อัน-นุศ็อยริยะฮฺ
แปลโดย.... Anwar B. Ismael
แนวคิดและหลักความเชื่อของพวกอัน-นุศ็อยริยะฮฺ
- พวกเขาเชื่อว่าอะลีย์นั้นเป็นพระเจ้า โดยอวตารมาในรูปร่างของมนุษย์ เฉกเช่นกับที่มลาอกะฮฺญิบรีลเคยแปลงกายในรูปร่างของมนุษย์บางคน
- การที่พระเจ้าอวตารมาในรูปร่างของอะลีย์ที่เป็นมนุษย์นั้นไม่มีจุดประสงค์ใดนอกจากจะให้บ่าวของพระองค์รู้สึกคุ้นเคยกับพระองค์
- พวกเขารักและชื่นชอบต่อับดุรเราะหฺมาน อัล-มุลญัม ผู้ลงมือสังหารอิหม่ามอะลีย์ เนื่องจากพวกเขาเชื่อว่าอับดุรเราะหฺมานคนนี้แหละที่ได้ให้สถานะการเป็นพระเจ้าหลุดพ้นจากสถานะของมนุษย์ พวกเขาจะตำหนิผู้ที่สาปแช่งฆาตรกรที่สังหารอิหม่ามอะลีย์
- พวกเขาเชื่อว่าหลังจากที่อะลีย์เสียชีวิตวิญญาณหลุดจากร่างแล้ว วิญญาณนั้นจะสถิตอยู่ในหมู่เมฆ ดังนั้นเมื่อหมู่เมฆพัดผ่านต่อหน้าพวกเขา พวกเขาจะกล่าวว่า ขอความศานติจงประสบแด่ท่านด้วย โอ้บิดาของท่านอัล-หะสัน และพวกเขายังเชื่ออีกว่าฟ้าร้องคือเสียงของท่านอะลีย์ส่วนฟ้าแลบนั้นคือแส้ของท่านอะลีย์
- พวกเขาเชื่อว่าอะลีย์เป็นผู้สร้างท่านนบีย์ มุหัมหมัด และมุหัมหมัด ได้สร้างสัลมาน อัล-ฟาริสีย์ และสัลมาน อัล-ฟาริสีย์ได้สร้างเด็กกำพร้า 5 คน คือ
1.อัล-มิกดาด เบ็น อัล-อัสวัด และพวกเขาถือว่าผู้นี้เป็นพระเจ้า เป็นผู้สร้าง และรับหน้าที่ดูแลฟ้าร้อง
2.อบูซัรฺ อัล-ฆิฟารีย์ ถูกมอบให้ดูแลการโคจรของดาวเคราะห์และดวงดาวต่างๆ
3.อับดุลลอฮฺ เบ็น เราะวาหะฮฺ ถูกมอบให้ดูแลเรื่องลม และถอนวิญญาณมนุษย์
4.อุษมาน เบ็น มัซอูน ถูกมอบให้ดูแลเรื่องกระเพาะ ความร้อนของร่างกาย และโรคภัยต่างๆของมนุษย์
5. กุนบุร เบ็น กาดาน ถูกมอบให้ดูแลเรื่องการเป่าวิญญาณสู่ร่างกายมนุษย์
- พวกเขามีคืนหนึ่งที่ปะปนกันระหว่างชายหญิง เฉกเช่นเดียวกับกลุ่มอัล-บาฏินิยะฮฺ
- พวกเขาให้ความสำคัญกับสุรา ให้ความสำคัญกับต้นองุ่น และพวกเขาจะตำหนิการถอนหรือตัดต้นองุ่น อันเป็นที่มาของสุรา โดยพวกเขาตั้งชื่อสุราว่า อัน-นูรฺ
- พวกเขาละหมาดวันหนึ่ง 5 เวลา แต่ทว่าการละหมาดของเขาจะแตกต่างในจำนวนร็อกอะฮฺ ไม่มีการสุญูด แม้ว่าจะมีการรุกูอฺในบางครั้ง
- พวกเขาไม่ละหมาดวันศุกร์ และไม่ทำความสะอาดด้วยการอาบน้ำละหมาดหรืออาบน้ำยกหะดัษก่อนทำการละหมาด
- พวกเขาไม่มีมัสยิด แต่จะละหมาดตามบ้านของพวกเขา และในการละหมาดพวกเขาจะอ่านบทคาถางมงาย
- พวกเขามีพิธีการคล้ายพิธีการของศาสนาคริสต์ เช่น กุดดาสอัฏ-ฏีบ (ศีลน้ำหอม) กุดดาสอัล-บะคูรฺ (ศีลธูปจากไม้หอม) และกุดดาสอัล-อะซาน
- พวกเขาไม่ยอมรับพิธีหัจญ์ เพราะเชื่อว่าการเดินทางไปทำหัจญ์ที่มักกะฮฺเป็นการปฏิเสธศรัทธาและถือว่าเป็นการเคารพบูชารูปปั้น
- พวกเขาไม่ยอมรับในบทบัญญัติการจ่ายซะกาต แต่พวกเขาจะจ่ายส่วยภาษีแก่บรรดาปราชญ์ของพวกเขาด้วยอัตรา 1 ส่วน 5 จากทรัพย์ที่ครอบครองทั้งหมด
