หันมองภรรยาของเรา
อาจารย์ สุเบร วงษ์สันต์
بسم الله الرحمن الرحيم
ท่านพี่น้องศรัทธาชนทุกท่าน ผมขอตอกย้ำให้ท่านทำความรู้จักเอกองค์อัลลอฮ์ ตลอดจนพลังและเดชานุภาพของพระองค์อย่างจริงจัง เพื่อที่จะเข้าใจว่าผู้ที่มีพลังควบคุมกฎเกณฑ์ต่างๆในโลกนี้นั้นคือพระองค์เท่านั้นครับ ถ้าเราเชื่อตามนี้แล้ว เราจะเกรงกลัวในอัลลอฮ์ อย่างแท้จริง และจะจำนน และปฎิบัติตนอย่างเคร่งครัด เพราะต้องการกลับไปหาอัลลอฮ์ ด้วยผลงานที่มีคุณภาพ
พวกเราเวลาเจอคุณงามความดีโดยธรรมชาติก็จะบอกว่า นี่คือสิ่งที่ธรรมชาติสร้างสรรค์ แต่ในอีกมุม เมือประสบกับภัยพิบัติเราก็บอกว่ามันเป็นภัยจากธรรมชาติ ซึ่งมันเป็นรูปแบบเดียวกับที่เราจะไปรับบัญชีของเราในวันกิยามะฮฺ
ท่านพี่น้องที่มีเกียรติ ทุกวันนี่เราคงจดจ่ออยู่กับข่าวสาร ว่าบ้านเราจะจมน้ำอีกหรือไม่ แต่ผลที่สุดเราก็ไม่ส่ามารถที่หาข้อเท็จจริงได้ เราต้องพึ่งตนเอง และเตรียมตัวเอง
ท่านพี่น้องครับ เมื่อฟังข่าวสารในทีวีได้ไปเจอภาพยนต์เรื่องหนึ่ง ที่มีคนสร้างเรือในเมือง และบอกว่าพระเจ้ามีบัญชาให้สร้างเรือ ภรรยาทนไม่ไหวก็จากไป ภาพของนักแสดงที่ฉายออกมาบ่งบอกถึงคนที่เป็นภรรยาและลูกในครอบครัว เมื่อสามีมั่นใจในสิ่งหนึ่งสิ่งใดแล้ว ครอบครัวไม่ควรที่จะทอดทิ้ง ต้องพร้อมที่จะเผชิญชะตากรรมเดียวกัน จนเมื่อภรรยาสำนึกได้ก็ย้อนกลับไปช่วยสามีต่อเรือจนเสร็จ เมื่อเสร็จแล้วฝนก็ตกลงมาไม่มาก ชายคนนี้ถูกเยาะเย้ยถากถางจากชาวบ้านว่า ฝนแค่นี้น้ำจะท่วมโลกหรือ ! แต่พอเขื่อนในเมืองแตก น้ำก็ทะลักเข้ามา คนก็รีบวิ่งขึ้นเรือ ผมเองไม่ทราบว่าเรื่องอะไร ก็ดูๆไป แต่มันได้ข้อคิดคือ
หากจะย้อนกลับไปสมัยท่านนบีนูฮฺ อะลัยฮิสลาม ให้เราสังเกตภรรยาของท่านนบีนูฮฺซิว่า มีลักษณะเช่นนี้หรือไม่ ? เป็นคนคอยเป็นกำลังหนุนให้กับสามีหรือไม่ ? นั่นเป็นสิ่งที่อยากจะหยิบมาพูดเป็นประเด็นของวันศุกร์นี้ แน่นอนครับ ผู้หญิงที่อัลลอฮฺ ตำหนิอย่างแรงในอัลกุรอ่านมี 2 ท่าน คือ ภรรยาของนบีนูฮฺ และ ภรรยาของนบีลูฎ
วันนี้เราจะพูดเรื่องภรรยานบีนูฮฺ นางชื่อ วาฆิละฮฺ หรือ วาลิเฆาะฮฺ ตามที่นักอธิบายกุรอ่านบอกไว้ ภรรยาคนนี้ไม่ได้ช่วยนบีนูฮฺในการทำกิจกรรมของท่านเลย หากท่านได้เรียนประวัติศาสตร์จะพบว่าตั้งแต่นบีอาดัม อะลัยฮิสลาม เรื่อยมานั้นเป็นประชาชาติที่เป็นหนึ่งเดียว ส่วนใหญ่เป็นคนดี แต่พอมาถึงสมัยนบีนูฮฺ เริ่มมีชัยตอนยุแหย่ เริ่มมีความคิดแปลกๆ มีการพูดคุยกันถึงความดีงามของคนรุ่นก่อนๆ เช่นคนดีๆที่ชื่อ วัฏ , ซุวาฮฺ , ยะฆูซ , ยะอูซ , นัสรอ พวกเขาจึงได้ทำรูปปั้นขึ้นมา มันไม่ได้ต่างอะไรกับในบ้านเรา โดยที่เวลามีคนดีๆทำอะไรไว้ เราก็จะรำลึกถึงพวกเขาด้วยการสร้างรูปจำลอง สมัยนบีนูฮฺ ก็เช่นเดียวกัน และชัยตอนได้ยั่วยุให้สักการะ โดยบอกว่ารูปปั้นเหล่านี้จะช่วยปัดเป่าความเจ็บปวดและขจัดทุกข์ยากให้หมดไป ท่านนบีนูฮฺมาเพื่อขจัดความผิดเพี้ยนในสิ่งนี้ โดยบอกผู้คนว่า
