วิธีการทำลายอัลกรุอาน และอัลหะดีษของชีอะฮฺ
  จำนวนคนเข้าชม  9223

บทบาทและแนวทาง(มัสฮับ)ที่อันตราย

ในการทำลายอัล-กรุอานและอัล-หะดีษ  (3)

โดย ...สุดารัตน์ สาดและ


วิธีการทำลายอัลกรุอาน และอัลหะดีษของชีอะฮฺ


        อัลกุรอานเป็นทางนำเป็นแบบแผนชีวิตของมุสลิม อัลกุรอานคือความสมบูรณ์ของอิสลาม ความสมบูรณ์แก่ทุกสิ่งแก่ทุกชีวิตที่เป็นบ่าวของอัลลอฮฺ

"วันนี้ข้าได้ให้สมบูรณ์แก่พวกเจ้าแล้ว ซึ่งศาสนาของพวกเจ้า และข้าได้ให้ครบถ้วนแก่พวกเจ้าแล้ว ซึ่งความกรุณาเมตตาของข้า

และข้าได้เลือกอิสลามให้เป็นศาสนาแก่พวกเจ้า "

(อัลมาอิดะฮ์ อายะฮฺที่ 3)

          อายะฮฺข้างต้นได้บ่งบอกถึงความสมบูรณ์ของศาสนาอิสลาม นั่นย่อมหมายถึงคำสั่งและคำห้ามของพระองค์นั้นครบถ้วนสมบูรณ์ อันแสดงออกถึงความเมตตาของพระองค์ที่มีต่อบ่าวผู้ศรัทธาต่อพระองค์ จึงไม่มีใครจะสามารถกล่าวได้เลยว่าอัลกุรอานขาดตกบกพร่องหรือขาดหายไป จวบจนยุคของเราเป็นเวลากว่าพันกว่าปีแล้วที่อัลลอฮฺ ตรัสไว้ชัดเจนว่าความสมบูรณ์ของศาสนานั้นมายังเราแล้ว อีกทั้งยังได้รับคำสัญญาจากพระเจ้าว่า จะทรงรักษาอัลกุรอานไว้

“แท้จริง เราได้ส่งข้อตักเตือน (คัมภีร์กุรอานลงมา) และเราจะเป็นผู้รักษามันอย่างแน่นอน”

(อัลฮิจรฺ อายะฮฺที่ 9)

           เพราะไม่มีสิ่งที่จะมีอำนาจเหนือกว่าพระผู้เป็นเจ้าอีกแล้ว ดังนั้นหากพระองค์ทรงสัญญาว่าจะรักษาอัลกรุอ่านไว้ นั่นย่อมเป็นสิ่งที่ชัดแจ้งว่าอัลกุรอานจะอยู่ครบถ้วนสมบูรณ์แน่นอน หากไม่เช่นนั้นแล้วคำสัญญาของพระเจ้าจะกลายเป็นเท็จไปในทันที

 อัลลอฮฺยังได้ตรัสอีกว่า ไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงพระดำรัสของพระองค์ได้

 "และถ้อยคำแห่งพระเจ้าของฉันนั้นครบถ้วนแล้ว ซึ่งความสัจจะและความยุติธรรมไม่มีผู้ใดเปลี่ยนแปลงบรรดาถ้อยคำของพระองค์ได้

และพระองค์นั้นคือผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงรอบรู้ "

 (อัลอันอาม อายะฮฺที่ 115)

          แต่แล้วความเป็นผู้สร้างของพระองค์ก็ถูกย่ำยีจากน้ำมือผู้ถูกสร้าง อีกทั้งยังแอบอ้างใช้ชื่อศาสนาที่พระองค์ประทานลงให้กับมวลมนุษย์อีกด้วย นั่นก็คือ กลุ่มรอฟีเฎาะชีอะฮฺ ที่ใส่ร้ายอัลกุรอานอย่างน่ารังเกียจและไม่น่าจะให้อภัย โดยกล่าวว่าอัลกรุอานฉบับปัจจุบันนั้นไม่สมบูรณ์ ถูกดัดแปลง ถูกซ่อนเร้น ดังหลักฐานที่ปรากฏอยู่ในตำราชีอะฮฺเอง

