สู่สหรัฐอิสลาม
by....Zt BluesSky
ช่วงเวลากว่าทศวรรษที่ผ่านมา เหตุการณ์โศกนาฏกรรม 11 กันยายน 2001 (9/11) ไม่ได้สร้างเพียงภาพพจน์ในแง่ลบให้แก่อิสลาม และชาวมุสลิมเพียงอย่างเดียว แต่ยังทิ้งศาสนาแห่งสัจธรรมไว้ให้กับผู้คนอีกเกือบ 2 ใน 3 ของโลก ซึ่งนั่นหมายความว่า อิสลามกำลังอยู่ในฐานะศาสนาที่มีผู้คนนับถือมากที่สุดของโลก และจะกลายเป็นศาสนาสากลแทนที่คริสต์ศาสนา
คุณคงนึกสงสัยว่าทำไมหลังจากเหตุการณ์ 9/11 ผู้คนจึงหันมาให้ความสำคัญ และสนใจศาสนาอิสลาม? ในเมื่อชาวตะวันตกจำนวนไม่น้อยเชื่อว่าอิสลามเป็นศาสนาที่ให้การสนับสนุนการก่อการร้าย แล้วเหตุใดจึงมีผู้คนหันมาเรียกร้องศาสนานี้กว่า 100,000 คนต่อปีและมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ?
ในสังคมแห่งวิทยปัญญา พระเจ้าบอกให้เราได้รู้ว่า เมื่อใดที่สัจธรรมมาถึง การตัดสินใจย่อมเป็นของผู้ที่แสวงหา
“และจงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) สัจธรรมมาจากพระผู้อภิบาลของพวกเจ้า ผู้ใดศรัทธาก็แล้วแต่ผู้นั้น และผู้ใดปฏิเสธ ก็แล้วแต่ผู้นั้นเช่นกัน”
(อัลกัฟฟี : 29)
มันดูเป็นเรื่องไร้สาระที่สุด หากคุณจะนึกตำหนิศาสนาอิสลาม และเชื่อการประโคมข่าวของสื่อตะวันตกสุดโต่ง ที่คอยประโคมข่าวลวงโลกอย่างไร้ศีลธรรม เพียงเพราะการกระทำของคนเพียงส่วนน้อย ที่เข้ามาอ้างตนว่าเป็นผู้เคร่งครัดศาสนา เฉกเช่นเดียวกันกับเหตุการณ์ในศาสนาอื่น ๆ ทั้งเหตุก่อการร้ายในไอร์แลนด์ คอร์ซิกา การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่ป่าเถื่อนที่สุด ในบอสเนียของคริสต์ นิกายออร์โธดอกซ์ที่กระทำต่อมุสลิม ช่วง ค.ศ. 1992 -1995 เหตุการณ์วินาศกรรมบันลือโลกกลางเมืองโอกลาโฮม่า ซึ่งสิ่งที่สื่อตะวันตกทำทันที่ในขณะนั้นคือ การรายงานข่าวลืออันไร้สาระว่า ผู้ก่อการร้ายเป็นชายเชื้อสายตะวันออกกลาง 3 คน แต่เจ้าหน้าที่สามารถคว้า ทิโมธี แมคเวห์ มือระเบิดในขบวนการอเมริกันรักชาติ (American Christian Patriot) เอาไว้ได้ ทำให้สื่อจากสำนักงานต่าง ๆ เหมือนโดนบังคับให้เลิกกระพือข่าวลือสติแตกไปโดยปริยาย หากใครจะใคร่เรียกเขาว่า ผู้ก่อการร้ายชาวคริสต์ เหมือนเช่นที่เรียก อุซซามะ บินลาเดน ว่าผู้ก่อการร้ายชาวมุสลิม คงเป็นการไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย เพราะเราต่างรู้กันดีว่า คริสต์ศาสนา มิได้สอนให้กระทำสิ่งเลวทรามเช่นนี้ ในทำนองเดียวกัน อิสลามก็ต่อต้าน และประณามการก่อการร้ายเช่นกัน
อิสลามถือว่า การฆ่าคนเพียงคนเดียว เปรียบเสมือนการผลาญชีวิตของคนทั้งประชาชาติ พระมหาคัมภีร์ อัลกรุอาน ระบุว่า
"อัลลอฮ์นั้น มิได้ทรงห้ามพวกเจ้าเกี่ยวกับบรรดาผู้ที่มิได้ต่อต้านพวกเจ้าในเรื่องศาสนา และพวกเขา มิได้ขับไล่พวกเจ้าออกจากบ้านเรือนของพวกเจ้า
ในการที่พวกเจ้าจะทำความดีแก่พวกเขา และให้ความยุติธรรมแก่พวกเขา แท้จริง อัลลอฮ์ทรงรักผู้มีความยุติธรรม"
(อัล-มุมตะฮีนะฮ : 8)
กล่าวคือ พระองค์อัลลอฮ์นั้น มิทรงห้ามปรามที่มุสลิมจะปฏิบัติดี และให้ความเป็นธรรมแก่คนที่ไม่ได้คิดร้ายต่อเขา ในอีกแง่มุมหนึ่งมุสลิมทุกคนมีสิทธิ์ที่จะปกป้อง และป้องกันตัวจากการกระทำของผู้ที่อธรรม ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว พระองค์อัลลอฮ์ ทรงรักบรรดาผู้ที่มีความยุติธรรมยิ่ง เช่นนี้เอง เมื่อไม่พบบัญญัติหรือคำสอนแนวหัวรุนแรงในอิสลาม หรือศาสนาอื่นๆ เนื่องด้วยทุกศาสนาต่างก็สอนคนให้เป็นคนดีทั้งนั้น แต่เหตุใดจำนวนประชากรที่เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามจึงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เชื่ออย่างแน่แท้ว่า ศรัทธาชนมุสลิมทั้งโดยกำเนิด และที่เปลี่ยนมาเข้ารับอิสลามส่วนใหญ่ต้องตอบว่า “เพราะอิสลาม คือศาสนาที่แท้จริงของพระเจ้า เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น”