- การถือศีลอดในทัศนะของพวกเขาคือการงดเว้นจากการร่วมนอนหลับระหว่างสามีภรรยาตลอดทั้งคืนในเดือนรอมฎอน
- พวกเขามีความโกรธเคืองต่อบรรดาเศาะหาบะฮฺอย่างมาก พวกเขาจะสาปแช่งท่านอบูบักรฺ อุมัรฺ และอุษมาน เราะฎิยัลลอฮุอันฮุม
- พวกเขาอ้างว่า หลักการศรัทธานั้นแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ อัซ-ซอฮิร และ อัล-บาฏิน และพวกเขาเท่านั้นที่รู้เกี่ยวความลับของอัล-บาฏิน เช่น พวกเขาเชื่อว่า อัลญะนาบะฮฺ คือการภักดีต่อศัตรูและโง่เขลาต่อความรู้เกี่ยวกับอัลบาฏิน ,
อัฏ-เฏาะฮาเราะฮฺ(ความสะอาด) คือ การเป็นปฏิปักษ์กับศัตรูและรู้เกี่ยวกับอัล-บาฏิน ,
อัศ-ศิยาม(การถือศีลอด) คือ การรักษาความลับที่เกี่ยวข้องกับชาย 33 คนและหญิง 33 คน , อัซ-ซะกาต คือสัญลักษณ์ตัวตนของ สัลมาน ,
อัล-ญิฮาด (การต่อสู้) คือการสาปแช่งต่อศัตรูและผู้เปิดโปงความลับ ,
อัล-วิลายะฮฺ (การปกครอง) คือความจริงใจต่อครอบครัวอัน-นุศ็อยริยะฮฺ และเกลียดชังผู้ที่เป็นศัตรูกับอัน-นุศ็อยริยะฮฺ ,
อัช-ชะฮาดะฮฺ (การกล่าวคำปฏิญาณ) คือการชี้ด้วยวาจาว่า อัยนฺ มีม สีน อัลกุรอาน คือ บทนำสู่การมอบความบริสุทธิ์ใจต่ออิหม่ามอะลีย์ และสัลมาน ได้ปรากฏตนในร่างของญิบรีลมาสอนอัลกุรอานแก่ท่านนบีมุหัมหมัด ,
อัศ-เศาะลาฮฺ (การละหมาด) คือสัญลักษณ์ของชื่อบุคคล 5 ท่าน คือ อะลีย์ หะสัน หุสัยนฺ มุหฺสิน และฟาฏิมะฮฺ มุหฺสิน คนนี้คือความลับ พวกเขาอ้างว่ามุหฺสินเป็นชื่อลูกของฟาฏิมะฮฺที่แท้ง การกล่าวชื่อทั้งห้าชื่อนั้นถือว่าเป็นการทำแทนการอาบน้ำญะนาบะฮฺ และการอาบน้ำละหมาด
นักปราชญ์มุสลิมเห็นพ้องว่า ไม่อนุญาตให้ชาวมุสลิมแต่งานกับพวกอัน-นุศ็อยรีย์ รับประทานสัตว์เชือดของพวกเขา ไม่อนุญาตให้ละหมาดญะนาซะฮฺแก่พวกเขาที่ตาย ไม่อนุญาตให้ฝั่งศพร่วมกับบรรดาชาวมุสลิม และไม่อนุญาตให้เกณฑ์พวกเขาเป็นทหารประจำการณ์บริเวณชายแดนหรือป้อมปราการต่างๆ
ท่านอิบนุตัยมิยะฮฺ กล่าวว่า
“กลุ่มชนที่เรียกตนว่า อัน-นุศ็อยริยะฮฺนั้น พวกเขาและนั้นและพวกอัล-เกาะรอมิเฏาะฮฺ อัล-บาฏินิยะฮฺ เป็นพวกที่ปฏิเสธศรัทธายิ่งกว่าชาวยิวและ คริสเตียนเสียอีก ซ้ำยังปฏิเสธศรัทธายิ่งกว่าชาวมุชริกีน ความอันตรายร้ายกาจของพวกเขายิ่งกว่ากุฟฟารฺที่รุกรานชาวมุสลิมอย่างพวกตะตาร์ และพวกฝรั่ง พวกเขาจะอยู่เคียงข้างศัตรูของชาวมุสลิมเสมอ พวกเขาเคียงข้างกับชาวคริสต์ในการรุกรานมุสลิม ความเจ็บปวดที่รุนแรงสำหรับพวกเขาคือการที่ชาวมุสลิมมีชัยชนะเหนือพวกตะตาร์ เนื่องจากพวกเขาอยู่เคียงข้างตะตาร์ ทุกครั้งที่พวกตะตาร์ยกทัพมารุกรานประเทศมุสลิมและสังหารเคาะลีฟะฮฺ ณ กรุงแบกแดดนั้นหรือกษัตริย์อื่นๆของชาวมุสลิมนั้นก็ด้วยความช่วยเหลือสนับสนุนจากพวกอัน-นุศ็อยริยะฮฺ”
http://www.saaid.net/feraq/mthahb/35.htm