การจัดงานฉลองคืนอิสรออ์และเมียะรอจญ์
  จำนวนคนเข้าชม  11474


การจัดงานฉลองคืนอิสรออ์และเมียะรอจญ์


เชค อับดุลอาซีส  บินบาส รอฮิมาอุลลอฮฺ


ฮุกุมของการจัดงานในคืน อิสรอฮฺ เมียะรอจ ก็คือ คืนที่ 27 ของเดือนรอญับจะมีฮุกุมว่าอย่างไร?

 

มวลการสรรเสริญเป็นเอกสิทธิ์ของอัลลอฮ์

 

         ไม่ต้องสงสัยเลยว่า แท้จริงค่ำคืนอิสรอฮิและเมียะรอจนั้น เป็นส่วนหนึ่งสัญญาณที่ยิ่งใหญ่ที่ชี้ถึงความยิ่งใหญ่ของอัลลอฮฺ และมันยังเป็นการชี้ถึงความสัตย์จริงของท่านนบี มูฮัมหมัดและเป็นการชี้ถึงความยิ่งใหญ่ของอัลลอฮฺ ที่มีต่อบรรดามนุษย์

سُبْحَانَ الَّذِي أَسْرَى بِعَبْدِهِ لَيْلاً مِّنَ الْمَسْجِدِ الْحَرَامِ إِلَى الْمَسْجِدِ الأَقْصَى الَّذِي بَارَكْنَا حَوْلَهُ لِنُرِيَهُ مِنْ آيَاتِنَا إِنَّهُ هُوَ السَّمِيعُ البَصِيرُ

(سورة الاسراء)

“ มหาบริสุทธิ์ผู้ทรงนำบ่าวของพระองค์เดินทางในเวลากลางคืน จากมัสยิดอัลหะรอมไปยังมัสยิดอัลอักซอซึ่งบริเวณรอบมันเราได้ให้ความจำเริญ

เพื่อเราจะให้เขาเห็นบางอย่างจากสัญญาณต่างๆของเรา แท้จริง พระองค์คือผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงเห็น”

        และมีสายรายงานที่ในแต่ละสายรายงานมีผู้รายงานหลายคน (อัลมูตาวาติร) ว่าแท้จริงท่านนบี ได้ถึงให้ขึ้นไปยังชั้นฟ้าต่างๆ และประตูต่างๆของชั้นฟ้าและถูกเปิด จนกระทั่งท่านได้ใกล้ถึงชั้นฟ้าที่เจ็ด และอัลลอฮฺได้ทำการพูดกับท่านนบี  และอัลลอฮฺได้กำหนดบทบัญญัติการละหมาดห้าเวลาให้แก่ท่านด้วย

          ในตอนแรก อัลลอฮฺได้กำหนดการละหมาด 50 เวลา และท่านนบีมูฮัมหมัดได้ขอลดครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั่งอัลลอฮฺได้กำหนดให้เหลือแค่ 5 เวลา และอัลลอฮฺ ได้ให้ผลบุญเท่ากับการละหมาด 50 เวลา  การละหมาดที่ดีนั้นมันจะทวีคูณไปถึงสิบเท่า ขอสรรเสริญต่ออัลลอฮฺ และขอบคุณในความโปรดปรานของพระองค์ท่าน

 

        สำหรับค่ำคืนนี้ได้มีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คือ อัลอิสรอฮฺและอัลเมีจะรอจ และไม่มีหะดีษที่ถูกต้องมายืนยันว่ามันเกิดขึ้นในเดือนรอญับ หรือเดือนอื่นๆ ที่มาเจาะจงในเรื่องนี้ สำหรับสายรายงานที่มาเจาะจงในเรื่องนี้ เป็นสายรายงานที่ขาดความชัดเจนว่ามีรายงานมาจากท่านนบี ตามความเห็นบรรดานักหะดีษ สำหรับอัลลอฮฺมีข้อเร้นลับมี่ไม่เจาะจงในเรื่องนี้

