ทุก ๆ โรคนั้นมียารักษา
  จำนวนคนเข้าชม  21975

ทุก ๆ โรคนั้นมียารักษา


อิบนุกอยยิม อัลเญาซียะห์


     รายงานจากท่านมุสลิมในหนังสือ “ซอเฮียะห์” จากท่านอบีซุเบร จากท่านญาบิร บินอับดุลลอฮฺ จากท่านนบี  กล่าวว่า

“ทุกๆ โรคนั้นมียารักษา ถ้าหากยานั้นถูกกับโรค โรคนั้นก็จะหายได้ด้วยอนุมัติของอัลลอฮฺ ”

 (ซอเฮียะห์มุสลิม, 69/2204)

     ใน “ซอฮีเฮน” จากท่านอะตออ์ จากอบีฮุรอยเราะฮฺ จากท่านนบี  ได้กล่าวว่า

 “พระองค์อัลลอฮฺ จะไม่ส่งโรคใดๆ มา นอกจากจะให้มียารักษาสำหรับโรคนั้นๆ มาด้วย”

(ซอเฮียะห์บุคอรี, 5678)

     ในหนังสือ “มุสนัตอิหม่ามอะห์หมัด” มีหะดีษจากท่านซิยาด บินอะลาเกาะฮฺ จากท่านอุซามะฮฺ บินชะรีก กล่าวว่า ขณะที่ข้าพเจ้าอยู่กับท่านรอซูลุลลอฮฺ  ได้มีชาวบ้านนอกกลุ่มหนึ่งมาหาท่านรอซูล

แล้วกล่าวว่า “โอ้ ท่านรอซูลุลลอฮฺ เราต้องมีการเยียวยารักษาด้วยหรือ”

      ท่านรอซูล  กล่าวตอบว่า “แน่นอน โอ้บ่าวของพระเจ้า ท่านต้องมีการเยียวยารักษา เพราะแท้จริงอัลลอฮฺนั้นไม่ทรงให้เกิดโรคขึ้นในโลกนี้ นอกจากพระองค์จะให้มีวิธีการรักษามันมาด้วย นอกจากโรคๆ เดียวเท่านั้น”

พวกเขาถามว่า “โรคอะไรหรือ”

ท่านนบี  ตอบว่า “โรคชรา”

(ซอเฮียะห์อะห์หมัด, 278/4)

และในอีกคำพูดหนึ่งกล่าวว่า

 “พระองค์อัลลอฮฺ จะไม่ทรงให้มีโรคใดเกิดขึ้น นอกจากจะให้มีวิธีการรักษามาด้วย ผู้ที่รู้ก็จะรู้วิธีการรักษา ผู้โง่เขลาก็จะไม่รู้วิธีรักษา”

(ซอเฮียะห์อะห์หมัด, 278/4)

ในหนังสือ “มุสนัต” จากหะดีษของท่านอิบนิมัสอูด เป็นหะดีษมัรฟัวอ์ กล่าวว่า

“แท้จริงอัลลอฮฺนั้นจะไม่ส่งโรคลงมา นอกจากพระองค์จะส่งยารักษามาด้วย ผู้ที่รู้ก็จะรู้วิธีการรักษานั้น ผู้โง่เขลาก็จะไม่รู้วิธีการรักษา”

(ซอเฮียะห์อะห์หมัด, 413, 377/1)

ในหนังสือ “มุสนัต” และ “สุนัน” จากอบีคุซามะฮฺ เล่าว่า

“โอ้ ท่านรอซูลุลลอฮฺ  ท่านเห็นการปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายที่เราได้ทำการปัดเป่าไหม และท่านได้เห็นการรักษาที่ทำการรักษาหรือไม่ และการป้องกันสิ่งชั่วร้ายที่เราทำการป้องกัน เหล่านั้น เป็นสิ่งที่ต่อต้านกับลิขิตของอัลลอฮฺ หรือเปล่า”

ท่านนบี ตอบว่า “ไม่หรอก นั่นแหละเป็นลิขิตของพระองค์อัลลอฮฺ .”

