น้ำตากับการเตาบัต
อิบนุซอและห์
ด้วยพระนามของอัลเลาะห์ ผู้ทรงกรุณาเมตตาปรานีเสมอ
“และพวกเจ้าทั้งหลาย จงขอลุแก่โทษต่ออัลเลาะห์เถิด โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย เพื่อพวกเจ้าจะได้รับชัยชนะ”
(อันนูร 31 )
ชีวิตมนุษย์ส่วนมากจะตั้งอยู่บนนัฟซู (อารมณ์ใฝ่ต่ำ) ด้วยกันทั้งนั้น ทั้งความอยากได้อยากดีอยากมีอยากเด่น ส่วนน้อยที่จะมองเห็นถึงสัจธรรมความเป็นมนุษย์ ที่ตั้งอยู่บนลิขิตการกำหนดของอัลเลาะห์ รวมทั้งความดีและความชั่วก็เป็นสิ่งที่พระองค์ทรงลิขิตกำหนดไว้แล้วทั้งสิ้น หากแต่มนุษย์ต้องใช้สติปัญญาพิจารณาเลือกทำ เลือกปฏิบัติได้ ว่าสิ่งใดดีสิ่งใดชั่ว และมนุษย์ก็รับรู้ถึงผลลับที่จะตามมาว่าทำสิ่งใดมีผลอย่างไร แต่มนุษย์ส่วนมากใจเย็นคิดว่าคิดว่าไม่เป็นไร ยังไงก็ยังมีวันพรุ่งนี้ไว้ให้แก้ตัวเสมอ
“บาป” คำสั้นๆที่เกิดจากการกระทำมากมายของมนุษย์ การกระทำบาปคือสาเหตุที่ทำให้เกิดความมืดมนในหัวใจ ไม่ว่าจะเป็นบาปที่เกิดจากความตั้งใจ หรือเกิดจากความพลาดพลั้งลงไป หากเราได้เผลอไผลทำความผิดลงไปไม่ว่าจะเป็น ทางกริยา ,วาจา หรือจิตใจก็ตาม สิ่งที่จะชะล้างบรรดาความผิดเหล่านั้นได้ คือ การเตาบัต สำนึกผิดกลับเนื้อกลับตัวขอลุแก่โทษต่อ อัลเลาะห์ การเตาบัตสำนึกผิดกลับเนื้อกลับตัวจะไม่ถูกยอมรับเพียงแค่คำพูดที่ว่า “ฉันสำนึกผิดแล้ว” หรือ “ข้าพเจ้าผิดไปแล้ว” หรือ “ฉันขอโทษ” นั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งจากลมปากเท่านั้น หากแต่เราต้องเรียนรู้ถึงเงื่อนไขหลายๆอย่างที่ทำให้การเตาบัตสำนึกผิดของเราสมบูรณ์ เป็นที่ยอมรับต่อองค์อภิบาลผู้ทรงอภัย
ท่านศาสดามูฮำหมัด กล่าวไว้ว่า
“ทั้งหมดของลูกหลานนบีอาดัมนั้นทำผิด แต่ผู้ที่ดีที่สุดในบรรดาผู้ที่ทำความผิดคือ ผู้กลับเนื้อกลับตัว อย่างต่อเนื่อง”
(บันทึกโดย ติรมีซีย์ )
แต่อย่างไรก็ตามก่อนที่หัวใจจะถูกห่อหุ้มด้วยความมืดมิดจากบาปจนสนิทแน่น ถ้าหากเรารู้สึกตัวตื่นขึ้นจากห้วงแห่งความเผลอไผลนั้นได้แล้ว ทำการสำนึกผิดกลับเนื้อกลับตัวด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์ และความตั้งใจที่แน่วแน่ แน่นอนอัลลอฮ์ จะทรงรับการขอลุแก่โทษอภัยให้เรา และจะทรงประทานหนทางอันดีงามให้เราอย่างแน่นอน