          อบีอับดิลละฮฺ กล่าวว่า “แท้จริง อัลกุรอานฉบับดั้งเดิมที่ญิบริลนำมามอบให้แก่ท่านนบีมุฮัมมัด มี 17,000 อายะฮฺ”  (อุศุลกะฮฟี หน้า 671) ในความเป็นจริงแล้วอัลกุรอานมีเพียง 6,236 อายะฮฺ และแน่นอนว่า ไม่มีมากกว่านี้และน้อยกว่านี้ เนื่องจากอัลลอฮฺทรงสัญญาว่าจะปกป้องรักษา แต่สิ่งที่น่าคิดก็คือ การนับอายะฮฺอัลกุรอานได้ถึง 17,000 อา-ยะฮฺ จากของจริง 6,236 อายะฮฺ ไม่ว่าเราจะนับในลักษณะใดก็ไม่มีทางที่จะทำได้แน่นอน

ยังไม่หมดเพียงเท่านั้น กลุ่มรอฟีเฎาะชีอะฮฺยังมีความเชื่อที่ใส่ร้ายอัลกุรอานและท้าทายอำนาจพระเจ้าเป็นอย่างมากด้วยหลักฐานที่อ้างถึง ในหนังสือมุสลิมต้องเข้าใจชีอะฮฺ (ซัรฟุดดีนอามีลี หน้า 9) “ในทุก ๆ สมัยนั้น แนวทางอิมามียะฮฺทั้งหมด ศรัทธาว่า อัลกุรอานถูกเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมในส่วนที่ไม่ใช่ของมันเข้าไป จำนวนมากถูกเพิ่มเติมและตัดทอน” (อัลฟัศลุ เล่ม2 หน้า 287) “แท้จริงอัลกุรอานนั้นไม่สามารถเป็นหลักฐานได้ เว้นแต่กับ “กอยยิม” (อิมามอะลี)“ (อัลกาฟี เล่ม 1 หน้า 169)

           จากหลักฐานสองต้นนี้ แสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า อัลกุรอานที่ใช้อยู่ในปัจจุบันที่ได้รับคำยืนยันจากอัลลอฮฺว่าจะทรงรักษาไว้นั้น ไม่ใช่ความจริง แม้แต่การนำอัลกุรอานไปใช้เป็นหลักฐานเพื่อสัจธรรมที่แท้จริงก็ยังทำไม่ได้ ยกเว้นแต่ท่านอาลี นี่คือสิ่งที่ชีอะฮฺใส่ร้ายต่ออัลกุรอาน เท่านั้นยังไม่พอรอฟีเฎาะชีอะฮฺกำลังจะบอกว่า อัลกุรอานไม่สมบูรณ์แล้วยังนำไปเป็นหลักฐานใด ๆ ไม่ได้เลยเว้นแต่ท่านอีมาม ซึ่งเท่ากับว่าอัลกุรอานไม่ใช่ทางนำ ! ไม่ใช่สิ่งที่อัลลอฮฺมอบให้มวลมนุษย์ซึ่งมาพร้อมกับเมตตา !! แต่รอฟีเฏาะชีอะฮฺกำลังจะบอกว่า อัลกุรอานนั้นโกหกไม่มีความเที่ยงแท้แน่นอนเลย !!! ในหนังสือเล่มเดียวกัน อ้างถึงอีกว่าการรายงานหลักฐานที่บอกว่าอัลกุรอานถูกบิดเบือนนั้นมีมากถึงสองร้อยสายรายงาน

  

     “รายงานจากท่านญาบิรว่า ฉันเคยได้ยินอบูญะฟัรได้กล่าวว่า ไม่มีผู้ใดในมวลมนุษย์อ้างว่าเขารวบรวมอัลกุรอานไว้ทั้งหมดดังที่อัลลอฮได้ประทานลงมา นอกจากเขาจะเป็นคนโกหก และไม่มีผู้ใดรวมและจดจำอัลกุรอานที่อัลลอฮได้ทรงประทานลงมา นอกจากาอลี บิน อบีตอเล็บและบรรดาอิมามหลังจากเขาเท่านั้น”

