สิ่งใดหรือ...ที่เธอต้องการ !
โดย.... Sukree Ibn Qadir
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมามีโอกาสได้ติดตามดูความเคลื่อนไหวของข่าวสารบ้านเมืองประจำวัน...ในทันใดนั้น นักข่าวโทรทัศน์ชองหนึ่งได้นำเสนอข่าวต่างประเทศเกี่ยวกับ "การเรียกร้องสิทธิสตรี" พร้อมกับภาพผู้หญิงออกมาเดินประท้วงตามถนนหนทาง ในมือของพวกเธอถือป้ายเรียกร้องความเป็นธรรม พวกเธอต่างตะโกนโหวกเหวกเพื่อสื่อถึงความไม่พอใจในกฏหมายของประเทศบางอย่างที่พวกเธอเห็นว่าถูกบัญญัติออกมา อย่างไม่เป็นธรรม
แต่ผมไม่ได้ใส่ใจมากนัก เพราะเข้าใจดีว่ากฏหมายของประเทศนั้น (ที่เหล่าผู้หญิงออกมาเดินประท้วง) ไม่ใช่เป็นกฏหมายอิสลาม ที่มาจากบทบัญญัติของอัลลอฮ์ และกฏหมายที่พวกเธอออกมาเรียกร้องนั้นแน่นอนว่าต้องเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างมันขึ้นมาเอง...แต่มีบ่อยครั้ง ที่รู้สึกเสียใจเมื่อได้ยินพี่น้องมุสลีมะฮ์บางท่าน กล่าวเชิงตำหนิหรือไม่เห็นด้วยกับบทบัญญัติของศาสนาอิสลาม หรืออาจจะถึงขั้นวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆ นาๆ ด้วยความนึกคิดของเธอเองว่าทำไมศาสนาอิสลามจึงต้องกำหนดกฏต่างๆมามากมาย แต่กลับปิดกั้นบางสิ่งบางอย่างกับมุสลีมะฮ์ อย่างพวกเธอ
"โอ้ พี่น้องมุสลีมะฮ์" แท้จริงสิทธิของพวกเธอนั้นมีมากมายยิ่งนัก
อิสลามมอบสิทธิให้แก่พวกเธอมากมากเสียจนไม่ต้องเสียเวลามาเรียกร้องอะไรอีกแล้ว เพราะในความซับซ้อนหลากหลายของสังคมมนุษย์นั้น บางคราวเธออาจจะมองว่าทำไมบางอย่างเธอถึงถูกเอารัดเอาเปรียบจากเพศตรงข้าม และบางคราวเธออาจจะรู้สึกน้อยใจที่อิสลามอาจจะห้ามความต้องการทางธรรมชาติ หรืออาจจะทำให้เธอรู้สึกขัดใจในบางเรื่อง เช่น สิทธิในมรดกที่น้อยกว่าชาย ,สิทธิในการหย่าร้าง ,สิทธิในการเป็นพยาน ,สิทธิในการทำอิบาดัตที่ถูกจำกัดในช่วงมีประจำเดือน ,ภาระในการเป็นผู้ที่ต้องได้รับความเจ็บปวดทรมานในการคลอดบุตร
แต่หากพวกเธอลองนำสิ่งเหล่านั้นบวก ลบ คูณ หาร (ด้วยแนวคิดอิสลาม) ดูอีกครั้ง...แล้วใคร่ครวญบทบัญญัติ และความเป็นธรรมชาติ แล้วไปเอาผลลัพท์สุดท้ายที่เธอคำนวนออกมาได้แล้วเธอจะรู้ว่าแท้จริงแล้วเธอโชคดีแค่ไหนที่พระองค์ประทาน "ความเป็นเพศหญิง (มุสลีมะฮ์)" มาให้กับพวกเธอ
สิทธิของพวกเธอมีมากมาย (หากเธอรู้)...
