บทเรียนแห่งความตาย
เขียนโดย ดร. อุมัรฺ สุลัยมาน อัล อัชก็อรฺ
ความตายเป็นบทเรียนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ตัวบทอัลกุรอานหลายอายะฮฺ และหะดีษต่างๆ ได้กล่าวถึงเรื่องความตายและการถูกทดสอบและทรมานในกุบูรฺนั้น สำหรับผู้ที่มีปัญญาย่อมได้รับบทเรียนอันมีค่า และย่อมตระหนักว่า “ความตาย” นั้นเป็นบทเรียนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ดังที่บรรพชนแห่งความสมถะได้เคยถูกถามว่า อะไรเล่าที่เป็นบทเรียนที่ดีที่สุด? พวกเขาตอบว่า “นั่นคือ การได้เห็นมัยยิต (ศพ)”
ท่านอิมามอัลกุรฺฏุบี ได้เคยกล่าวถึงความตายว่า
“โปรดรู้ไว้เถิดว่า ความตาย คือ คุฏบะฮฺที่หนักแน่นที่สุด ...คือ สรรพสิ่งที่น่ากลัวที่สุด ...คือ เครื่องดื่มที่มีรสขมที่สุด ...คือ สิ่งที่ริบความสุขทั้งมวล ...คือ สิ่งที่ขโมยความสุขสบาย ...คือ สิ่งที่นำมาซึ่งความน่าสะพรึงกลัวทั้งหลาย ...คือ สิ่งที่ทำให้ร่างกายเจ้าแตกเป็นเสี่ยงๆ ...คือ สิ่งที่ทำลายการมีอยู่ของเจ้า และวันของมันเป็นวันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับเจ้า”
การไตร่ตรอง ครุ่นคิด พิจารณา ในบทเรียนแห่งความตาย
ดังที่ “การมีชีวิต” เป็นหนึ่งในเครื่องหมายที่แสดงถึงพระอำนาจของอัลลอฮฺฉันใด “ความตาย” ก็เป็นเครื่องหมายหนึ่งของพระองค์ฉันนั้น อัลลอฮฺตรัสว่า
“สูเจ้าปฏิเสธอัลลอฮฺได้อย่างไร? ในเมื่อความจริงแล้ว สู้เจ้าไม่มีชีวิตมาก่อน แล้วพระองค์ได้ทรงให้ชีวิตแก่สูเจ้า
หลังจากนั้นพระองค์จะทรงทำให้สูเจ้าตาย แล้วทำให้สูเจ้ามีชีวิตอีก แล้วสูเจ้าจะถูกนำกลับไปยังพระองค์”
(อัลกุรอาน 2: 28)
ครั้งหนึ่ง มีอาหรับชนบทคนหนึ่งได้เดินทางด้วยอูฐตัวหนึ่ง เมื่อมาถึงกลางทะเลทราย อูฐตัวนั้นก็ได้ล้มลงและตายในทันที คนอาหรับคนนั้นได้ลงจากอูฐและพยายามเดินไปรอบๆ ตัวอูฐ เพื่อดูความผิดปกติ ในขณะเดียวกัน ก็ครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นต่อหน้าเขา และได้ถามอูฐว่า ทำไมถึงไม่ลุกขึ้นมาเล่า ? ทำไมถึงไม่เคลื่อนไหว ? อวัยวะทุกส่วนของเจ้าก็ยังครบถ้วน ? ร่างกายของเจ้าก็สมบูรณ์ดี ? เจ้าเป็นอะไรไป ? มีอะไรเกิดขึ้นต่อเจ้าหรือ ? อะไรที่เคยทำให้เจ้าเคลื่อนไหว ? อะไรที่ทำให้เจ้าล้มลง ? อะไรที่ขัดขวางมิให้เจ้าลุกขึ้นยืน ? หลังจากที่ได้ครุ่นคิด ชายอาหรับคนนั้นก็ได้รู้ซึ้งถึงพระมหาอำนาจของพระผู้อภิบาลลแห่งสากลโลก ผู้ที่ความเป็นความตายของสิ่งมีชีวิตทั้งมวลอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์