เงื่อนไขของการเตาบัตสำนึกผิดกลับเนื้อกลับตัวนั้นอาจประกอบไปด้วยเงื่อนไขหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นการเสียใจต่อสิ่งที่ทำลงไป การตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าจะไม่หวนกลับไปทำอีก หรือคืนสิทธิ์ของบุคคลอื่นให้แก่เจ้าของที่แท้จริง และอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญและอาจจะทำให้การเตาบัตของเรานั้นสมบูรณ์และเป็นการแสดงออกถึงความจริงใจนั้น ก็คือ “น้ำตา” เราอาจใช้น้ำตาแสดงความเสียใจระบายความรู้สึกในหลายๆโอกาส แต่จะมีสักกี่ครั้งที่เราใช้น้ำตาลบล้างความผิด ระบายความรู้สึกสำนึกตนกลับเนื้อกลับตัวต่ออัลเลาะห์ มีสักครั้งไหมที่เราเสียน้ำตาให้กลับความผิดที่ทำลงไปทั้งที่เจตนาและพลาดพลั้ง
โดยส่วนมากสาเหตุการเสียน้ำตา อาจมีที่มาจาก ความรักไม่สมหวังอกหัก รักคุด แฟนทิ้งเสียใจมาก ก็จะใช้น้ำตาอ้อนวอนขอความเห็นใจ หาเหตุหาผลมาอธิบายต่างๆนาๆ เพียงเพราะขอให้รักคืนกลับมา หรือไม่ก็จะเสียใจเสียน้ำตาที่พ่อ,แม่,ญาติ,พี่น้อง กลับสู่ความเมตตาของอัลเลาะห์ หรือยิ่งไปกว่านั้นเสียน้ำตาให้กับภาพยนตร์ให้กับละครที่ดาราตีบทแตกแสดงได้ถึงพริกถึงขิง บางฉากบางตอนที่ตัวพระตัวนางไม่สมหวัง หรือไม่ก็พระเอกตาย นางเอกพิการ เราก็อินเนอร์ไปกับหนังไปกับละครเสียใจเสียน้ำตาโดยไร้ประโยชน์ ผู้กำกับก็ได้รับการยกย่องชมเชยถึงขีดความสามารถในการกำกับภาพยนตร์อย่างดีเยี่ยม แล้วผู้กำกับแห่งโลกนี้ที่สั่งใช้ให้เราประพฤติปฏิบัติแต่สิ่งที่ดีๆ ให้กระทำในสิ่งที่พระองค์ทรงใช้ออกให้ห่างไกลจากสิ่งที่พระองค์ทรงห้าม แต่มนุษย์เรากลับแสดงแต่สิ่งที่ตรงกันข้าม เราแสดงแต่บทบาทของบ่าวผู้ฝ่าฝืนต่อพระองค์ บ่าวผู้ปฏิบัติแต่สิ่งที่พระองค์ทรงห้าม บ่าวผู้กระทำแต่เรื่องที่ขาดทุน บ่าวผู้ทรยศ แล้วบทบาทบ่าวเจ้าน้ำตา บ่าวผู้น่าสงสาร ส่วนบ่าวผู้เสียอกเสียใจกับสิ่งต้องห้ามที่เราพลาดพลั้งทำลงไปทั้งที่เจตนาและไม่เจตนา เราเคยแสดงกันบ้างไหม ลองไตร่ตรองดูเถิด !
การเตาบัต หมายถึง “การที่ผู้กระทำผิดสำนึกตนสารภาพผิดกลับเนื้อกลับตัวและหันเข้าสู่อัลเลาะห์ ด้วยการขออภัยโทษ”
มนุษย์ทุกคนนั้นล้วนแล้วแต่มีความผิดด้วยกันทั้งนั้นไม่ว่าจะผิดมากหรือผิดน้อยก็ตาม ยกเว้นผู้ที่อัลเลาะห์ ได้ทรงปกป้องคุ้มครองไว้แล้วนั้นก็คือ ท่านศาสดามูฮำหมัด แม้ท่านศาสดาจะถูกปกป้องจากบรรดาความผิดแต่ท่านก็ยังมุ้งหน้าสู่การเตาบัตต่ออัลเลาะห์ วันละไม่ต่ำกว่า 100 ครั้งเป็นสม่ำเสมอ นั้นเป็นการแสดงให้เห็นว่าการเตาบัตมีความสำคัญต่อมนุษย์เป็นอย่างยิ่ง เพราะบาปทั้งหลายจะยังคงอยู่กับตัวผู้กระทำผิด