บทบาทและแนวทาง(มัสฮับ)ที่อันตราย
ในการทำลายอัล-กรุอานและอัล-หะดีษ (2)
โดย ...สุดารัตน์ สาดและ
รอฟีเฎาะชีอะฮฺแนวทางอันตราย
มัสฮับคืออะไร ชีอะฮฺคือมัสฮับหรือไม่ ?
คำว่า มัสฮับ คือ สำนักคิดทางฟิกฮฺ อันที่จริงหากจะดูที่ความหมายของคำว่ามัสฮับซึ่ง แปลว่า แนวทาง นั่นหมายถึงมัสฮับก็คือแนวทางของกลุ่มแนวคิด ซึ่งเรามักจะมองไปที่สำนักคิดทางฟิกฮฺหรือศาสนบัญญัติ ซึ่งสำนักคิดแบบนี้ไม่มีผลกระทบต่อความเป็นมุสลิม และหลักการทางศาสนาอิสลาม แต่ที่มีปัญหาก็คือ มัสฮับที่เป็นสำนักคิดทางอากีดะฮฺที่ผิดเพี้ยน เฉกเช่น รอฟีเฎาะชีอะฮฺ !
สำนักคิดทางอากีดะฮฺของพวกนี้พยายามที่จะปิดบังตัวเอง คอยหลีกเลี่ยงว่าเราต่างกันที่รูปแบบทางฟิกฮฺแต่หลักศรัทธาเหมือนกัน ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้วกลุ่มนี้ไม่ใช่มัสฮับ ความแตกต่างระหว่างกลุ่มนี้กับกลุ่มอื่นในอิสลาม ไม่ใช่เรื่องของการตีความทางฟิกฮฺ แต่เป็นความแตกต่างในเรื่องของอากีดะฮฺ !
จุดเริ่มต้นของรอฟีเฎาะชีอะฮฺแนวทางอันตราย
หลังการเสียชีวิตของท่านนบีมุฮัมมัด การสืบทอดตำแหน่งคอลีฟะฮฺผู้นำแห่งรัฐอิสลามนั้น มีความเห็นที่ขัดแย้งกันระหว่างชาวมูฮาญีรีนและอันศอร แต่สุดท้ายเหตุการณ์ในครั้งก็จบลงอย่างสงบ หลังจากมติจากทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องต้องกันว่าให้ ท่าน อบูบักร อัศศิดดิก เป็นผู้สมควรที่จะได้รับตำแหน่งนี้
เมื่ออบูบักรอัศศิดดิกเข้ารับตำแหน่งคอลีฟะฮฺ ซึ่งคือการได้รับมอบอำนาจจากบรรดามุสลิมทุกคน ให้เป็นผู้ใช้อำนาจในฐานะผู้นำสูงสุดแห่งรัฐอิสลาม หลังจากนั้นได้บังเกิดความวุ่นวาย เมื่ออับดุลลอฮฺ บิน สะบะอฺ ชายหนุ่มเชื้อสายยิว ผู้ที่อ้างตนว่าเป็นมุสลิม ได้ก่อกระแสใหม่เกี่ยวกับแนวคิดการสืบทอดตำแหน่งผู้นำสูงสุดในรัฐอิสลาม โดยอับดุลลอฮฺ บิน สะบะอฺอ้างว่าคนที่จะมาเป็นคอลีฟะฮฺสมควรอย่างยิ่งที่จะต้องมาจากครอบครัวท่านศาสนฑูตเท่านั้น เนื่องมีความใกล้ชิดมากกว่าคนอื่น ๆ
อับดุลลอฮ บิน สะบะอฺ เป็นคนที่คลั่งไคล้ในตัวท่าน อาลี บิน อบีฏอเล็บ เขาอ้างว่าตนนั้นมีความรัก ท่านนบี และวงศ์วานของท่านนบี อีกทั้งยังปล่อยข่าวเท็จว่าท่านนบี ได้สั่งเสียก่อนที่จะเสียชีวิตว่าให้ท่านอาลีเป็นคอลีฟะฮฺ อันเป็นการกล่าวเท็จที่ไม่มีหลักฐานจากคำสอนของท่านนบีมุฮัมมัด หรือวงศ์วานของท่านเลยแม้แต่น้อย