โอ้... บรรดาผู้ที่ความตายยังมิได้มาเยือน โอ้ บรรดาผู้ที่วิญญาณยังมิได้ออกจากร่าง โอ้ บรรดาผู้ที่ประสบพบเห็นกับความตายอยู่ทุกวี่วัน แท้จริงความตายนั้นอยู่ใกล้เราเหลือเกิน เคยคิดไหมว่าบรรดาผู้ที่เราเคยเห็น เคยพบ เคยคุย ตอนนี้พวกเขาไปไหน ? พวกเขากำลังประสบกับอะไร ? พวกเขากำลังหัวเราะหรือร้องไห้ ? ขอเราจงใคร่ครวญและนึกถึงวันที่เราต้องตามพวกเขาไป ซึ่งวันนั้นต้องมาถึงอย่างแน่นอน
“แต่ละชีวิตนั้นจะได้ลิ้มรสแห่งความตาย และแท้จริง พวกเจ้าจะได้รับรางวัลของพวกเจ้าโดยครบถ้วนนั้น คือ วันปรโลก
แล้วผู้ใดที่ถูกทำให้ห่างไกลจากไฟนรก และถูกให้เข้าสวรรค์แล้วไซร้ แน่นอน เขาก็ชนะแล้ว
และชีวิตความเป็นอยู่แห่งโลกนี้นั้น มิใช่อะไรอื่น นอกจากสิ่งอำนวยประโยชน์แห่งการหลอกลวงเท่านั้น”
(อัลกุรอาน 3: 185)
ตัวอย่างของการตรึกตรอง ครุ่นคิด พิจารณา ในบทเรียนแห่งความตาย
อัลลอฮฺได้ทรงตักเตือนและให้บทเรียนแก่ท่านนบี และประชาชาติ ให้ระลึกถึงความตาย พระองค์ ตรัสว่า
“แท้จริง เจ้าจะต้องตาย (โอ้ มุฮัมมัด) และแท้จริง พวกเขาจะต้องตาย”
ดังหะดีษที่รายงานโดยท่านอะลี บินอบีฏอลิบ ท่านนบี ได้กล่าวว่า
“ครั้งหนึ่ง ท่านญิบรีล ได้มาหาฉัน และได้กล่าวแก่ฉันว่า โอ้ มุฮัมมัด เจ้าจะใช้ชีวิต (ยาวนาน) อย่างไร แต่สุดท้ายแล้ว เจ้าก็จะเป็นศพ
เจ้าจะรักใครก็รักไปเถิด ถึงอย่างไร เจ้าต้องพลัดพรากจากเขาอย่างแน่นอน เจ้าจะกระทำสิ่งใดก็แล้วแต่เจ้าเถิด เจ้าจักต้องได้รับการตอบแทนอย่างแน่แท้
และโปรดจงรู้ไว้เถิดว่า เกียรติของมุอฺมินนั้นคือการละหมาดกลางคืน และความสูงส่งของมุอฺมินนั้นคือ การหลุดพ้นจากการพึ่งพามนุษย์”
(บันทึกโดยอัฏฏอบรอนี และอัลฮากิม)
บรรดาบรรพชนชาวสะลัฟนั้นจะใช้ “ความตาย” เพื่อเป็นบทเรียนในชีวิตของพวกเขา และเพื่อการตักเตือนมนุษย์ให้ระลึกถึงอัลลอฮฺ กลับเนื้อกลับตัวและเตรียมพร้อมสู่โลกอาคิเราะฮฺ ท่านอะลี บินอบีฏอลิบ กล่าวว่า
“แท้จริงโลกดุนยานั้น กำลังเดินจากไป และโลกอาคิเราะฮฺกำลังเดินเข้ามา และแต่ละโลกก็มีสาวกของมัน
พวกเจ้าจงเป็นสาวกของโลกอาคิเราะฮฺ และจงอย่าได้เป็นสาวกของโลกดุนยา