(ซอเฮียะห์อะห์หมัด, 3/421 หมายเลข 15411, 15412, 15413)


เราได้รวบรวมหะดีษเหล่านี้ เพื่อเป็นการยืนยันสาเหตุและผลที่ได้รับจากสาเหตุนั้น เพื่อเป็นการลบล้างสิ่งที่บางคนได้ปฏิเสธมัน มีแนวคิดหลายแนวทางเกี่ยวกับเรื่องนี้


          หนึ่ง   มีแนวคิด คำพูดที่ว่า “ทุกๆ โรคนั้นมียารักษา” หมายถึง เป็นความจริงที่กล่าวโดยรวม แม้แต่ผู้ที่ดื่มยาพิษที่จะเป็นอันตรายถึงชีวิตก็ตาม และมีหลายโรคที่แม้แต่แพทย์ก็ไม่สามารถจะขจัดรักษามันได้ แต่อย่างไรก็ตาม พระองค์อัลลอฮฺ ก็ยังทรงให้มียาหรือวิธีที่จะรักษามันให้หายได้ แต่ความรู้เกี่ยวกับเรื่องนั้นเป็นสิ่งที่มนุษย์ยังไปไม่ถึง และบางครั้งไม่อาจจะไปถึงได้เลย เนื่องจากไม่มีความรู้ใดๆ ในสิ่งที่ถูกสร้างทั้งหลาย นอกจากจะเป็นความรู้ที่พระองค์อัลลอฮฺ ทรงอนุญาตให้เขาได้รู้เท่านั้น

         ด้วยเหตุนี้เอง ท่านนบี จึงได้กล่าวว่า โรคนั้นจะหายเมื่อมันได้ยาที่ถูกกกับโรคนั้นๆ ในโลกนี้ไม่มีสิ่งเดี่ยว นอกจากจะมีสิ่งที่ต้านหรือตรงข้ามมันอยู่เสมอ และทุกๆ โรคนั้นก็มีตัวต้านของมันอยู่ ซึ่งสามารถจะนำมาเป็นยารักษามันได้ ท่านนบี จึงได้ผูกพันการหายของโรคไว้กับความเหมาะสมพอดีระหว่างโรคกับยา ซึ่งเป็นสิ่งที่จำต้องมีเสมอ ไม่ใช่มียาเพียงอย่างเดียวจะเป็นการเพียงพอ และตัวยาเองถ้าหากมีฤทธิ์แรงเกินไป หรือมีจำนวนขนาดที่มากเกินไปกว่าตัวโรคเองแล้ว ตัวมันเองก็จะทำให้เกิดเป็นอันตรายหรือเป็นโรคใหม่ขึ้นมาอีก แต่เมื่อมันมีน้อยเกินไปก็ไม่สามารถจะรักษาโรคให้หายได้เช่นกัน

          ดังนั้น การรักษาโรคจึงมีข้อจำกัดอยู่เสมอ ถ้าหากยานั้นไม่ถูกกับโรค หรือยานั้นไม่พบกับตัวโรคมันก็ไม่หายหรือถ้าเวลาไม่เหมาะสมพอก็ไม่หายเช่นกัน หรือถ้าหากร่างกายไม่ยอมรับยานั้น หรือร่างกายอ่อนแอเกินกว่าจะทนยาได้ หรือมีข้อห้ามบางอย่างที่ไม่ให้ใช้ยานั้น โรคนั้นก็ไม่สามารถจะทำให้หายได้ แต่เมื่อใดก็ตามมีการพบกัน มีการทำปฏิกิริยากันอย่างเหมาะสมระหว่างยากับโรค โรคนั้นก็จะหายได้ด้วยอนุมัติของพระองค์อัลลอฮฺ

 

         สอง   มีแนวคิดว่า หะดีษเหล่านี้ กล่าวโดยรวม แต่ความจริง มีความหมายเฉพาะ โดยที่จุดมุ่งหมายของหะดีษเหล่านี้คือ พระองค์อัลลอฮฺ จะไม่ทรงส่งโรคใดๆ ลงมา นอกจากมียาที่สามารถรักษาโรคนั้นๆ ได้ ดังนั้น โรคที่ไม่มียาที่เข้ากับมันได้ จึงไม่ได้เกี่ยวข้องกับหะดีษนี้ ดังเช่นที่กล่าวไว้ในอัลกุรอานเกี่ยวกับชนเผ่าอ๊าดที่ว่า