        หากมีการยืนยันของสายรายงานที่ถูกต้องในการเจาะจงค่ำคืน อิสรอฮฺ ก็ไม่อนุญาตให้ทำการเฉพาะในค่ำคืนอิสรอฮฺเมียะรอจในการประกอบอิบาดะห์แต่ประการใด และไม่อนุญาตให้ทำการจัดงานในค่ำคืนอิสรอฮฺ และ อัลเมียะรอจ เนื่องจากท่านนบี ไม่ได้ทำการจัดงานอิสรอฮฺเมีจะรอจ และไม่ได้เจาะจงในการกระทำใดๆในเดือนนี้

        หากการจัดงานในเดือนรอญับ เป็นคำสั่งที่มีในบทบัญญัติ แน่นอนท่านนบี  คงใช้ประชาชาติของท่านให้กระทำอย่างแน่นอน ไม่ก็มีคำพูด หรือ ไม่ก็การกระทำของท่านในเรื่องนี้ หากว่าเรื่องนี้มีบทบัญญัติใช้ไว้ ก็คงเป็นการปฏิบัติที่มีการกระทำที่แพร่หลาย และบรรดาศอหาบะห์รอฏิยัลลอฮู อันฮุม คงจะมีการถ่ายทอดการกระทำนั้นมายังพวกเรา เพราะว่าแท้จริงพวกเขาได้ทำการถ่ายทอดทุกสิ่งทุกอย่างที่มาจากท่านนบี ที่เป็นความต้องการของประชาชาตินี้ โดยไม่ขาดตกบกพร่องต่างอย่างใดจากสิ่งที่คำสอนของศาสนา และพวกเขายังเป็นคนกลุ่มแรกที่รีบเร่งไปสู่ความดี

        หากการจัดงานในค่ำคืนของรอญับเป็นบทบัญญัติของศาสนาแน่นอนพวกเขาต้องเป็นคนกลุ่มแรกที่รีบเร่งไปสู่การกระทำนี้ และท่านนบี เป็นบุคคลที่เอาใจใส่ในการตักเตือนผู้คนมากที่สุด และท่านทำการเผยแผ่คำสอนของศาสนาอย่างเต็มที่ และปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองด้วยความสมบูรณ์ หากการจัดงานค่ำคืนของเดือนรอญับเป็นบทบัญญัติของศาสนานั้นทำไมท่านนบี  จึงไม่กระทำ และทำไมท่านนบี จึงปกปิดในเรื่องนี้

          ดังนั้นการที่ท่านนบี  ไม่ได้กระทำในเรื่องดังกล่าว ให้รู้ว่าการกระทำนั้นไม่ได้มาจากอิสลามแต่ประการใด แท้จริงอัลลอฮฺได้ให้ศาสนานี้สมบูรณ์แล้ว และให้ความโปรดปรานของพระองค์นั้นครอบคลุมทั่วถึงแล้ว และพระองค์ไม่ยอมรับการกระทำใดๆ ที่ได้บัญญัติขึ้นมาใหม่ในศาสนาและไม่ได้รับอนุญาตในเรื่องนั้นๆ อัลลอฮฺ  ได้ตรัสไว้ว่า

 ( الْيَوْمَ أَكْمَلْتُ لَكُمْ دِينَكُمْ وَأَتْمَمْتُ عَلَيْكُمْ نِعْمَتِي وَرَضِيتُ لَكُمُ الإِسْلامَ دِينًا )

“วันนี้ข้าได้ให้สมบูรณ์แก่พวกเจ้าแล้ว ซึ่งศาสนาของพวกเจ้า และข้าได้ให้ครบถ้วนแก่พวกเจ้าแล้ว ซึ่งความกรุณาเมตตาของข้า

และข้าได้เลือกอิสลามให้เป็นศาสนาแก่พวกเจ้าแล้ว”

وقال عز وجل في سورة الشورى : ( أَمْ لَهُمْ شُرَكَاءُ شَرَعُوا لَهُمْ مِنَ الدِّينِ مَا لَمْ يَأْذَنْ بِهِ اللَّهُ )

“หรือว่าพวกเขามีภาคีต่าง ๆ ที่ได้กำหนดศาสนาแก่พวกเขา ซึ่งอัลลอฮฺมิได้ทรงอนุมัติ”

 