(อุศุลอัลกาฟี ของกุลัยนี่ 1 หน้า 284)

         จากหลักฐานของชีอะฮฺที่รายงานโดยอัลกุลัยนี่ ชีอะฮฺเชื่อว่าอัลกุรอานอยู่กับบรรดาอิมาม อัลกุรอานยังไม่ได้ถูกนำมาเผยแพร่สิ่งที่ชัดแจ้งแก่มวลมนุษย์ ซึ่งหากจะเชื่อตามชีอะฮฺ ก็เท่ากับว่ามวลมนุษยชาติไม่ได้รับอะไรเลยนอกจากความมดเท็จ นั่นคือชีอะฮฺกำลังกล่าวหาในอัลลอฮฺ พระผู้ทรงตรัสจริงเสมอ ชีอะฮฺกำลังใส่ร้ายว่าอัลกุรอานโกหก ชีอะฮฺกำลังทำลายความชัดแจ้งที่พระองค์อัลลอฮฺส่งมาเพื่อมวลมนุษยชาติ อัลกุรอานนั้นมีไว้เพียงบรรดาอีหม่ามกระนั้นหรือ มีไว้เพียงคนเพียงกลุ่มเดียวกระนั้นหรือ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นแล้วก็คงจะขัดแย้งต่อเป้าประสงค์เดิมของอัลกุรอานที่อัลลอฮฺได้ประทานลงมายังมวลมนุษยชาติ

“เดือนรอมะฎอน คือ เดือนที่อัลกุรอ่านได้ถูกประทานลงมา เพื่อเป็นทางนำสำหรับมวลมนุษย์

และเป็นหลักฐานชี้นำสู่แนวทาง ที่ถูกต้อง และจำแนกแยกแยะความจริงจากความเท็จ”

(อัลบะกอเราะฮฺ อายะฮฺ 185)

         นอกจากรอฟีเฎาะชีอะฮฺจะทำลายอัลกุรอานด้วยการมดเท็จแล้ว กลุ่มนี้ยังทำลายฮาดิษหรือวัจนะที่ท่านนบีมุฮัมมัด  เคยกล่าว เคยยอมรับ และเคยปฏิบัติไว้ กลุ่มนี้เขาไม่ได้บอก ตรง ๆ ว่าเขาไม่เอาฮะดิษนบี แต่เขาใช้วิธีทางอ้อมในการให้ร้ายแก่ฮาดิษ ในความเชื่อของรอฟีเฎาะชีอะฮฺนั้นมีหลักความเชื่อหนึ่งที่สอนว่า บรรดาอิมามนั้นมะอฺซูม (ปราศจากความผิด) ด้วยเหตุนี้การรับฮาดิษของชีอะฮฺนั้นจะรับเฉพาะเพียงทางเดียวคือเฉพาะสายที่มาจาอะฮฺลุ้ลบัยตฺ และไม่เอาการรายงานฮาดิษที่มาจากสายซอฮาบะฮฺแม้แต่คนเดียว ด้วยความเชื่อที่ว่าซอฮาบะฮฺไม่ใช่ชาวสวรรค์ทั้งหมด!

         ในเหตุการณ์พฤหัสวิปโยคเมื่อนบีมุฮัมมัด  มีอาการป่วยหนัก ท่านได้บอกว่าไปเอากระดาษกับปากกาเพื่อบันทึก ฉัน(นบี)จะสั่งเสียแก่พวกเจ้า เมื่อนบีมุฮัมมัด พูดจบก็เกิดความเห็นที่ขัดแย้งกันของบรรดาซอฮาบะฮฺที่อยู่ในสถานที่นั้น กลุ่มหนึ่งกล่าวว่าไปเอากระดาษเพื่อบันทึก แต่อีกกลุ่มหนึ่งกล่าวว่าไม่ต้องบันทึก นบี จะสั่งเสียอะไรอีกในเมื่อมีอายะฮฺอัลกุรอานลงมาว่า อิสลามสมบูรณ์แล้ว มีซอฮาบะฮฺท่านหนึ่งกล่าวขึ้นมาว่า นบีกำลังเพ้อไข้ ซึ่งชีอะฮฺกล่าวว่าคนที่พูดเช่นนั้นคือท่าน อุมัร บิน คอฏฏอบ คอลีฟะฮฺคนที่สองในอนาคตของประชาชาติอิสลาม เหตุการณ์ดังกล่าวชีอะฮฺอ้างว่านี่ไงที่นบีเคยกล่าวไว้ว่า หลังนบีตายจะมีอัซฮาบีย์บางส่วนเป็นชาวนรก