ถ้าหากเขาไม่สำนึกตน ไม่ขออภัยโทษ ไม่ทำความดีลบล้าง และเมื่อบาปยังติดอยู่กับตัว เขาก็จะได้รับโทษจากบาปที่เขาทำไว้ ดังนั้นอัลเลาะห์ จึงได้ทรงกำชับให้มนุษย์ทั้งหลายมุ่งมั่นตั้งหน้าตั้งตาตั้งอกตั้งใจในการเตาบัตตนต่อพระองค์เมื่อรู้ว่าตัวเองทำผิด และพระองค์ก็ทรงสัญญาว่าจะทรงอภัยโทษให้กับผู้ที่ตั้งใจเตาบัต และทรงเตรียมผลตอบแทนที่ดีในสวรรค์ไว้เป็นรางวัล ดังที่พระองค์อัลเลาะห์ ตรัสความว่า
يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُوا تُوبُوا إِلَى اللهِ تَوْبَةً نَّصُوحاً عَسَى رَبُّكُمْ أَن يُكَفِّرَ عَنكُمْ سَيِّئَاتِكُمْ وَيُدْخِلَكُمْ جَنَّاتٍ تَجْرِي مِن تَحْتِهَا الأَنْهَارُ (سورة التحريم:8)
“โอ้ บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย จงขอลุแก่โทษต่ออัลลอฮ์ด้วยการลุแก่โทษอย่างจริงจังเถิด
บางทีอัลเลาะห์จะทรงลบล้างความผิดของพวกเจ้า และนำพวกเจ้าเข้าสู่สรวงสวรรค์ซึ่งมีสายน้ำไหลผ่านอยู่เบื้องล่างของมัน”
(ซูเราะห์ อัต-ตะห์รีม)
การเตาบัตอย่างจริงใจและแน่วแน่เรียกว่า “เตาบัตนาซูฮา” คือ การเตาบัตที่มีความมุ่งมั่นอย่างจริงจังและตั้งใจว่าจะไม่หวนกลับไปทำอีก และถ้าหากว่าพลั้งเผลอทำผิดอีกก็จงรีบทำการเตาบัตอีก ดังมีตัวอย่างผู้มุ่งมั่นสู่การเตาบัตที่ปรากฏในหะดีษ ว่า
“ครั้งหนึ่งสมัยยุคก่อนหน้าพวกท่าน มีชายผู้หนึ่งได้ฆ่าคนถึง 99 คน และเขาต้องการที่จะกลับเนื้อกลับตัว เขาจึงสอบถามผู้มีความรู้ที่สุด ดังนั้นจึงมีคนแนะนำให้เขาไปหานักนักบวชผู้หนึ่ง
และเขาก็เดินทางไปหานักบวชและถามกับนักบวชผู้นั้นว่า “เราได้ฆ่าคนถึง 99 คนแล้ว มีหนทางใดบ้างไหมที่เราจะสามารถเตาบัตตัว”
นักบวชตอบเพียงสั้นๆว่า “ไม่มี”
เมื่อฟังเช่นนั้น ด้วยความโมโห เขาจึงฆ่านักบวชผู้นั้นเสีย และกลายเป็นคนที่ฆ่าคนถึง 100 คน หลังจากนั้นมีคนแนะนำให้เขาเดินทางไปหานักปราชญ์ผู้หนึ่ง
เขาจึงเดินทางไปหาและสอบถามนักปราชญ์ผู้นั้นว่า “เขาได้ฆ่าคนถึง 100 คนแล้ว จะมีหนทางที่เขาจะเตาบัตตัวได้ไหม”
นักปราชญ์ผู้นั้นตอบว่า “ย่อมมีทางสำหรับเขาอย่างแน่นอน เพราะไม่มีสิ่งใดเลยที่จะขัดขวางการเตาบัต”
นักปราชญ์ได้แนะนำให้เขาอพยพไปยังเมืองซึ่งมีแต่คนทำความดีและให้ทิ้งเมืองเดิมของเขาเพราะมีแต่คนชอบทำความชั่ว เขาจึงตั้งใจออกเดินทางอพยพไปยังเมืองที่นักปราชญ์ผู้นั้นแนะนำ แต่เขากลับเสียชีวิตลงในระหว่างการเดินทางก่อนที่จะไปถึง เมื่อนั้นก็มีมาลาอิกะฮ์ 2 ท่าน คือ มาลาอิกะฮ์แห่งความเมตตาและมาลาอิกะฮ์แห่งการลงโทษ มาเพื่อรับวิญญาณของเขา