ความว่า “และมันได้ทำลายทุกๆ สิ่ง ทุกอย่าง ตามคำสั่งของอัลลอฮฺ”

(อัลอะห์กอฟ, 25)

หมายความว่า ทุกๆ อย่างสามารถที่จะถูกทำลายได้เสมอ โดยลมสามารถเป็นผู้ทำลายมันได้

         ผู้ใดก็ตามที่ได้พิจารณาสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นในโลกนี้ จะพบว่าทุกๆ สิ่งจะมีสิ่งตรงข้ามกับมัน หรือต้านมันอยู่เสมอ มีการทำลายล้างซึ่งกันและกัน และเข้าควบคุมซึ่งกันและกัน แสดงให้เห็นถึงเดชานุภาพของพระองค์อัลลอฮฺ และวิทยปัญญาของพระองค์ ความเป็นพระผู้เป็นเจ้าเพียงองค์เดียวของพระองค์ที่ไม่มีสิ่งใดที่จะมาเทียบได้ ไม่มีสิ่งใดจะต้านทานพระองค์ได้ พระองค์คือผู้เพียบพร้อมแล้วด้วยตัวของพระองค์เอง ในขณะที่สิ่งอื่นๆ นอกจากนั้น ต้องพึ่งพาพระองค์เสมอ

         ในหะดีษที่ถูกต้องเหล่านี้ ใช้ให้เรารักษาคนป่วยด้วยวิธีการต่างๆ แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ปฏิเสธการมอบหมายต่อพระองค์อัลลอฮฺ เช่นเดียวกับการไม่ปฏิเสธการรักษาโรคแห่งความหิว กระหาย ความร้อน ความเย็น ฯลฯ ด้วยสิ่งที่ตรงข้ามกันกับมัน ยิ่งกว่านั้นการเชื่อถือในความเป็นหนึ่งเดียวของพระเจ้าจะไม่สมบูรณ์ได้ นอกจากจะต้องรู้จักการเผชิญหน้ากับความเจ็บป่วยไม่สบายต่างๆ และรักษาความเจ็บป่วยไม่สบายนั้นด้วยแนวทางที่อัลลอฮฺ  ทรงกำหนดไว้ การไม่เชื่อฟังไม่ทำตามสิ่งที่พระเจ้าสั่งจึงทำให้การมอบหมายต่อพระองค์อัลลอฮฺ เสียไป เช่นเดียวกัน ยังเป็นการทำให้วิธีการและวิทยปัญญาที่ดีมีประโยชน์ของพระองค์ต้องสูญเสียไปด้วย

         การทิ้งการรักษาโดยไปคิดว่าเป็นการมอบหมายที่ดีนั้น ไม่ถูกต้อง แต่ที่จริงแล้วการละทิ้งการรักษา คือ การปฏิเสธการมอบหมายต่างหาก เพราะการมอบหมายที่แท้จริงคือ หัวใจที่พึ่งพิงอัลลอฮฺ ว่าพระองค์จะให้สิ่งที่ดีมีประโยชน์แก่บ่าวของพระองค์เสมอ ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า และพระองค์คือผู้ที่จะปัดป้องสิ่งที่จะมาทำอันตรายเขา ทั้งโลกนี้และโลกหน้า การพึ่งพิงต่อพระเจ้าด้วยการทำตามที่พระองค์แนะนำไว้ แบบนี้จึงเป็นเหตุผลที่ตรงที่สุด มิฉะนั้น จะกลายเป็นการละทิ้งวิทยปัญญา และกฎเกณฑ์ที่พระองค์ทรงกำหนดไว้นั่นเอง

หะดีษเหล่านี้ จึงเป็นการปฏิเสธผู้ที่ละทิ้งยา หรือการรักษาทั้งหลาย และกล่าวว่า

 “ถ้าหากการหายนั้นเป็นสิ่งที่พระเจ้าลิขิตไว้แล้ว การใช้ยาหรือการรักษาก็ไม่มีประโยชน์อันใด และถ้าหากพระองค์อัลลอฮฺ ไม่ได้ลิขิตให้หายแล้ว การรักษาก็ไม่มีประโยชน์อันใดเช่นกัน”

