครัว”

 

มีรายงานจากท่าน อิบนู อาบีมาลีกะ ชื่อจริงของเขาคือ อับดุลลอฮฺ อิบนุ อุบัยดฺ เขาได้กล่าวว่า ได้มีคนกล่าวกับท่านหญิงอาอิชะห์รอฏิยัลลอฮู อันฮาว่า

“แท้จริงผู้หญิง ที่นางสวมรองเท้านั้น (หมายถึงรองเท้าเหมือนผู้ชาย) ท่านรอซูลุลลอฮฺ ได้สาปแช่ง ผู้หญิงที่ทำตัวเหมือนผู้ชาย”

         สำหรับหะดีษที่กล่าวมานี้เป็นหลักฐานที่บ่งชี้ ถึงการห้ามผู้หญิงเลียนแบบผู้ชายและผู้ชายเลียนแบบผู้หญิง ซึ่งครอบคลุมการเลียนแบบการแต่งกายและสิ่งอื่นๆ สมควรที่มุสลิมต้องรู้หลักฐานที่ถูกต้องในข้อนี้ ซึ่งอยู่มีมากมายในอัลกุรอาน และอัซซุนนะห์  และหากว่าในอัลกุรอานกล่าวไว้แบบรวมๆไม่ละเอียดมาก แน่นอนอัซซุนนะห์จะมาอธิบายอัลกุรอานอยู่เสมอ

 

เงื่อนไขที่เจ็ด  

        อย่าแต่งกายเลียนแบบบรรดาผู้หญิงที่ปฏิเสธศรัทธา เมื่อได้มีการกำหนดในบทบัญญัติว่า ไม่อนุญาตสำหรับบรรดามุสลิมไม่ว่าชายหรือหญิง ไปเลียนแบบบรรดาผู้ปฏิเสธ ไม่ว่าจะเป็นการเลียนแบบประเพณี หรืองานรื่นเริงการเฉลิมฉลอง หรือการเลียนแบบเรื่องแต่งกาย ที่เป็นเครื่องแต่งกายเฉพาะสำหรับผู้ปฏิเสธ ถือว่าเป็นกฎเกณฑ์ที่สำคัญอย่างยิ่งในบทบัญญัติอิสลาม

         ปัจจุบันมุสลิมจำนวนมากที่ออกนอกกฎเกณฑ์นี้ จนกระทั่งถึงขั้นไปขอความช่วยเหลือจากบรรดาผู้ปฏิเสธในเรื่องของศาสนา และทำหน้าที่เรียกร้องมาสู่ศาสนา ทั้งที่ไม่ความรู้ในศาสนา ทำให้เกิดความผิดเพี้ยน โน้มเอียงไปยังค่านิยมของชาวยุโรปที่ปฏิเสธศรัทธา  เป็นสาเหตุที่ทำให้มุสลิมตกต่ำและอ่อนแอ  ทำให้ต่างชาติเข้ามามีอำนาจเหนือบรรดามุสลิม และทำการยึดครองประเทศของพวกเขา   ดังคำดำรัสของอัลลอฮฺผู้ทรงสูงส่ง ความว่า

 “แท้จริงอัลลอฮฺจะไม่เปลี่ยนแปลงกลุ่มชนหนึ่งกลุ่มชนใด จนกว่าพวกเขาจะเปลี่ยนแปลงตัวของพวกเขาเอง”

 

เงื่อนไขที่แปด

         เสื้อผ้านั้นต้องไม่เป็นเสื้อผ้าชุฮฺเราะห์  หมายถึง สวมใส่เพื่อการโอ้อวด เสื้อผ้าที่ราคาแพงเกินความจำเป็น และฟุ่มเฟือย

فلحديث ابن عمر رضي الله عنه قال: قال رسول الله صلى الله عليه وسلم " من لبس ثوب شهرة في الدنيا ألبسه الله ثوب مذلة يوم القيامة ثم ألهب فيه ناراً". حجاب المرأة المسلمة " ( ص 54 - 67 ) .

มีหะดีษของอิบนุ อุมัรรอฎิยัลลอฮุ อันฮุได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลลอฮฺ  ได้กล่าวว่า

 
“ใครที่สวมเสื้อผ้าชุฮเราะห์(หมายถึงสวมใส่เพื่อการโอ้อวด เสื้อผ้าที่ราคาแพงเกินความจำเป็น และเป็นการฟุ่มเฟือย)ในโลกดุนยา

อัลลอฮ์ จะสวมใส่ให้แก่เขาในวันกิยามะห์ เสื้อผ้าแห่งความตกต่ำ หลักจากนั้นพระองค์ได้ให้ไฟลุกที่เสื้อนั้น”

 


จากหนังสือ ฮิญาบุลมัรอะตุลมุสลิมะห์ หน้าที่ 54-67 

วัลลอฮุ อะอฺลัม