มาลาอิกะฮ์แห่งความเมตตาต้องการที่จะนำวิญญาณของเขาไป โดยกล่าวว่า “เขาผู้นี้ได้เตาบัตตนและมุ่งมั่นไปสู่อัลเลาะห์ด้วยใจจริง”
ในขณะเดียวกัน มาลาอิกะฮ์แห่งการลงโทษก็ต้องการที่จะนำวิญญาณของเขาไปโดยกล่าวว่า “ผู้นี้ไม่เคยทำความดีเลยแม้แต่น้อย”
อัลเลาะห์ ได้ส่งมาลาอิกะฮ์อีกตนมาเพื่อเป็นผู้ตัดสิน โดยบอกให้มาลาอิกะฮ์ทั้งสองวัดระยะทางจากจุดที่เขาเสียชีวิตไปยังทั้ง 2 เมือง เมืองไหนที่มีระยะทางใกล้กว่าก็ให้ถือว่าเขาเป็นพวกในเมืองนั้น มาลาอิกะฮ์ทั้ง 2 ท่านจึงช่วยกันวัดระยะทางและพบว่า เมืองที่เขาตั้งใจอพยพไปมีระยะทางใกล้กว่า (ด้วยการดลบันดาลและการช่วยเหลือของอัลเลาะห์ ) ดังนั้นมาลาอิกะฮ์แห่งความเมตตาจึงได้นำเอาวิญญาณของชายผู้นั้นไป
(รายงานโดยมุสลิม)
จากหะดีษข้างต้น มนุษย์ล้วนหนีไม่พ้นจากบรรดาความผิดของตนไม่ว่าจะเล็กเท่าพงธุลี หรือจะมากกว่าฟองในมหาสมุทร เราก็จะได้เห็นและได้รับผลจากมันอย่างแน่นอน เราจึงควรเอาใจใส่ในการเตาบัต โดยการเตาบัตที่แท้จริงจะต้องเกิดจากการสำนึกผิดจากก้นบึ้งของหัวใจและความตั้งใจจริงที่จะเลิกทำบาป มนุษย์จะต้องไม่ท้อถอยในการเตาบัต ไม่ว่าเขาจะพลั้งเผลอมากี่ครั้งก็ตามตราบใดที่เขายังมีลมหายใจอยู่ บาปไม่ว่าจะใหญ่แค่ไหนก็สามารถลบล้างได้ด้วยการเตาบัตขอให้มีความมุ่งมั่นตั้งใจจริงรวมอยู่ในการเตาบัตด้วย และอัลเลาะห์ ทรงให้ความช่วยเหลือผู้ที่มีความตั้งใจจริงในการเตาบัต ด้วยการช่วยเหลือที่ยิ่งใหญ่และมีเกียรติยิ่ง
ดังนั้น ผู้เขียนขอเตือนตัวของผู้เขียนเองและท่านผู้อ่านที่มีความตั้งใจจริงสู่การเตาบัตต่ออัลเลาะห์ ให้รู้สึกตัวและสำนึกผิดกลับเนื้อกลับตัวต่ออัลเลาะห์ ในบรรดาความผิดที่ทำลงไปโดยเจตนาและพลั้งเผลอ และขอให้การเตาบัตของผู้เขียนและท่านผู้อ่านเป็นการเตาบัตน่าซูฮา ได้รับการอภัยจากองค์อภิบาลผู้ทรงยิ่งใหญ่ จากบรรดาความผิดในอดีต ปัจจุบัน และความผิดที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ได้รับการชี้นำที่ถูกต้องและเที่ยงตรง ก่อนประตูแห่งการเตาบัตของเราจะถูกปิดลง ก่อนวิญญาณของเราจะถึงลูกกระเดือก ก่อนลมหายใจสุดท้ายจะสิ้นสุดลง ขออภัยต่ออัลเลาะห์ ก่อนที่จะไม่มีเวลาให้ขอ และทุกๆเช้าที่เรายังมีลมหายใจตื่นขึ้นมา จงจำไว้ว่าอัลเลาะห์ ให้ “โอกาสคุณ” แก้ตัวเสมอ
โรงเรียนมิฟตาฮุ่ลอุลูมิดดีนียะห์ (บ้านดอน)