แท้จริงแล้ว วันนี้คือการงาน (ปฏิบัติอะมัล) มิใช่การสอบสวน แต่พรุ่งนี้ (โลกอาคิเราะฮฺ) คือการสอบสวนโดยไม่มีการอะมัล”
(บันทึกโดยอัลบุคอรีย์)
ท่านอิมามอัลกุรฺฏุบีได้กล่าวว่า
“โอ้ ผู้ที่กำลังลุ่มหลง ! จงตรึกตรองบทเรียนแห่งความตาย และความเจ็บปวดตอนวิญญาณออกจากร่างเถิด จงใคร่ครวญถึงการทรมานในเสี้ยววินาทีแห่งการถูกถอดวิญญาณเถิด แท้จริงแล้ว ความตายคือสัญญาที่ไม่มีวันบิดพริ้ว แท้จริงแล้ว ความตายคือผู้พิพากษาที่เที่ยงตรงและยุติธรรมที่สุด แท้จริง ความตายก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้จิตใจยำเกรง เพียงพอแล้วที่จะทำให้ดวงตาร้องไห้ เพียงพอแล้วที่จะทำให้วงศ์วานต้องพลัดพราก เพียงพอแล้วที่จะให้ความหอมหวานของโลกดุนยาต้องจืดจาง เพียงพอแล้วที่จะทำให้หยุดคิดถึงโลกอันไร้ค่านี้”
โอ้ ลูกอาดัม ! เจ้าเคยคิดถึงวันที่เจ้าตายไหม ? วันที่เจ้าจะย้ายจากความกว้างขวาง(บนโลกดุนยา) ไปสู่ความคับแคบ(แห่งหลุมฝังศพ) วันที่คู่ครองและลูกหลานจะหันหลังให้เจ้า วันที่พี่น้องมิตรสหายจะละทิ้งเจ้า วันที่เจ้าจะถูกยกจากที่นอนของเจ้า เครื่องนุ่งห่มของเจ้า ไปสู่สิ่งที่เปลือยเปล่า จากความนุ่มของเสื้อผ้าไปสู่ดินที่เหี่ยวแห้ง โอ้ ผู้ที่กำลังเก็บเกี่ยวเงินทอง โอ้ ผู้ที่กำลังสะสมวัตถุ แท้จริง เจ้ามิใช่เจ้าของทรัพย์สินใดๆ เลย ยกเว้นผ้าห่อศพหรือแม้แต่ผ้านั้นก็ได้สูญสลาย และร่างกายเจ้าก็กลับสู่ดินดังเดิม แล้วไหนเล่า สิ่งที่เจ้าได้เคยสะสมมา มันทำให้เจ้ารอดพ้นจากความลำเค็ญกระนั้นหรือ ไม่เลย แท้จริง เจ้าจะทิ้งทรัพย์สินที่เจ้าสะสมมาให้กับผู้ที่จะลืมเลือนจ้า และเจ้าจะนำการงานที่เจ้าได้ปฏิบัติไปยังพระผู้ทรงสอบสวนอันเที่ยงธรรม
อิมามอัลกุรฏุบียังได้กล่าวว่า
“โอ้ ผู้ที่กำลังลุ่มหลงอยู่ในดุนยา จงจินตนาการสภาพของตัวเจ้า วินาทีที่วิญญาณกำลังออกจากร่าง จงนึกถึงตอนที่ผู้คนกำลังร้องไห้คร่ำครวญต่อหน้าศพของเจ้า จงนึกถึงตอนที่มีคนกล่าวว่า
“ผู้ตายได้สั่งเสียอะไรบ้าง?” “มรดกของเขาจะแบ่งเมื่อไหร่?” “ตอนมีชีวิตอยู่เขาชอบพูดจาด่าว่าคนอื่น” “เขาไม่ใส่ใจเพื่อนบ้านอย่างเรา” “ญาติจนๆ อย่างเราเขาไม่เคยมาเยี่ยมเยียนหรอก” “เขาไม่พูดกับพี่น้องของเขามาตั้งแต่ไหนแล้ว” “เขารวยนะ แต่ไม่ค่อยถูกกับคนจน” จงนึกถึงตอนที่มีคนกล่าวแก่ลูกๆ และภรรยาเจ้าว่า “จงดูเขาเป็นครั้งสุดท้าย”
