เมื่อครอบครัวของเราฝ่าฝืนอัลลอฮฺ ?
  จำนวนคนเข้าชม  6558

เมื่อครอบครัวของเราฝ่าฝืนอัลลอฮฺ ?


เขียนโดย : อับดุรเราะฮฺมาน บิน อับดิลลาฮฺ อัลละอฺบูน


         คนในครอบครัวและญาติพี่น้องผู้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับเรามาเป็นเวลายาวนาน ได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกัน และมีเรื่องราวมากมายตลอดชีวิตเป็นสิ่งที่ฝังอยู่ในความทรงจำ คุยได้ไม่รู้จบไม่ว่าจะเป็นการเอาใจใส่ต่อกันในเรื่องต่างๆ หยิบยื่นความช่วยเหลือกันอยู่เสมอนับครั้งไม่ถ้วน จนกระทั่ง เมื่อวาระสุดท้ายของชีวิตคนใดมาถึงก็ยังแสดงความรู้สึกผูกพันลึกซึ้งด้วย และความเสียใจอาลัยต่อการพลัดพราก บางทีความรู้สึกเหล่านี้ อาจไม่เคยแสดงต่อกันมาก่อน


         ทำนองเดียวกัน ถ้าเราสามารถล่วงรู้ว่า คนที่เรารักซึ่งถูกฝังอยู่ในสุสานนั้น ประสบกับการทรมานอันเลวร้าย เราจะมีความรู้สึกเจ็บปวดหัวใจและโศกเศร้าขนาดไหน !  ดังนั้น ก่อนที่ทุกอย่างจะเกิดขึ้น และอาจจะสายเกินไป ขอให้เรามาสำรวจความรู้สึกนึกคิดของเรา ที่มีต่อเขานั้นก่อน ว่ามันถูกต้องดีแล้วหรือ !

         แน่นอนทีดียว ลำดับผู้ที่ใกล้ชิดเรามากที่สุดนั้นก็คือ คนในครอบครัว พ่อ แม่ พี่น้อง สามี ภรรยา หรือลูกหลานอันเป็นที่รัก เพราะจิตใจเราจะเป็นสุขได้ก็เพราะพวกเขา และด้วยความดีที่เราปฏิบัติต่อพวกเขานี่เองที่จะนำความเมตตาของอัลลอฮฺมาให้แก่เราด้วย  และเช่นกัน เราต่างพยายามทุ่มเทแรงใจแรงกายอย่างมาก ทำงานอย่างมากมาย เพื่อให้ครอบครัวมีชีวิตเป็นสุขและสมหวังตามความต้องการ ทั้งนี้เพราะตระหนักว่า เป็นหน้าที่ที่เราต้องรับผิดชอบต่อพวกเขานั่นเอง


          ฉะนั้น ในเมื่อความรู้สึกและชีวิตของทุกคนล้วนเป็นเช่นนี้ แน่นอนคงไม่มีใครยินดีให้ครอบคัวของเขาตกอยู่ในความชั่วร้าย หรือการฝ่าฝืนอัลลอฮฺ เพราะหากเขาปล่อยปละละเลยให้เป็นเช่นนั้น ก็ย่อมหมายความว่า เขามิได้รักครอบครัวของเขาจริง

          สำหรับผู้ที่เป็นพ่อแม่ ท่านทั้งสองมีฐานะที่สูงส่งและยิ่งใหญ่ การทำความดีต่อท่านทั้งสองถือว่าเป็นอิบาดะฮฺหนึ่งที่สำคัญที่สุด รองลงมาจากการอิบาดะฮฺต่ออัลลอฮฺทีเดียว

          ท่านทั้งสองได้อุทิศชีวิตของท่านให้หมดไปกับการเลี้ยงดูและให้ความสุขแก่ลูกๆ อันเป็นแก้วตาดวงใจ ท่านได้จัดเตรียมทุกอย่างให้แก่ลูกๆ ด้วยความรักความเมตตาอย่างที่สุดจนยากที่จะอธิบายได้ แท้จริงแล้วการทำดีต่อพ่อแม่นั้นกว้างขวางนัก ไม่มีขอบเขตจำกัด และตรงกันข้าม การเนรคุณต่อท่านทั้งสองย่อมถือเป็นการปฏิบัติที่เลวทรามที่สุดเช่นกัน

          ดังนั้น จะมีการงานใดอีกเล่า ที่จะยิ่งใหญ่ไปกว่า การจูงมือท่านทั้งสองไปสู่ความพึงพอพระทัยของอัลลอฮฺ และการช่วยปลดปล่อยให้ท่านทั้งสองได้หลุดพ้นจากการตกอยู่ในสภาพแห่งความชั่วร้ายทั้งหลาย

 

ครั้งหนึ่งท่านอิบนุอุมัรฺ ได้เห็นชายผู้หนึ่งแบกมารดาของเขาไว้บนบ่า เพื่อพานางเวียนรอบบัยตุลลอฮฺในพิธีฮัจญ์

ชายผู้นั้นหันมาถามอิบนุอุมัรฺว่า “โอ้ ท่านอิบนุอุมัรฺ การกระทำของฉัน ตอบแทนความดีของนางได้หรือยัง?”