          ทั้ง ๆ ที่จริงแล้ว การที่นบีมุฮัมมัด กล่าวว่า อัซฮาบีย์บางส่วนเป็นชาวนรกนั้น นั่นก็คือแค่บางคน แต่ไม่ใช่ส่วนใหญ่ แต่ในความเชื่อของชีอะฮฺนั้น กลับเชื่อว่าเหลือซอฮาบะฮฺแค่สามคนที่ไม่ใช่ชาวนรก !จากญะฟัร อลัยฮิสสลาม ว่า ปรากฏว่าผู้คนได้ตกมุรตัด (สิ้นสภาพการเป็นมุสลิมทั้งหมด)นอกจากสามคนเท่านั้น ฉันจึงได้ถามว่า สามคนนั้นคือใคร เขาตอบว่า คือ มิกด๊าด บินอัสวัด, อบูซัรริน อัล-ฆิฟารีย์ และซัลมาน อัลฟารีซีย์”  จากฟุรูอุลกาฟีย์ โดยกุลัยนีย์ หน้าที่ 11 จากฮาดิษข้างต้น เราไม่สามารถจะกล่าวได้เลยว่าซอฮาบะฮฺเป็นแสนคนจะเหลือแค่สามคน ที่เป็นผลลัพธ์จากการพยายามเผยแผ่หลักการที่เที่ยงแท้ของอัลลอฮ !

          เรากล่าวอยู่เสมอว่า นบีมูฮัมมัด คือมหาบุรุษผู้ปลดแอกมนุษยชาติจากความมืดบอด แต่คนที่นบีเผยแผ่สำเร็จกลับมีแค่สามคนกระนั้นหรือ ? ไหนล่ะ ความยิ่งใหญ่ของการเผยแผ่ สัจธรรม ? นอกจากนั้นชีอะฮฺพยายามยัดข้อหาให้กับบรรดาชนแนวหน้าของซอฮาบะฮฺว่าเป็นชาวนรก แต่ชีอะฮฺไม่เคยแม้จะกล่าวเลยว่าใครคือชาวสวรรค์ นอกจากอะฮฺลุ้ลบัยต์ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว อะฮฺลุ้ลบัตย์นั้นย่อมเป็นชาวสววรค์แน่นอนไม่ต่างอะไรกับซอฮาบะฮฺ เพราะมีคำยืนยันจากอัลลอฮและฮาดิษนบีที่บอกไว้ว่าสหายของ นบี นั้นเป็นชาวสววรค์ เว้นแต่ไม่ใช่ผู้ศรัทธา

แต่ที่เราต้องตระหนักก็คือ ความหมายของคำว่าซอฮาบะฮฺระหว่างซุนนีและชีอะฮฺนั้นไม่เหมือนกัน

          มุสลิมซุนนีเชื่อว่าคนที่เป็นซอฮาบะฮฺคือ คนที่เกิดทันกับนบี เคยเจอกับนบี  และตายในสถานภาพที่เป็นมุสลิม แต่ชีอะฮฺกลับเล่นลิ้นว่าซอฮาบะฮฺทั้งหมดไม่ใช่ชาวสววรค์ เพราะไม่ใช่ทุกคนที่เป็นผู้ศรัทธา เนื่องจากซอฮาบะฮฺคือคนที่ทันกับนบี และคนที่อยู่กับนบีนั้นมีทั้งมุชริก ยิว และมุสลิม ดังนั้นซอฮาบะอฺจึงไม่ใช่ชาวสวรรค์ทั้งหมด นี่คือการตะฮฺกียะฮฺเวลาชีอะฮฺจะด่าทอซอฮาบะฮฺว่า ซอฮาบะฮฺเป็นชาวนรก