จงนึกภาพว่าเจ้าได้ยินทุกคำพูดเหล่านี้ แต่เจ้ามิอาจเอื้อนเอ่ยตอบ จงจินตนาการตอนที่เจ้าถูกยกจากที่นอนไปยังที่อาบน้ำศพ จงนึกถึงภาพตอนที่ผ้าห่อศพกำลังถูกห่มให้แก่เจ้า จงคิดถึงตอนที่ดินกำลังกลบร่างเจ้า จงนึกถึงภาพตอนที่เจ้านอนอยู่ในหลุมแคบๆ
อิมามอัลกุรฏุบี ได้กล่าวตักเตือนคนหนึ่งว่า
“ไหนเล่าทรัพย์สินที่เจ้าเคยสะสมมา? ไหนเล่าเงินทองที่เจ้าเตรียมไว้ในวันแห่งความยากลำบาก ? หลังความตายสิ่งที่อยู่ในมือเจ้าจะกลายเป็นศูนย์ ความสูงส่ง ความร่ำรวยของเจ้าจะกลายเป็นความต่ำต้อยยากจน แล้วเจ้าจะขวนขวายไปถึงไหน โอ้ ผู้ที่กำลังเป็นนักโทษของดุนยา อะไรหรือที่กำลังบดบังเจ้าจากหนทางสวรรค์ อะไรเล่าที่ทำให้เจ้าลืมเตรียมเสบียงเพื่อเดินทางไกล เจ้าไม่รู้หรือว่า วันหนึ่งเจ้าต้องเดินทางไปสู่วันแห่งความโกลาหล วันที่คำพูดไร้สาระจะไม่ถูกนับเป็นสาระ วันที่มนุษย์จะถูกสอบสวนในสิ่งที่สองมือได้กระทำ สองเท้าได้เดินไป สองตาได้มองเห็น หนึ่งปากได้เปล่งเสียง หนึ่งลิ้นได้ลิ้มรส หนึ่งจมูกได้สูดดม วันที่หากอัลลอฮฺทรงเมตตานั่นคือสวรรค์ แต่หากมิเช่นนั้นแล้ว นั่นคือนรก"
โอ้ ผู้ที่กำลังหลงทาง ! เจ้าจะหลงอีกนานเท่าไหร่ ! เจ้าคิดว่าเรื่องนี้ช่างเล็กน้อยหรือ ! หรือเจ้าคิดว่าเรื่องนี้มันง่ายดาย ! หรือเจ้าหลงคิดไปว่าทรัพย์สินจะช่วยเจ้าเมื่อความผิดของเจ้าจะนำความทรมานมายังเจ้า ! หรือเจ้าคิดว่าการสำนึกผิดในวันนั้นจะเกิดประโยชน์ ! หรือเจ้าคิดว่าวงศ์วานของเจ้าจะช่วยปกป้องเจ้าจากไฟนรกได้ ! หรือเจ้าไม่เคยอิ่มในสิ่งหะรอม ไม่เคยฟังคำตักเตือน ไม่เคยสำนึกในบทเรียน ไม่เคยเกรงกลัวในบทลงโทษ สิ่งที่เจ้าเป็นคือการคล้อยตามอารมณ์และภูมิใจในทรัพย์สิน เจ้าคิดว่าจะถูกละเลยหรือ ! เจ้าคิดว่าจะไม่ถูกสอบสวนหรือ !
ไม่เลย... ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ แท้จริง ทั้งทรัพย์สินและวงศ์วานมิอาจกั้นความตายจากเจ้าได้ แท้จริงแล้ว จะไม่มีการตอบรับใดๆ เว้นแต่การงานที่ดีเลิศ ความดีเลิศจะถูกตอบแทนสำหรับการงานที่ดีเลิศ ความดีจะประสบกับผู้ที่สำนึกดี ฟังดี พูดดี ทำดี ห้ามความชั่วด้วยความดี
มีบทกลอนอาหรับบทหนึ่งที่พูดถึงการหลงลืมความตาย และการลุ่มหลงในโลกดุนยาว่า
โอ้ ผู้ที่กำลังลุ่มหลง ! เจ้ากำลังเล่นอะไรอยู่ ?