การสร้างกระแสของอับดุลลอฮฺ บิน สะบะอฺในช่วงเวลานั้น กลับถูกกลุ่มชีอะฮฺนำมาสร้างความชอบธรรมให้ตัวเอง โดยตลบตะแลงว่า อับดุลลอฮฺ บิน สะบะอฺเป็นบุคคลที่ไม่มีตัวตนในหน้าประวัติศาสตร์อิสลาม การที่ชีอะฮฺกล่าวเช่นนี้ เพื่อที่จะสร้างความชอบธรรมในการอ้างว่าท่านอาลีนั้นสมควรจะเป็นคอลีฟะฮฺหลังจากท่านนบี เสียชีวิต เนื่องจาก อับดุลลอฮฺ บิน สะบะอฺเป็นมูนาฟิก ดังนั้นหากตัดคนคนนี้ออกจากประวัติศาสตร์ไปแล้วก็จะทำให้ทัศนะที่ว่าตำแหน่งคอลีฟะฮฺของท่านอาลีถูกแย่งไปโดยอบูบกัรมีความน่าเชื่อถือขึ้นโดยทันที ซึ่งการกลบเกลื่อนประวัติศาสตร์ในประเด็นดังกล่าวกลายเป็นสิ่งที่ย้อนกลับมาฆ่าคนกลุ่มนี้เองว่าพวกเขาเป็นคนที่มดเท็จไร้ความน่าเชื่อถือ เพราะสามารถปฏิเสธได้แม้แต่ตำราของตัวเองที่ถูกจับได้ว่าผิด
ในหนังสือ ความเชื่อบางประการของลัทธิชีอะฮฺ อ้างถึง อัล-กุมมยี ที่ได้กล่าวในหนังสือ “อัล-มากอต วัลฟิรอก” ว่า อับดุลลอฮ บิน สะบะอฺนั้นมีตัวตนจริง และยังถือว่าเป็นผู้ที่ริเริ่มนำความเชื่อการเป็นอิมามของท่านอาลี และการกลับมาอีกครั้งของท่านมาเผยแพร่และยังเป็นผู้ที่ริเริ่มกล่าวร้ายและสาปแช่งของท่านอบูบักรฺ อุมัร อุษมาน และบรรดาซอฮาบะฮฺท่านอื่น ๆ เช่นเดียวกับ อัน-นุบัคตีย์ ที่ยอมรับในหนังสือที่มีชื่อว่า “ฟีรอก ชีอะฮฺ”และอัล-กัชชีย์ในหนังสือ “ริญาล อัล-กัชชีย์” และปัจจุบันในบรรดาชีอะฮฺผู้ที่ยอมรับว่า อับดุลลอฮ บิน สะบะฮฺ มีตัวตนจริง คือ มูฮัมหมัด อะลี อัล-มุอัลลิม ในหนังสือของเขาซึ่งมีชื่อว่า “อับดุลลอฮ บิน สะบะอฺ อัล-หะกีเกาะฮฺ อัล-มัจญ์ฮูละฮฺ” การยอมรับเช่นนี้ถือว่าเป็นหลักฐานที่ยิ่งใหญ่มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งทุกคนที่กล่าวถึงนั้นล้วนเป็นผู้รู้ชั้นแนวหน้าของชีอะฮฺรอฟีเฎาะ
จากหนังสือเล่มเดียวกัน อัล-บัฆดาดีย์ กล่าวว่า อัสสะบะบียะฮฺ (หมายถึง รอฟีเฎาะ) คือผู้ติดตาม (แนวคิดของ) อับดุลลอฮ บิน สะบะอฺ ที่เสแสร้งคลั่งไคล้ท่าน อาลี เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ อย่างเกินขอบเขต และยังกล่าวอ้างว่าท่านเป็นนบีท่านสุดท้าย และก็อ้างว่าอาลีคือพระเจ้า
จากหลักฐานตรงนี้จึงสามารถรับรองได้ถึงการมีอยู่จริงของอับดุลลอฮ บิน สะบะอฺ ในหน้าประวัติศาสตร์ เนื่องจากทั้งฝ่ายซุนนีและชีอะฮฺต่างก็มีบันทึกและยอมรับการมีตัวตนจริงของเขา