เรื่องราวของคุบัยบฺ บิน อะดียฺ
  จำนวนคนเข้าชม  10257

เรื่องราวของคุบัยบฺ บิน อะดียฺ


ดร.อะมีน บิน อับดุลลอฮฺ อัช-ชะกอวีย์


          มวลการสรรเสริญเป็นสิทธิ์ของอัลลอฮฺพระผู้อภิบาลแห่งสากลจักรวาล ขอความสุข ความจำเริญและความศานติจงประสบแด่ท่านนบีมุหัมมัด ตลอดจนวงศ์วานและมิตรสหายของท่านโดยทั่วกัน ฉันขอปฏิญาณว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺเพียงองค์เดียว ไม่มีภาคีใดๆ สำหรับพระองค์ และฉันขอปฏิญาณว่า มุหัมมัดเป็นบ่าวของอัลลอฮฺและเป็นศาสนทูตของพระองค์

         อิมามอัล-บุคอรียฺได้บันทึกไว้ในหนังสือเศาะหีหฺของท่าน จากรายงานของอบูฮุรอยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ว่า

         ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ได้ส่งกองกำลังทหารเฉพาะกิจ 10 นาย เพื่อสอดส่องติดตามข่าวสาร (ข่าวคราวความเคลื่อนไหวของชาวกุเรช) และได้มอบหมายให้อาศิม บิน ษาบิต อัล-อันศอรียฺ ปู่ของอาศิม บิน อุมัร เป็นผู้นำ พวกเขาออกเดินทางจนกระทั่งถึงเขตฮัดอะฮฺ ซึ่งอยู่ระหว่างอุสฟานกับมักกะฮฺ ก็มีการแจ้งข่าวความเคลื่อนไหวของพวกเขาไปยังชนกลุ่มหนึ่งจากเผ่าฮุซัยลฺอันมีนามว่าบะนูลิหฺยาน ครั้นบะนูลิหฺยานทราบดังกล่าว พวกเขาจึงส่งนักแม่นธนูจำนวน 200 คน เพื่อมุ่งหน้าไปหากองกำลังทหารเฉพาะกิจ ค้นหาติดตาม จนกระทั่งพวกเขาพบเห็นเศษเมล็ดอินทผลัม ซึ่งกองกำลังฯ นำติดตัวเป็นเสบียงมาจากมะดีนะฮฺ

พวกเขากล่าวว่า นี่คือ “อินทผลัมยัษริบ” (เป็นร่องรอยให้พวกเขาทราบว่ากองกำลังฯ อยู่ที่ไหน) พวกเขาจึงออกค้นหาต่อไป

ครั้นเมื่ออาศิมและเหล่ากองกำลังทหารรู้สึกได้ว่าพวกตนเองกำลังถูกไล่ตาม จึงได้หลบไปพักพิงที่ฟัดฟัด (เป็นสถานที่สูง คล้ายภูเขา)

บะนูลิหฺยานตามกองกำลังฯ จนพบ และล้อมพวกเขาไว้ แล้วกล่าวว่า

 “พวกท่านจงลงมาเถิด มอบตัวให้เรา และเราจะให้สัตย์สัญญา และคำมั่นตกลงกับพวกท่าน แล้วเราจะไม่สังหารพวกท่านแม้สักคนเดียว”

อาศิม บิน ษาบิต ผู้นำกองกำลังทหารได้ตอบบะนูลิหฺยานว่า

“ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ วันนี้ข้าจะไม่ยอมรับข้อตกลง ไม่ทำสนธิสัญญากับผู้ปฏิเสธศรัทธาเป็นอันขาด ข้าแต่อัลลอฮฺ ขอพระองค์ทรงบอกเล่าเรื่องราวของพวกข้าพระองค์ให้แก่นบีของพระองค์ทราบด้วยเถิด”

แล้วการปะทะระหว่างสองฝ่ายก็เกิดขึ้น จนอาศิมเป็นหนึ่งในเจ็ดคนที่ถูกสังหาร กระทั่งสามคนที่เหลือ คือ คุบัยบฺ (บิน อะดียฺ)อัล-อันศอรียฺ,  (ซัยดฺ) อิบนุ ดะษินะฮฺ และชายอีกคนหนึ่ง (คืออับดุลลอฮฺ บิน ฏอริก) ได้ยอมลงมา และตกลงรับสนธิสัญญาของพวกเขา ครั้นเมื่อบะนูลิหฺยานเป็นฝ่ายกุมอำนาจ พวกเขาก็ได้ทำการปลดอาวุธกองกำลังทหารทั้งสาม ยึดธนู และพันธนาการตรวนพวกเขาเอาไว้