        ท่านอิบุอุมัรฺ ตอบว่า

“ยังเลย…แม้แต่น้อย(จากความดี) ของนางก็ตาม แต่เช่นนี้ก็ถือว่าท่านได้ทำดีบ้างแล้ว

ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ ขอให้พระองค์ทรงตอบแทนความดีอันเล็กน้อยของท่านอย่างมากมายด้วยเถิด”

 

         มีเรื่องหนึ่งจากอบูฮุรอยเราะฮฺ กล่าวว่า

“ฉันเคยเชิญชวนแม่ของฉันรับอิสลาม ขณะนั้นนางยังเป็นผู้ตั้งภาคี (มุชริก) วันหนึ่งเมื่อฉันเชิญชวนนาง นางก็พูดถึงท่านรอซูล ด้วยสิ่งที่ฉันไม่ชอบ

ดังนั้น ฉันจึงมาหาท่านรอซูล  พลางร้องไห้ ฉันพูดว่า

“โอ้ ท่านรอซูลุลลอฮฺ แท้จริง ฉันเคยเชิญชวนแม่ของฉันรับอิสลามหลายครั้ง แต่นางปฏิเสธ วันนี้ฉันก็ได้เชิญชวนนางอีก

แต่ฉันกลับได้ยินนางกล่าวร้ายถึงตัวท่านในสิ่งที่ฉันไม่ชอบ ดังนั้น ขอให้ท่านช่วยวิงวอนขอดุอาอฺให้แม่ของอบูฮุรอยเราะฮฺด้วยเถิด…”

 

อีกรายงานหนึ่งจากเรื่องของอบูฮุรอยเราะฮฺ เช่นกัน เล่าไว้ในตอนต้นเหมือนกับเรื่องข้างต้น แต่เพิ่มเติมข้อความตอนท้ายว่า

        “จากนั้น ฉันจึงรีบกลับบ้านด้วยความยินดีที่ท่านรอซูลขอดุอาอฺให้ เมื่อฉันเดินมาถึงประตูบ้าน ซึ่งมองเห็นภายในบ้านจากช่องเล็ก

เมื่อแม่ได้ยินเสียงเดินของฉัน จึงพูดขึ้นว่า…หยุดอยู่ตรงนั้นก่อน โอ้ อบูฮุรอยเราะฮฺ”

       และฉันก็ได้ยินเสียงราดน้ำดังซู่ คือนางอาบน้ำอยู่ ต่อมา นางก็รีบสวมใส่เสื้อผ้า และสวมผ้าคลุมของนางและเปิดประตูให้แก่ฉัน หลังจากนั้น ก็พูดขึ้นว่า

“โอ้ อบูฮุรอยเราะฮฺ ฉันขอปฏิญาณตนว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ และขอปฏิญาณว่า แท้จริงมุฮัมหมัดนั้นเป็นบ่าวและรอซูลของอัลลอฮฺ”

อบูฮุรอยเราะฮฺ เล่าว่า “ฉันจึงรีบกลับมาหาท่านรอซูลด้วยความดีใจ และเมื่อมาถึง ฉันร้องไห้อย่างปลาบปลื้มที่สุดในชีวิต”

ฉันกล่าวว่า “โอ้ท่านรอซูลุลลอฮฺ ฉันได้รับข่าวดี คือ อัลลอฮฺทรงรับดุอาอฺของท่านแล้ว และแม่ของอบูฮุรอยเราะฮฺก็รับทางนำแล้ว”

ท่านรอซูลุลลอฮฺ ก็ได้กล่าวสรรเสริญต่ออัลลอฮฺ และสดุดีต่อพระองค์และกล่าวว่า “ดีแล้วล่ะ…”


และฉันยังขออีกว่า

“โอ้ท่านรอซูลุลลอฮฺ  โปรดวิงวอนขอดุอาอฺจากอัลลอฮฺด้วยเถิด ให้ฉันมีใจรักบรรดาผู้ศรัทธาของพระองค์ และให้พวกเขา รักฉันและแม่ของฉันด้วย”

ดังนั้น ท่านรอซูล  ก็กล่าววิงวอนขอดุอาอฺว่า

“โอ้ อัลลอฮฺ โปรดทำให้บ่าวของพระองค์คนนี้ (คือ อบูฮุรอยเราะฮฺ) และแม่ของเขา มีใจรักผู้ศรัทธาของพระองค์ และให้บรรดาผู้ศรัทธานั้นรักพวกเขาด้วย”

หลังจากนั้น ผู้ศรัทธาคนไหนที่ได้ยินฉันและเห็นฉันแล้ว เขาจะรักฉันทุกคน

 (มุคตะศ็อร เศาะเฮียะฮฺมุสลิม, บทฟะฎออิลอัศฮาบินนบี จากอบีฮุรอยเราะฮฺ ฮะดีษเลขที่ 1708)


          แล้วพวกท่านทั้งหลาย…เห็นเช่นใด? คนในครอบครัว หรือญาติพี่น้องของเราเองสักกี่คน? ที่พวกเขากำลังรอคอยการชี้แนะอิสลามจากเราอยู่ เพื่อที่เขาจะได้ใคร่ครวญ และมีคนมากมายที่รู้สึกมีความสุข เมื่อพบว่าตัวเองกำลังเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น หรือในทางกลับกันบ้าง ก็รู้สึกทุกข์ร้อนไม่สบายใจ เมื่อเห็นตัวเองกำลังถลำสู่การฝ่าฝืนอัลลอฮฺ แล้วตัวเราเองล่ะ เมื่อทบทวนดูแล้ว ไม่อยากจะร้องไห้กับตัวเองบ้างเลยหรือ ? เพราะเราต่างรู้อยู่แก่ใจดีว่า เรานั้นมีข้อบกพร่องมากมายต่อตัวเอง และต่อพวกเขาเหล่านั้น…

 

 


ที่มา : หนังสือเมื่อผู้ศรัทธาร้องไห้

แปลโดย : นัศรุลลอฮฺ ต็อยยิบ