...หญิงสาวโสดนั้น เธอมีพ่อแม่ที่ต้องให้การดูแลตัวเธอและทั้งนี้ท่านทั้งสองก็ต้องรับผิดชอบในความผิดบาปทั้งหลายของเธอ ที่เธออาจก่อขึ้น
...ในขณะที่ชายหนุ่มโสด (ที่บรรลุถึงวัยแห่งศาสนภาวะ) นั้นเขาจะต้องรับผิดชอบในความผิดบาปเหล่านั้นด้วยตัวเอง อีกทั้งเขายังต้องรับผิดชอบต่อพ่อแม่ของเขา
...หญิงที่แต่งงานแล้วนั้น การทำดีต่างๆ ของเธอผลบุญที่ได้มา ก็จะเป็นเฉพาะสำหรับตัวเธอ และการทำดีนั้นมันก็ไม่ได้ยากอะไร เพียงเธอต้องเชื่อฟังสามี (ที่มีคุณธรรมและมีศาสนา)
...ในขณะที่ ชายที่แต่งงานแล้ว นอกจากต้องรับผิดชอบต่อความผิดบาปของตนเอง ต่อลูกสาวที่ยังไม่แต่งงาน ต่อลูกชายในวัยก่อนบรรลุศาสนาภาวะ และยังต้องมีส่วนรับผิดชอบในความผิดบาปของภรรยาของเขาอีกด้วย
...หญิงที่เป็นภรรยานั้น เธอมีสิทธิเด็ดขาดในทรัพย์สินที่เป็นของเธอ เป็นที่ต้องห้ามที่ผู้เป็นสามีจะไปก้าวล่วงโดยไม่ได้รับอนุญาต
...ในขณะที่ชายที่เป็นสามีนั้น ทรัพย์สินของเขาที่ได้มา บางส่วนต้องมอบให้แก่ภรรยาเป็นนัฟเกาะห์ที่เธอต้องได้รับ และสามีจะปฏิเสธเธอไม่ได้ นอกเสียจากเธอยินยอม
เธอได้รับเกียรติอันมากมายนัก !
...ผู้หญิงนั้นต้องเชื่อฟังสามี (ก็จริงอยู่) ...แต่เธอก็อย่าลืมว่าผู้เป็นแม่ นั้นคือผู้ที่อิสลามสั่งให้บุตรต้องเชื่อฟังมากกว่าผู้เป็น พ่อ ถึง 3 เท่า
...ผู้หญิงนั้นได้รับมรดกน้อยกว่าผู้ชาย (ก็จริงอยู่) ...แต่เธอก็อย่าลืมว่าทรัพย์สินใด ๆ ในความครอบครองของเธอนั้น ต่อไปในอนาคตเมื่อเธอมีครอบครัว สิ่งเหล่านั้นก็จะเป็นสิทธิเฉพาะสำหรับตัวของเธอ ที่ผู้เป็นสามีไม่มีสิทธิจะไปก้าวล่วงได้ แต่เธอก็ยังมีสิทธิ์ในทรัพย์สินของผู้เป็นสามี ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากมรดกของเขาในอดีตนั่นเอง
...ผู้หญิงต้องรับภาระที่หนักมากในการอุ้มท้องและการคลอดลูก (ก็จริงอยู่) ...แต่เธอก็อย่าลืมว่าทุกวินาทีแห่งการตั้งครรภ์ ความเจ็บปวดจากการคลอด และตลอดเวลาของการทำหน้าที่เป็นแม่นั้นเธอจะอยู่ในความเมตตาของพระองค์อัลลอฮฺและได้รับการขอดุอาอ์จากบรรดามาลาอีกะห์อยู่เสมอ
...แทนที่เธอจะไปเดินประท้วงเรียกร้องความเป็นธรรมบนท้องถนน...เธอน่าจะมาเดินเคียงข้างกับสามีเพื่อเป็นกำลังใจให้เขาได้ทำงาน เพื่อพระองค์อัลลอฮฺ
...แทนที่เธอจะไปถือป้ายเพื่อประท้วงเรียกร้องความเป็นธรรม...เธอน่าจะยกมือขอดุอาห์เพื่อขอบคุณต่อพระองค์อัลลอฮฺ ที่ให้เกียรติแก่เธอมากมาย
...แทนที่เธอจะไปตะโกนโหวกเหวกเพื่อสื่อให้ผู้อื่นรู้ ว่าเธอเป็นเพศที่ถูกเอาเปรียบ...เธอน่าจะมากล่าวตักเตือนลูก ๆ ของเธอให้เป็นบ่าวที่ศรัทธาต่อพระองค์อัลลอฮฺ
แล้ววันนี้เธอยังต้องการสิ่งใดอีกหรือ...แล้ววันนี้เธอยังไม่ได้รับความเป็นธรรมอีกหรือ...แล้ววันนี้เธอยังออกมาเดินประท้วงกันอีกหรือ...
วัลลอฮุอะห์ลัม