         ได้มีรายงานจากท่านนบี  ในหะดีษต่างๆ ที่ถูกต้อง มีการเตือนให้ระวังการอุตริในศาสนา และระบุอย่างชัดเจนว่า การอุตริกรรมในศาสนานั้นเป็นการหลงผิด และยังเป็นเตือนการแก่ประชาชาตินี้ให้ระวังในเรื่องดังกล่าว และให้ออกห่างอย่าไปยุ่งเกี่ยว และยังถือว่าการอุตริกรรมในศาสนานั้นเป็นสิ่งที่อันตรายอย่างหนึ่ง

ได้มีปรากฏในซอเอียะ อัลบุคอรีย์ และมุสลิม มีรายงานจากท่านหญิง ฮาอิชะห์ รอฏิยัลลอฮู อันฮา รายงานจากท่านนบี แท้จริงท่านนบีได้กล่าวว่า

( من أحدث في أمرنا هذا ما ليس منه فهو رد )

“ใครก็ตามที่ได้อุตริขึ้นมาในศาสนาของของเรา ซึ่งมันไม่ได้เป็นสิ่งที่มาจากศาสนา สิ่งนั้นก็ถูกปฏิเสธ”

และในอีกสายรายงานหนึ่งของท่านอิหม่ามมุสลิม

( من عمل عملا ليس عليه أمرنا فهو رد )

“ใครก็ตามที่ได้ปฏิบัติการงานหนึ่งที่มันไม่ได้เป็นกิจการศาสนาของเรา มันก็ถูกปฏิเสธ”

และในหนังสือ ซอเอียะมุสลิม มีรายงานจากท่าน ญาบิร รอฏิยัลลอฮู อันฮู ท่านได้กล่าวว่า ท่าน รอซูลุลลอฮฺ  ได้กล่าวไว้ใน คุตบะห์ วันศุกร์ หลังจากกล่าวสรรเสริญต่ออัลลอฮฺ

“แท้จริงคำพูดที่ดีที่สุด ก็คือ คำพูดของอัลลอฮฺ และแนวทางที่ดีที่สุด คือแนวทางของท่านนบี มูฮัมหมัด

 และการงานที่ชั่วที่สุด คือ การงานที่อุตริอุปโลกขึ้นมา”

และท่านอิหม่าม อันนาซาอีย์ได้เพิ่มเข้า โดยเป็นสายรายงานที่ดี

“ทุกการหลงผิด เป็นเหตุให้เข้านรก”

 

       และในอัซซุนัน มีรายงานจากท่าน อัลอิรบาด อิบนู ซารียะห์ รอฏิยัลลอฮูอันฮู เขาได้กล่าวว่า ท่านรอซูลุลลอฮฺ  ได้ทำการตักเตือนพวกเรา มันเป็นการตักเตือนที่มีความลึกซึ้งมาก จนทำให้จิตใจเกิดเกรงกลัว และทำให้น้ำตาหลั่งไหลออกมา พวกเราได้กล่าวว่า

“โอ้ท่านรอซูลุลลอฮฺ  การตักเตือนครั้งนี้ มันเหมือนการตักเตือนอำลา ขอให้ท่านโปรดสั่งเสียพวกเรา”

ท่านได้กล่าวว่า

“ฉันขอสั่งเสียให้พวกท่าน ให้มีความยำเกรงต่ออัลลอฮฺ ให้มีการเชื่อฟังและปฏิบัติตาม หากว่ามีบ่าวคนหนึ่งขึ้นมาเป็นผู้นำของพวกเจ้า ดังนั้นใครมีชีวิตอยู่จากพวกเจ้า เขาจะได้พบเห็นความขัดแย้งที่เกิดขึ้นอย่างมากมาย ดังนั้นจำเป็นแก่พวกท่าน ต้องยึดมั่นด้วยกับแนวทางของฉัน (อัซซุนนะห์) และแนวทางของบรรดาคอลีฟะฮ์ที่เป็นผู้ชี้นำ หลังจากฉัน พวกท่านจงยึดมั่นด้วยกับแนวทางนั้น และให้กัดมันไว้ด้วยกับฟันกราม และพวกท่านโปรดระวังการอุตริขึ้นมาในกิจการต่างๆ ของศาสนา เพราะทุกๆ การคิดค้นขึ้นมาใหม่นั้นมันเป็นการอุตริกรรม และทุกๆ การอุตริกรรมนั้นมันเป็นความหลงผิด”