 ชายคนที่สาม (คือ อับดุลลอฮฺ บิน ฏอริก)  จึงกล่าวว่า “นี่คือการทรยศ ไม่รักษาสัจจะครั้งแรก ข้าจะไม่ไปกับพวกท่าน แท้จริงบุคคลเหล่านั้น (คือ เหล่าทหารที่ถูกสังหาร) เป็นแบบอย่างสำหรับฉัน”

บะนูลิหฺยานจึงลากจูง และบังคับเขาให้ไปกับพวกเขาให้จงได้ แต่เขาก็ยังยืนกรานปฏิเสธ แล้วบะนูลิหฺยานก็สังหารเขา หลังจากนั้นพวกเขาก็ออกเดินทางโดยมีคุบัยบฺ กับอิบนุ ดะษินะฮฺ เป็ยเชลยไปด้วย แล้วพวกเขาก็นำทั้งสองไปขายที่มักกะฮฺภายหลังสมรภูมิบัดรฺ (บัดรฺครั้งที่สอง เดือนชะอฺบาน ปีฮิจเราะฮฺที่ 4) ผู้ซื้อคุบัยบฺคือ บะนู อัล-หาริษ บิน อามิร บิน เนาฟัล บิน อับดิ มะนาฟ ซึ่งคุบัยบฺนั้นเป็นผู้สังหาร อัล-หาริษ บินอามิร ในสงครามบัดรฺ (บัดรฺอันยิ่งใหญ่ ครั้งแรก ในเดือนเราะมะฎอน ปีฮิจเราะฮฺที่ 2) แล้วคุบัยบฺก็ตกเป็นเชลยในอาณัติของพวกเขา (บะนู อัล-หาริษ)

อุบัยดุลลอฮฺ บิน อิยาฎ บอกแก่ฉันว่า (ผู้กล่าวคือ อัซซุฮรียฺ) แท้จริง บุตรีของอัล-หาริษได้เล่าให้ฟังว่า แท้จริงเมื่อพวกเขา (บะนูอัล-หาริษ) ได้รวมตัวกัน (เพื่อสังหารคุบัยบฺ บินอะดียฺ) คุบัยบฺก็ได้ขอยืมมีดโกนจากนาง เพื่อโกนขนส่วนเกิน นางก็ให้เขายืม ครั้นเมื่อนางเผลอ ลูกชายของนางคนหนึ่งได้เดินเข้าไปหาคุบัยบฺ เมื่อนางพบ ก็เห็นว่าลูกของนางนั่งอยู่บนตักเขา และในมือเขานั้นมีมีดโกนอยู่ นางตกใจกลัวมาก จนคุบัยบฺทราบความตกใจกลัวของนางจากสีหน้า

เขากล่าวว่า “เธอกลัวว่าฉันจะฆ่าลูกเธอหรือ แท้จริงฉันไม่ทำเช่นนั้นหรอก”

นางได้เล่าต่ออีกว่า “ฉันไม่เคยเห็นเชลยคนใดดียิ่งกว่าคุบัยบฺเลย วันหนึ่งฉันเห็นเขากินองุ่น ในมือเขามีพวงองุ่นมากมาย ทั้งที่เขาถูกล่ามตรวนไว้ด้วยโซ่เหล็ก และที่มักกะฮฺในวันนั้นไม่ได้มีผลไม้อะไรเลย”

 นางกล่าวอีกว่า “แท้จริงมันเป็นริซกีที่อัลลอฮฺทรงประทานให้คุบัยบฺ”

 แล้วเมื่อบะนู อัล-หาริษนำคุบัยบฺออกจากอัล-หะร็อม (มักกะฮฺ) ไปสู่อัล-หิลล์ (นอกเขตอัล-หะร๊อม นักวิชาการกล่าวว่า คือ เขตอัตตันอีม ทางตอนเหนือของอัล-หะร็อม) เพื่อนำไปสังหาร