เจ้าหวังสิ่งนั้นสิ่งนี้ แต่ความตายอยู่แค่เอื้อม เจ้ากลับลืม
จงรู้เถิดว่า “ความอยาก” นั้นเปรียบเสมือนมหาสมุทร
ซึ่งเรือของมันคือดุนยา ขอเจ้าจงอย่าได้หลงทาง
เจ้ารู้ดีว่า... ความตายนั้น คือแขกที่มาเยือนโดยไม่มีการนัดหมาย
เจ้ารู้ดีว่า... ความตายนั้น รสชาติมิได้หอมหวาน
เจ้ารู้ดีว่า... วันหนึ่งจะได้เห็นเด็กกำพร้า หญิงหม้ายร้องไห้
เจ้ารู้ดีว่า... วันหนึ่งเจ้าจะถูกห่อด้วยผ้าขาว
เจ้ารู้ดีว่า... เจ้ามาจากดิน และจะกลับไปสู่ดิน
เจ้ารู้…เจ้ารู้…เจ้ารู้…
หรือเจ้าทำเป็นไม่รู้ ?
ท่านยาซีด อัรฺเราะกอชี หนึ่งในบรรพชนรุ่นแรก (ชาวสะลัฟ) ผู้มีความสมถะพูดกับตัวเองอยู่เสมอว่า
“โอ้ ยาซีด ! ใครจะละหมาดแทนเจ้า หลังจากเสียชีวิต ? ใครจะถือศีลอดแทนเจ้าหลังจากวิญญาณออกจากร่าง ? ใครจะทำหน้าที่แทนเจ้าในการทำให้พระผู้อภิบาลของเจ้าพอพระทัย ? โอ้ มนุษย์เอ๋ย พวกเจ้าจงร้องไห้และจงคร่ำครวญให้มากกับชีวิตที่เหลือของพวกเจ้าเถิด
โอ้.. ผู้ที่กุบูรฺกำลังร้องเรียกหา
โอ้.. ผู้ที่หลุมศพกำลังจะกลายเป็นบ้าน
โอ้ ..ผู้ที่ผืนดินกำลังจะเป็นที่นอน
โอ้ ..ผู้ที่ตัวหนอนกำลังจะเป็นมิตร
โอ้ ..ผู้ที่ความกลัวอย่างสุดขีดกำลังรออยู่ ! ”
ท่านอบู อัดดัรดาอฺ ซึ่งเป็นเศาะฮาบะฮฺที่มีชื่อเสียงได้ตักเตือนประชาชาติให้ระลึกถึงความตายว่า
“สามสิ่งที่ทำให้ฉันหัวเราะแปลกใจ คือ คนที่วิ่งตามดุนยา ในขณะที่ความตายกำลังวิ่งตามเขาอยู่ คนที่กำลังละเลยจากการทำดี แต่เขารู้ดีว่าเขาจะไม่ถูกละเลยจากการสอบสวน คนที่หัวเราะได้เต็มปาก ทั้งๆ ที่เขาไม่รู้ว่าอัลลอฮฺพอพระทัยหรือกริ้วเขา
และสามสิ่งที่ทำให้ฉันร้องไห้ คือ การพลัดพรากจากท่านนบีและเศาฮาบะฮฺที่ฉันรัก ความน่าสะพรึงกลัวตอนที่ถูกปลุกขึ้นมาจากความตาย และการยืนต่อหน้าพระผู้อภิบาลแห่งสากลโลกในวันที่ความลับจะถูกเปิดเผย โดยที่ฉันไม่รู้ว่าฉันจะไปยังสวรรค์หรือนรก”
ท่านอบูซัรฺ อัลฆิฟารี ซึ่งเป็นเศาะฮาบะฮฺอาวุโสท่านหนึ่งได้กล่าวว่า
“พวกเจ้าเกิดมาเพื่อตาย... พวกเจ้าสร้างเพื่อการสูญสลาย... พวกเจ้าขวนขวายเพื่อสิ่งดับสูญ... แต่พวกเจ้ากลับละทิ้งสิ่งที่ยั่งยืนถาวร”
ที่มา : หนังสือโลกแห่งหลุมฝังศพ
แปลโดย อัดนาน นาแซ