        หะดีษที่มีความหมายข้างต้นมีมากมาย และมีรายงานจากบรรดาศอหาบะห์ของท่านรอซูลุลลอฮฺ  และจากสลัฟซอและห์ ที่มาหลังจากพวกเขา ได้มีการเตือนให้ระวังและกลัวที่จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับการอุตริกรรมต่างๆ ขึ้นมาในศาสนา และการกระทำเช่นนั้นถือว่ามันเป็นการเพิ่มเติมเข้ามาในศาสนา ในสิ่งที่อัลลอฮฺไม่ได้มีบทบัญญัติ ซึ่งการกระทำเช่นนี้มันเป็นการกระทำเหมือนกับการกระทำของ บรรดาชาวยิว และนาซอรอ ที่พวกเขาได้เพิ่มเข้ามาในคำสอนของพวกเขา

        ในการอุตริกรรมพวกเขาขึ้นมาในศาสนาที่ไม่ได้มาจากบทบัญญัติของอัลอิสลาม เช่นนั้นถือว่าศาสนาอิสลามยังมีความบกพร่อง และยังเป็นการกล่าวหาอิสลามนั้นยังไม่สมบูรณ์ เป็นที่แน่นอนว่าสิ่งนี้เป็นการสร้างความเสียหายเป็นอย่างมาก เป็นความน่าเกลียดที่ต้องปฏิเสธ และมันยังเป็นการค้านดำรัสของอัลลอฮฺ  ที่ว่า

“วันนี้เราได้ให้ศาสนามีความสมบูรณ์”

และยังเป็นการค้านกับหะดีษของท่านนบี ที่ระบุไว้อย่างชัดเจน


         ฉันหวังว่าในสิ่งที่ฉันได้กล่าวไปนั้น น่าจะเป็นหลักฐานที่เพียงพอ และเป็นที่ยอมรับสำหรับผู้ที่แสวงหาความถูกต้อง ที่จะทำการปฏิเสธการอุตริอันนี้ หมายถึง บิดฮะในการจัดงานในค่ำคืนอิสรอฮฺเมียะรอจฺ การที่ได้เตือนในเรื่องนี้เนื่องจากมันไม่ได้มาจากศาสนาแต่ประการใด

         และเมื่อเป็นเช่นนั้นมันเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องมีการตักเตือนแก่บรรดามุสลิม และชี้แจงในสิ่งที่อัลลอฮได้มีบทบัญญัติแก่พวกเขา และเพื่อไม่เป็นการปกปิดความรู้ และการที่ฉันทำการตักเตือนพี่น้องมุสลิมในเรื่องนี้ สืบเนื่องจากมันมีการปฏิบัติกันอย่างแพร่หลายในเมืองต่างๆ จนให้ผู้คนจำนวนหนึ่งเข้าใจว่ามันเป็นส่วนหนึ่งในศาสนา

 

        อัลลอฮฺ คือ ผู้รับผิดชอบดูแลในการปรับปรุงแก้ไขสภาพต่างของบรรดามุสลิมทั้งหมด  และพระองค์จะประทานความเข้าใจในศาสนาให้แก่พวกเขา และพระองค์โปรดประทานความสำเร็จให้แก่เราในการยึดมั่นในสิ่งที่เป็นสัจธรรม และยืนหยัดในสิ่งที่ถูกต้อง และให้ละทิ้งสิ่งที่มันค้านกับความจริง แท้จริงพระองค์เป็นผู้ช่วยเหลือในเรื่องดังกล่าว และพระองค์ คือที่มีความสามารถ ความศานติสุขจงประสบแด่บ่าวของพระองค์  รอซูลของพระองค์ นบีของเรา มูฮัมหมัด ตลอดจนเหล่าสาวกของท่านและผู้ดำเนินตามท่านเหล่านั้น

 


แปลโดย อิสมาอีล   กอซิม