คุบัยบฺได้กล่าวแก่พวกเขาว่า “ขอให้ฉันละหมาด  2 ร็อกอะฮฺก่อนเถิด”

พวกเขาปล่อยเขาละหมาด จนกระทั่งเมื่อเสร็จเรียบร้อย คุบัยบฺจึงกล่าวแก่บะนู อัล-หาริษว่า

 “ถ้าหากว่าฉันไม่กลัวพวกท่านกล่าวหาว่าฉันละหมาดนานเพราะกลัวถูกฆ่าแล้วละก็ ฉันจะละหมาดอย่างยาวนานกว่านี้อีก”

แล้วเขาก็กล่าวดุอาอ์ว่า

اللهم أحْصِهِمْ عَدَدًا

“ข้าแต่อัลลอฮฺ ขอพระองค์ทรงนับจำนวนพวกเขาอย่างครบถ้วน”

(บางรายงานเพิ่มเติมว่า وَاقْتُلْهُمْ بَدَدًا وَلا تُغَادِرْ مِنْهُمْ أَحَداً “และขอทรงสังหารพวกเขาทีละคนๆ และอย่าให้หลงเหลืออยู่เลยแม้แต่คนเดียว”)

หลังจากนั้นเขาก็ขับบทกวีว่า

فَلَسْتُ أُبَالِي حِينَ أُقْتَلُ مُسْلِمًا عَلَى أَيِّ جَنْبٍ كَانَ لِلَّهِ مَصْرَعِي
وَذَلِكَ فِي ذَاتِ الْإِلَهِ وَإِنْ يَشَأْ يُبَارِكْ عَلَى أَوْصَالِ شِلْوٍ مُمَزَّعِ

ฉันไม่คำนึง แม้นจะถูกฆ่า ในสภาพที่เป็นมุสลิม ไม่ว่าจะตายท่าไหน การตายของฉัน ก็เพื่ออัลลอฮฺ

ดังกล่าวนั่นแหละ เป็นการงานของพระเจ้า หากเป็นพระประสงค์ พระองค์จะทรงประทานความจำเริญแก่ส่วนต่างๆ ของร่างกายแม้จะถูกหั่นเป็นชิ้นๆ

 

        แล้วบุตรของอัล-หาริษก็สังหารเขา (ในปีฮิจเราะฮฺที่ 5) ดังนั้นคุบัยบฺจึงเป็นผู้ริเริ่มการละหมาด 2 ร็อกอะฮฺ ขณะจะถูกฆ่า แล้วอัลลอฮฺก็ได้ทรงตอบรับดุอาอ์ของอาศิมในวันที่เขาถูกฆ่า พระองค์ได้ทรงบอกข่าวเรื่องราวของกองกำลังทหารเฉพาะกิจในสิ่งที่พวกเขาประสบแก่ท่านนบี

        เมื่อชาวกุเรชมุชริกได้ยินข่าวว่าอาศิมถูกสังหาร พวกเขาก็ส่งคนออกไปที่ร่างของอาศิม เพื่อนำชิ้นส่วนร่างกายของเขามาเพื่อยืนยันเย้ยหยัน เพราะอาศิมนั้นได้สังหารคนสำคัญใหญ่โตของชาวกุเรชในสงครามบัดรฺอันยิ่งใหญ่ แต่ทว่าเมื่อพวกเขามาถึงร่างของอาศิมก็พบว่า เหนือร่างของเขามีตัวผึ้งหรือตัวต่อ ก่อตัวรวมกันเป็นดั่งก้อนเมฆ ปกป้องคุ้มครองร่างของเขาเอาไว้ จนพวกเขาไม่สามารถตัดชิ้นส่วนร่างกายของเขาเพื่อเอาไปได้

 (อัล-บุคอรียฺ หะดีษหมายเลข 3045)

 

จากหะดีษนี้มีข้อคิด มีอุทธาหรณ์มากมาย ซึ่งอัล-หาฟิซ อิบนุ หะญัรฺ ระบุไว้ในหนังสือ ฟัตหุลบารียฺ (เล่ม 7 /หน้า384) ว่า