หรือคำกล่าวที่ว่า

“โรคนั้นมาจากพรองค์อัลลอฮฺ ลิขิตให้เป็น และลิขิตของอัลลอฮฺ นั้นไม่มีผู้ใดจะต้านทานหรือเปลี่ยนแปลงได้”

        ดังเช่นที่พวกชนเผ่าเร่ร่อนบ้านนอกได้ถามท่านนบีส่วนบรรดาศอฮาบะฮฺของท่านนบี นั้นต่างรู้ซึ้งถึงเจตนาของพระผู้เป็นเจ้า วิทยปัญญาของพระองค์ และคุณลักษณะของพระองค์ดีอยู่แล้ว จึงไม่ถามคำถาม หรือไม่ได้คิดแบบที่คนบ้านนอกเหล่านั้นคิด และท่านนบี  ก็ได้ตอบชาวบ้านนอกเหล่านั้น อย่างพอเพียง และทำให้ความไม่สบายใจของเขาหายไปทันที โดยกล่าวว่า

        การใช้ยาต่างๆ การเสกเป่าด้วยกุรอานเหล่านี้ คือ ลิขิตที่มาจากพระองค์อัลลอฮฺ  อยู่แล้วนั่นเอง ดังนั้นจึงไม่มีสิ่งใดๆ ที่จะหลุดพ้นไปจากลิขิตของอัลลอฮฺ ได้ นอกจากจะไปอยู่ในลิขิตอีกอันหนึ่งเท่านั้น ไม่มีทางหลีกเลี่ยงให้พ้นไปจากลิขิตของพระองค์ได้ ไม่ว่าจะไปทางใดก็ตาม เช่น การตอบโต้หรือแก้ไขความหิวโดยการทำให้อิ่ม การดับกระหายความร้อน ความเย็น ด้วยสิ่งที่ตรงข้ามกับมัน เช่นเดียวกับการตอบโต้ศัตรูด้วยการญิฮาด และทุกๆ อย่าง นี่คือ ลิขิตของพระผู้เป็นเจ้าทั้งสิ้น

         วิธีการหนึ่งที่จะตอบโต้กับคำถามเหล่านี้ได้อีกอย่างหนึ่งก็คือ การคิดแบบนี้จะทำให้ท่านไม่สามารถจะทำสิ่งที่เป็นประโยชน์กับตัวเองได้ และไม่สามารถจะป้องกันตัวเองให้พ้นจากอันตรายต่างๆ ได้ เนื่องจากประโยชน์หรืออันตรายต่างๆ เป็นสิ่งที่พระเจ้าลิขิตไว้แล้วนั่นเอง ถึงอย่างไรมันก็ต้องเกิดขึ้น และถ้าหากพระองค์อัลลอฮฺ ไม่ได้ลิขิตไว้ ถึงอย่างไรมันก็ไม่เกิดขึ้น ถ้าอย่างนี้ ทั้งโลกและศาสนาก็จะพังทลาย โลกจะวิบัติ ผู้ที่พูดอย่างนี้ไม่ข้าใจถึงความจริงแท้ พวกเขากล่าวถึงลิขิตของอัลลอฮฺ เพื่อที่จะปฏิเสธความจริงที่เขาเห็นเท่านั้นเอง เช่นเดียวกับที่พวกตั้งภาคีได้กล่าวว่า

ความว่า “ถ้าหากพระองค์อัลลอฮฺทรงประสงค์แล้ว เราก็จะไม่เป็นพวกที่ตั้งภาคีอย่างแน่นอน รวมทั้งพ่อของเราด้วย”

(อัลอันอาม, 148)

และคำกล่าวที่ว่า

ความว่า “ถ้าหากอัลลอฮฺทรงประสงค์แล้ว เราก็จะไม่กราบไหว้สิ่งอื่นนอกจากพระองค์ และพ่อของเราด้วยเช่นกัน”

(อันนะฮฺลุ, 35)