“โอ้กลุ่มชนทั้งหลาย สำหรับพวกท่านแล้วไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์ ชั้นเกรงว่าพวกท่านจะได้รับการลงโทษที่เจ็บแสบ”
กลับไปเรื่องของภรรยานบีนูฮฺ ภรรยาได้เยาะเย้ยนบีนูฮฺมาตลอดว่า นบีนูฮฺอยู่ในการหลงผิดมายาวนาน ดังนั้นอัลลอฮ์จึงให้เหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น ภรรยานบีนูฮฺชอบตำหนิชอบกล่าวหาท่านนบีนูฮฺ จนมีครั้งหนึ่งกล่าวกับท่านนบีนูฮฺว่า
“นูฮฺเอ๋ย ทำไมเผยแผ่มาตั้งนานไม่เห็นพระเจ้าของเจ้าช่วยเหลือเจ้าเลย ไม่เห็นมีใครปฎิบัติตามเจ้านอกจากคนจนๆสมองตื้นๆความคิดเห็นบ้านๆ”
ท่านตอบว่า “ช่วยสิอัลลอฮ์ ต้องช่วยแน่นอน”
ภรรยาจึงถามแบบเยาะเย้ยว่า “แล้วเมื่อไหร่ล่ะ”
ท่านนบีนูฮฺตอบว่า “เมื่อน้ำมันพุ่งออกมาจากอัตตันนูร”
(อัตตันนูร คือ ลักษณะของดินที่เอามาก่อเป็นเตาเผาปรุงอาหาร) และเมื่อถึงเวลานั้นอัลลอฮ์ ก็ได้ให้เกิดขึ้น โดยให้น้ำออกมาจากเตานั้นและให้มาบรรจบกับน้ำจากฟากฟ้า
ท่านพี่น้องมุสลิมที่รัก การกระทำของภรรยาต่อท่านนบีนูฮฺมีอีกมากมาย โดยเป็นแกนนำในการบวงสรวงเทพเจ้า หากวันไหนเป็นวันบวงสรวงเทพเจ้า นางจะลุกจากที่นอนแต่เช้าแต่งตัวอย่างดี ใส่ทองเหมือนเจ้าแม่ผู้บวงสรวง มีการจุดไฟ และเชือดสัตว์ จนวันหนึ่งนางไปเจอ กันอาน ลูกชายของท่านนบีนูฮฺ จึงพูดกันว่าพ่อเจ้าน่ะบ้าไปแล้ว ลูกชายก็เห็นด้วยกับสิ่งที่แม่พูด สิ่งต่างๆเหล่านี้ได้ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ จนเมื่อเกิดน้ำท่วมใหญ่ขึ้นจริง ภรรยาและลูกชายที่ชื่อ กันอาน ไม่ยอมที่จะขึ้นเรือ จึงได้ตายในสภาพที่เป็นผู้ปฎิเสธศรัทธา
เรื่องที่ได้หยิบยกมานี้ก็เพื่อต้องการจะเตือนสตรีมุสลิมะฮ์ของพวกเรา ที่เวลาวันอีดท่านนบี บอกว่า " ฉันเห็นว่าพวกท่านอยู่ในนรกเยอะมากกว่าผู้ชาย เพราะพฤติกรรมของพวกเธอ คือ ชอบด่าว่าตำหนิสามีอย่างมาก และ ปฎิเสธความดีของสามี " สังเกตได้ในบ้านเราถ้าภรรยามีฐานะใกล้เคียงกับสามีหรือมากกว่า ก็จะไม่เชื่อฟังกันและไม่ให้เกียรติกัน ทีนี้ให้พวกเราหันกลับมาดูพฤติกรรมของบรรดาสตรีของเราว่า เหมือนกับพฤติกรรมของภรรยานบีนูฮฺหรือไม่ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าอันตรายเป็นอย่างยิ่ง !