หนึ่ง

         ในหะดีษเล่าว่า อาศิม บิน ษาบิตนั้นได้สังหารหนึ่งในผู้ยิ่งใหญ่ ผู้มีเกียรติของชาวกุเรชในสงครามบัดรฺอันยิ่งใหญ่ อิบนุ หะญัรฺ กล่าวว่า ผู้นั้นอาจจะเป็น อุกบะฮฺ บิน อะบี มุอีฏ และมีรายงานจาก อิบนุ อิสหาก จาก อาศิม บิน อุมัร จาก เกาะตาดะฮฺ เล่าว่า

“อาศิมนั้นเคยให้คำมั่นสัญญากับอัลลอฮฺไว้ว่า จะไม่มีทางให้มุชริกมาสัมผัสเขาได้ และเขาก็จะไม่สัมผัสมุชริกอย่างเด็ดขาด”

มีอีกรายงานเล่าว่า เขากล่าวว่า“ในวันนี้ แท้จริงฉันปกปักรักษาศาสนาของพระองค์ ดังนั้น ขอพระองค์ทรงปกปักรักษาเนื้อตัวของข้าพระองค์ด้วยเถิด”

อัลลอฮฺ จึงได้ทรงส่งตัวต่อหรือผึ้งเพื่อปกปักรักษาร่างของเขาจากบรรดามุชริก และเมื่อท่านอุมัรได้ทราบข่าวเขา จึงกล่าวว่า

“อัลลออฮฺทรงรักษาปกป้องบ่าวผู้ศรัทธาหลังจากเขาเสียชีวิต เสมือนกับที่ทรงรักษาปกป้องเขาเมื่อเขามีชีวิต”

 

สอง

         ผู้ตกเป็นเชลยมีสิทธิที่จะปฏิเสธคัดค้าน ไม่ยอมรับข้อตกลงสันติภาพจากศัตรู แม้นว่าจะต้องถูกฆ่าก็เป็นเกียรติกว่า เมื่อไม่สามารถรักษาสวัสดิภาพของชีวิต ซึ่งเป็นการน่าอัปยศหากต้องปฏิบัติตามกฎหรือคำสั่งของผู้ปฏิเสธ ดังกล่าวนั้นสำหรับผู้ที่ต้องการยึดกฎอย่างแน่วแน่ (อัลอะซีมะฮฺ บัญญัติตามปกติ)

         ส่วนผู้ที่ต้องการยึดกฎอนุโลมผ่อนปรน (อัรรุคเศาะฮฺ บัญญัติอนุโลมในภาวะคับขัน) ก็ให้ยอมรับข้อตกลงสันติภาพ เพื่อรักษาสวัสดิภาพไว้

 

สาม

         การซื่อสัตย์ในสัตยาบันต่อบรรดามุชริก การงดเว้นไม่สังหารเด็กๆ ของพวกเขา และอ่อนโยนต่อผู้ที่ต้องการจะสังหารเขา

 

สี่

         ดุอาอ์ให้บรรดามุชริกโดยรวมให้ได้รับหายนะ การละหมาดเมื่อขณะจะถูกฆ่า และจากหะดีษ เป็นหลักฐานแสดงว่า คุบัยบฺนั้นเป็นผู้แรกที่ริเริ่มการละหมาด 2 ร็อกอะฮฺขณะจะถูกฆ่า

 

ห้า

          การสร้างสรรค์บทกวี และกล่าวขานขับเอื้อน เมื่อจะถูกฆ่า และหะดีษนี้บ่งบอกถึงความเชื่อมั่นอันแรงกล้า และความเคร่งครัดของคุบัยบฺในเรื่องศาสนา

 

หก

         อัลลอฮฺ ทรงทดสอบบ่าวมุสลิมของพระองค์ด้วยสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์ ดังที่อยู่ในความรอบรู้ของพระองค์ เพื่อที่จะตอบแทนบ่าว และหากพระเจ้าของเจ้าทรงประสงค์แล้ว พวกเขาก็มิอาจกระทำมันขึ้นได้