นูร์ดีน ไวลด์แมน จากหนังสือ New Muslims in the West 2 หน้า 47 กล่าวว่า
“ความจริงแล้ว หลักการอิสลามจำนวนมากคล้ายคลึงกับสิ่งที่ผมเชื่ออยู่ก่อนแล้ว เกือบทุกอย่างที่ผมคิดเป็นส่วนหนึ่งของอิสลาม และสิ่งที่ผมต่อต้าน ก็เป็นสิ่งที่อิสลามต่อต้าน ผมพบว่าอิสลามเป็นศาสนาที่มีเหตุผล เป็นศาสนาที่สนับสนุนวิทยาศาสตร์ และการศึกษาหาความรู้ อิสลามกระตุ้นให้ผู้คนทำความเข้าใจกับสิ่งต่างๆรอบตัว”
อับดุลลาห์ อัล-คานาดี จากหนังสือ New Muslims in the West 2 หน้า 104 กล่าวว่า
“ผมทิ้งตัวลงบนเตียง ก่อนล้มตัวนอนเหยียดยาว และนาทีนั้นเองที่รู้สึกว่าต้องอธิฐาน ผมไม่เคยรู้สึกรุนแรงแบบนี้มาก่อน ผมลุกขึ้น ก่อนจะคร่ำครวญว่า ‘พระเยซู พระเจ้า พระพุทธเจ้า พระองค์จะเป็นใครก็ตาม ได้โปรดเถิด โปรดให้ทางนำแก่ผม ผมต้องการพระองค์ ผมกระทำสิ่งเลวร้ายมากมายในชีวิต และต้องการความช่วยเหลือจากพระองค์ หากคริสต์ศาสนาคือ ศาสนาที่แท้จริงของพระองค์ ก็ได้โปรดประทานความเข้มแข็งแก่ผม แต่หากนั่นคืออิสลาม ก็โปรดนำผมเข้าหาศาสนาของพระองค์เถิด’ ผมหยุดสวดอ้อนวอน น้ำตาเหือดหาย ใจผมรู้สึกสงบที่สุด ผมรู้แล้วว่าคำตอบคืออะไร”
ในขณะเดียวกันกับที่อิสลามเป็นคำตอบให้กับชีวิตของคนเกือบค่อนโลก เรากลับพบว่ามีคำถามมากมายเกิดขึ้นในศาสนาอื่นๆ และไม่สามารถจะหาคำตอบได้ !
“ความสุขเป็นของคนที่อาศัยในบ้านของพระองค์ เขาจะร้องเพลงสรรเสริญพระองค์เสมอ เซลาห์ ความสุขเป็นของคนที่ความเข้มแข็งของเขาอยู่ในพระองค์ คือคนที่ในใจของเขาอยู่ระหว่างกำลังแสวงบุญ ขณะที่เขาผ่านไปตามระหว่างหุบเขาบาคา เขาทำให้เป็นบ่อน้ำ ฝนต้นฤดูทำให้สระน้ำเต็ม” (พระธรรม เพลงสดุดี 84 : 4-6)
เนื้อหาในพระคัมภีร์ไบเบิลข้างต้น บอกให้ได้ทราบว่า ผู้คนที่ไปแสวงบุญที่หุบเขาบาคา จะได้รับการประสาทพรจากพระเจ้า แต่ในความเป็นจริง ไม่มีใครรู้ว่าหุบเขาบาคาอยู่ที่ใด แม้แต่ผู้นำโบสถ์เองก็ไม่รู้
“วันที่พระเยซูถูกตรึงกางเขน พระเยซูร้องว่า พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ไฉนพระองค์ทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย” (ไบเบิลภาคพันธะสัญญาใหม่, มัทธิว 27 : 46)
มีใครอธิบายได้บ้างว่า ในเมื่อจีซัส (พระเยซู) เป็นพระเจ้า แล้วเหตุใด ท่านจึงต้องสวดมนต์อ้อนวอนต่อพระเจ้าเล่า ? นี่เป็นเพียงบางส่วนของคำถามที่ไม่อาจหาคำตอบ และคำอธิบายได้
พระมหาบริสุทธิ์แด่พระองค์ อัลลอฮ์ ซุบฺฮานาฮูวาตาอาลา ได้ทรงให้สัญญาแก่มวลมนุษยชาติไว้แล้วว่า พระองค์จะทำให้เป็นที่ประจักษ์แก่ประชาชาตินี้ว่า มีเพียง “อัลอิสลาม” ที่เป็นแนวทางอันเที่ยงตรงและถูกต้อง ซึ่งสอดคล้องกับเหตุการณ์ในปัจจุบันขณะอย่างน่าประหลาด ทั้งนี้พระมหาคัมภีร์ อัลกุรอาน ได้ระบุในเรื่องนี้ไว้อย่างแจ่มชัดเช่นกันว่า
“เราจะแสดงให้พวกเขา ได้เห็นถึงสัญญาณของเรา ในทุกๆพื้นที่ของโลก และในตัวของพวกเขาเอง
จนกระทั่งพวกเขาได้เห็นเป็นที่ชัดเจนว่านี่ความจริง (สัจธรรม)”
(41 : 53)
ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลก และไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไม เหล่าผู้มีสติปัญญาจึงได้หันหน้าเข้ารับศาสนาอิสลามอย่างต่อเนื่อง .......