จึงอยากจะเตือนท่านทั้งหลายว่าเราเกิดเป็นประชาชาติของนบีมูฮัมมัด ทุกสิ่งที่เราทำทุกวันนี้ไม่ว่าจะเป็นการละหมาด ถือศีลอด เรายังไม่มั่นใจเลยว่าจะได้รับผลเต็มเม็ดเต็มหน่วยหรือเปล่า และมันมีสิ่งที่จะมาตัดความสมบูรณ์ในการงานของเราได้หมด ไม่ว่าจะเป็นวิธีการปฏิบัติ การตั้งเจตนารมณ์ สิ่งที่เป็นพื้นฐานเรายังไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ในทางกลับกันเราก็ได้เพิ่มบาปมากขึ้น แล้วเราจะประสบความสำเร็จได้อย่างไร ? เพราะฉะนั้นมุสลิมะฮ์อย่าได้ประมาท และต้องเชื่อฟังสามีในเรื่องที่ไม่ขัดกับหลักการศาสนา แต่ถ้าสามีหยิบยื่นความดีให้ด้วยการสั่งสอนต้องตอบรับในทันที
เรื่องของนบีนูฮฺ สุดท้ายแล้วคนในครอบครัวก็ไม่รอด ลูกก็ไม่รอด ภรรยาก็ไม่รอด คนที่รอดนั้นมีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะฉะนั้นมุสลิมะฮ์ต้องตั้งสติให้ดีๆ ให้กำลังใจซึ่งกันและกันในการตัดสินใจของสามี ภรรยาจะเป็นคนผลักดันเกื้อหนุนสิ่งที่สามีทำ ถ้าหากมันไม่เป็นไปอย่างที่สามีตัดสินใจก็อย่าตีโพยตีพาย ให้อดทน เตรียมตัวให้ดีที่สุด หากว่าเราจะต้องจมน้ำตายก็เป็นการตายชะฮีด เป็นการตายที่มีเกียรติ
ทุกวันนี้เราต้องมุ่งหาอัลลอฮ์ เจาะจงดุอาของเราไปที่อัลลอฮ์ อย่าไปพึ่งอะไรนอกเหนือจากอัลลอฮ์ เพราะรูปปั้นที่เราเห็นพวกมันได้จมน้ำไปหมดแล้ว หันกลับมาทำชีวิตให้ถูกต้อง สอนลูกสอนภรรยา หากไม่เช่นนั้นแล้วการลงโทษในภายภาคหน้าจะหนักยิ่งกว่านี้ ดูที่หนังสือพิมพ์สิครับ เวลาถ่ายรูปน้ำท่วมต่างคนต่างหน้าตาเหลือกลาน นี่แค่ในดุนยาเท่านั้น ถ้าเป็นอาคิเราะฮ์ที่อัลลอฮ์ บอกว่า มนุษย์จะตาเหลือกมอง ในวันกิยามะฮ์คงไม่ต้องบรรยาย
หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเราจะเอาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นข้อคิดข้อเตือนสติในการดำเนินชีวิตของเรา ให้เป็นบ่าวที่มีความยำเกรงต่ออัลลอฮ์ และเป็นบ่าวที่มั่นใจในพระองค์ เมื่อนั้นแหละครับ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเราก็จะมีพลัง และอัลลอฮ์ จะคอยช่วยเหลือพวกเราตลอดเวลา.....อินชาอัลลอฮ์
คุตบะฮ์วันศุกร์ มัสยิด ดารุลอิห์ซาน