﴿ الٓمٓ ١ أَحَسِبَ ٱلنَّاسُ أَن يُتۡرَكُوٓاْ أَن يَقُولُوٓاْ ءَامَنَّا وَهُمۡ لَا يُفۡتَنُونَ ٢ وَلَقَدۡ فَتَنَّا ٱلَّذِينَ مِن قَبۡلِهِمۡۖ فَلَيَعۡلَمَنَّ ٱللَّهُ ٱلَّذِينَ صَدَقُواْ وَلَيَعۡلَمَنَّ ٱلۡكَٰذِبِينَ ٣ ﴾ [العنكبوت: ١ - ٣] 

 “อะลิฟ ลาม มีม มนุษย์คิดหรือว่า พวกเขาจะถูกทอดทิ้งเพียงแต่พวกเขากล่าวว่าเราศรัทธาแล้ว และพวกเขาจะไม่ถูกทดสอบกระนั้นหรือ ?

และโดยแน่นอน เราได้ทดสอบบรรดาก่อนหน้าพวกเขาแล้ว

ดังนั้นอัลลอฮฺจะทรงจำแนกให้รู้แจ้งถึงบรรดาผู้สัตย์จริง และจะทรงจำแนกให้รู้แจ้งถึงบรรดาผู้กล่าวเท็จ”

 (อัล- อันกะบูต 1-3)

 

เจ็ด

         ดุอาอ์ของมุอ์มินได้รับการตอบรับ และมุอ์มินได้รับเกียรติทั้งในขณะที่มีชีวิตและเสียชีวิต แท้จริงอัลลอฮฺทรงตอบรับดุอาอ์ของอาศิม ในการรักษาปกป้องร่างกายของเขาจากบรรดามุชริก แต่พระองค์มิได้ทรงขัดขวางบรรดามุชริกมิให้ฆ่าเขา เพราะพระองค์ทรงประสงค์ที่จะยกเกียรติของอาศิมด้วยการเป็นชะฮีด และเกียรติยศของเขาก็คือการถูกปกป้องจากการล่วงละเมิดด้วยการตัดชิ้นส่วนร่างกายของเขา

 

แปด

          การให้ความเคารพของบรรดามุชริกต่ออัล-หะร็อม (เขตมักกะฮฺ ซึ่งเป็นสถานที่ห้ามการฆ่า) และเดือนอัล-หุรุม (เดือนซุลเกาะอฺดะฮฺ ซุลหิจญะฮฺ มุหัรรอม และเราะญับ ซึ่งเป็นเดือนที่ห้ามการฆ่า)

 

เก้า

         การบิดพลิ้ว ไม่รักษาสัญญา ทรยศหักคดโกง เป็นลักษณะของบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา พวกเขาฆ่าอับดุลลอฮฺ บิน ฏอริก และจับซัยดฺ กับคุบัยบฺเป็นเชลยและขายพวกเขาให้แก่ชาวกุเรช เพราะหวังเงินทองเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

 

สิบ

          การให้เกียรติของอัลลอฮฺต่อผู้ที่พระองค์ทรงรัก ทั้งในดุนยาและอาคิเราะฮฺ แท้จริงพระองค์ประทานริซกีให้คุบัยบฺ ด้วยองุ่นและผลไม้มากมาย ทั้งที่เขาถูกล่ามตรวนด้วยโซ่เหล็กอยู่ในพันธนาการของศัตรู  อัลลอฮฺ ตรัสจริง ความว่า

﴿ ... وَمَن يَتَّقِ ٱللَّهَ يَجۡعَل لَّهُۥ مَخۡرَجٗا ٢ وَيَرۡزُقۡهُ مِنۡ حَيۡثُ لَا يَحۡتَسِبُۚ ... ٣ ﴾ [الطلاق : ٢- ٣] 

 “และผู้ใดยำเกรงอัลลอฮฺ พระองค์ก็จะทรงหาทางออกให้แก่เขา และจะทรงประทานปัจจัยยังชีพแก่เขาจากที่ที่เขามิได้คาดคิด”

(อัฏ-เฏาะลาก 2-3)


 

และหากพิจารณาให้ถ่องแท้ ก็จะพบข้อคิด และอุทาหรณ์อื่นๆ อีกมากมายนอกเหนือจากที่ได้กล่าวมานี้

والحمد لله رب العالمين، وصلى الله وسلم على نبينا محمد وعلى آله وصحبه أجمعين

 


แปลโดย : รีมา เพชรทองคำ / Islam House