          ที่พวกเขากล่าวอย่างนี้ ก็เพื่อที่จะปฏิเสธหลักฐานที่อัลลอฮฺ  ให้เห็น เมื่อมีศาสดามายังพวกเขา และคำตอบนี้ยังสามารถตอบคำถาม กลุ่มที่สามที่ยังไม่ได้ถูกกล่าวถึงที่ว่า พระองค์อัลลอฮฺ ลิขิตอย่างนั้นอย่างนี้ ด้วยเหตุผลอย่างนั้นอย่างนี้ ดังนั้น ถ้าหากเหตุมี ผลก็ย่อมต้องเกิดขึ้น ถ้าไม่มีเหตุก็ย่อมไม่มีผล ถ้าหากพระองค์ลิขิตสาเหตุมาให้ฉันแล้ว ฉันจึงกระทำมันลงไป ถ้าหากพระองค์ไม่ลิขิตสาเหตุมาให้ฉัน ฉันก็ไม่สามารถที่จะทำมันได้

         มีคำกล่าวว่า แล้วพวกท่านสามารถจะยอมรับได้หรือไม่ ถ้าหากคนที่ใช้เหตุผลนี้กับท่านเป็นข้าทาสของท่าน ลูกของท่าน เมื่อท่านใช้ให้เขาทำการงานอะไรบางอย่าง แต่เขาไม่ยอมทำ หากท่านยอมรับได้ ท่านก็จะไม่สามารถตำหนิผู้ที่ไม่เชื่อฟังคำสั่งของท่าน คดโกงท่าน ทำลายเกียรติของท่าน ลิดรอนสิทธิ์ของท่านได้ แต่ถ้าหากท่านไม่ยอมรับหรือยอมรับไม่ได้ แล้วเหตุใดจึงจะปฏิเสธสิทธิ์ของอัลลอฮฺ และคำสั่งใช้ของพระองค์เล่า ?

มีเรื่องเล่าจากพวกอิสราเอล ว่า

ท่านศาสดาอิบรอฮีมได้กล่าวว่า “โอ้พระผู้เป็นเจ้าโรคนั้นมาจากไหน?”

พระผู้เป็นเจ้าทรงตอบว่า “จากเราเอง”

และท่านนบีอิบรอฮีมถามต่อว่า “แล้วยารักษาเล่ามาจากไหน?”

พระเจ้าตอบว่า “มาจากเราเอง”

ท่านนบีอิบรอฮีมกล่าวว่า “แล้วจะมีหมอไว้ทำไมเล่า?”

พระผู้เป็นเจ้าตอบว่า “หมอคือผู้ที่เราส่งการรักษามาไว้ในมือของเขา”


         และในคำพูดของท่านนบี  ที่ว่า “ทุกๆ โรคนั้นมียารักษา” เป็นการสร้างความเข้มแข็งให้กับจิตใจของผู้ป่วยและแพทย์ เป็นการกระตุ้นให้มีการค้นหายาและวิธีการรักษาต่างๆ มากขึ้น ผู้ป่วยนั้นเมื่อรู้สึกว่าโรคของตนเองสามารถรักษาให้หายได้ มียารักษาแน่นอน เขาก็จะมีความหวังมากขึ้น ความสิ้นหวังก็จะลดลงน้อยลง เป็นการเปิดประตูแห่งความหวังให้กับเขา เมื่อกำลังใจของเขาเข้มแข็งขึ้น ก็จะช่วยให้เขาหายจากโรคได้ง่ายขึ้น นี่เป็นเหตุให้เกิดพลังเข้มแข็งทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ และด้านธรรมชาติ พลังเข้มแข็งจะเอาชนะโรคได้และทำให้หายโรคในที่สุด

          เช่นเดียวกันกับแพทย์ ถ้าหากรู้ว่าโรคนี้มียารักษาแน่นอนแล้ว เขาก็พยายามหาวิธีการรักษาและพยายามค้นคว้าหามันให้ได้ โรคที่ทำอันตรายต่อร่างกายก็เช่นเดียวกับโรคทางด้านจิตใจ เช่นกัน พระองค์อัลลอฮฺ จะไม่ให้จิตใจของคนๆ หนึ่งต้องเจ็บป่วย นอกจากจะมียาหรือวิธีรักษาด้วยสิ่งที่ต่อต้านมันได้ ถ้าหากเจ้าของโรคนั้นรู้และใช้มัน และยานั้นถูกกับโรคของเขา เขาก็จะหายจากโรคนั้นด้วยอนุมัติของอัลลอฮฺ

 


ที่มา : การแพทย์ตามแนวทางท่านศาสดามุฮัมมัด

แปลโดย นายแพทย์กษิดิษ ศรีสง่า