           หลังจากที่ชีอะฮฺกล่าวหาใส่ร้ายบรรดาซอฮาบะฮฺว่าเป็นชาวนรกเป็นมุนาฟิกแล้ว พวกเขายังแต่งเรื่องราวให้ร้ายแก่คอลีฟะฮฺและซอฮาบะฮฺที่มีบทบาทสำคัญในการรายงานฮาดิษด้วย เพราะเมื่อพวกเขากล่าวหาซอฮาบะฮฺว่าเป็นมูนาฟิก ก็เท่ากับว่าเขาได้สร้างความชอบธรรมให้กับตัวเองในเรื่องของการปฏิเสธฮาดิษนบี ที่มาจากซอฮาบะฮฺ แต่รับฮาดิษที่มาจากอิมามเท่านั้นเนื่องจากอิมามนั้นมีการรับรองชัดเจนว่าเป็นชาวสวรรค์และบริสุทธิ์

“และจงประจำอยู่แต่ในเรือนของพวกเธอ และอย่าปรากฏตัวอย่างเปิดเผยตามอย่าง (การปรากฏตัวใน) ยุคญาฮิลียะฮฺดั้งเดิม

จงดำรงทำละหมาด จงบริจาคซะกาต และจงภักดีต่ออัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์

แท้จริงอัลลอฮฺเพียงประสงค์ที่จะขจัดความไม่บริสุทธิ์ออกไปจากพวกเจ้า โอ้ อะหฺลุลบัยตฺ!

และทรงประสงค์ที่จะชำระพวกเจ้าให้บริสุทธิ์ด้วยความบริสุทธิ์อย่างยิ่ง"

 (อัลอะหฺซาบ อายะฮฺที่ 33)

          จากหลักฐานในอายะฮฺนี้ก็จะเป็นที่เข้าใจได้ว่าอะลุ้ลบัยต์นั้นบริสุทธิ์ แต่เนื่องจากพวกชีอะฮฺไม่นับบรรดาภรรยานบี ว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ตามอายะฮฺนี้ พวกเขาจึงสร้างเรื่องขึ้นมาอีกว่า อายะฮฺดังกล่าวหมายถึงเฉพาะลูกและผู้ชายเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับภรรยา โดยเฉพาะท่านหญิงอาอีชะฮฺ ! แล้วเหล่าบรรดาซอฮาบะฮฺอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อะลุ้ลบัยต์มีการรับรองเช่นนี้ไหม ...ไม่เลย ! บางคนเคยเป็นผู้ที่มีอิทธิพลในมักกะฮฺมาก่อน แล้วรับอิสลามก็ไม่ใช่ผู้บริสุทธิ์เฉกเช่นอะฮฺลุ้ลบัยต์แต่อย่างใด ดังนั้นไม่ใช่ชาวสวรรค์ทั้งหมดแน่

          ท่านอบูฮูรอยเราะฮฺผู้ที่รายงานฮาดิษไว้มากมาย เป็นผู้บทบาทด้านการบันทึกฮาดิษสูงมาก ก็ถูกกลุ่มชีอะฮฺกล่าวหาว่าเป็นมูนาฟิก เอาแนวคิดยิวไปปะปนกับฮาดิษ โดยพวกเขากล่าวว่า เป็นไปไมได้หรอกที่ อบูฮูรอยเราะฮฺที่เข้ารับอิสลามเพียงสองปีจะรายงานฮาดิษได้มากมายขนาดนั้น นี่คือสิ่งที่ชีอะฮฺทำลายฮาดิษของท่านนบีมุฮัมมัด ทางอ้อม โดยเอาตรรกะที่ใช้ไม่ได้มาใช้กับเหตุการณ์ต่าง ๆ