ความมหัศจรรย์ของน้ำผึ้ง
โดย...อุมมุ มุบีน
พระเจ้าของเจ้าทรงดลใจ (วะฮียฺ) แก่ผึ้งว่า จงทำรังตามภูเขาและตามต้นไม้ และตามที่พวกเขาทำร้านขึ้น
แล้วเจ้า (ผึ้ง) จงกินจากผลไม้ทั้งหลาย (จากเกสรและผลไม้) แล้วจงดำเนินตามทางของพระเจ้าของเจ้าโดยสะดวกสบาย
มีเครื่องดื่ม (น้ำผึ้ง) ที่มีสีสันต่างๆ ออกมาจากท้องของมัน ในนั้นมีสิ่งบำบัดโรคแก่ปวงมนุษย์ (อัลลอฮฺทรงให้น้ำผึ้งมีคุณสมบัติในการบำบัดโรคได้)
แท้จริงในการนั้น แน่นอนย่อมเป็นสัญญาณแก่กลุ่มชนผู้ตรึกตรอง
(อันนะหฺลฺ : 69)
จากการที่น้ำผึ้งเป็น “สิ่งบำบัดโรคแก่ปวงมนุษย์” ดังที่กล่าวไว้ในอายะฮฺดังกล่าว ปัจจุบันการเลี้ยงผึ้งและผลิตภัณฑ์ที่ได้จากผึ้งจึงนำไปสู่การศึกษาวิจัยแขนงใหม่ ที่แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์ของโลก
ประโยชน์ด้านอื่นๆ ของน้ำผึ้งที่พอจะกล่าวได้ มีดังต่อไปนี้:-
เป็นสารอาหารที่ย่อยง่าย
เนื่องจากโมเลกุลของน้ำตาลในน้ำผึ้งสามารถเปลี่ยนเป็นน้ำตาลชนิดอื่นได้ เช่น (จากฟรุกโตสเป็นกลูโคส) น้ำผึ้งจะย่อยง่ายในคนที่มีกระเพาะไม่ดีแม้ว่าจะมีกรดสูงก็ตาม และยังช่วยให้ตับและลำไส้ทำหน้าที่ได้ดีขึ้น
กระจายเร็วในกระแสเลือด
เป็นแหล่งพลังงานที่ให้พลังงานได้รวดเร็ว โดยเมื่อผสมกับน้ำเพียงเล็กน้อยน้ำผึ้ง ก็จะกระจายเข้าสู่กระแสเลือดภายใน 7 นาที และจากการที่น้ำผึ้งปลอดจากโมเลกุลของน้ำตาล จึงช่วยให้สมองทำหน้าที่ได้ดีขึ้น เนื่องจากสมองเป็นส่วนที่ต้องใช้น้ำตาลมากที่สุด น้ำผึ้งเป็นองค์ประกอบตามธรรมชาติของน้ำตาล ได้แก่ กลูโคสและฟรุคโตส จากการศึกษาวิจัยเมื่อเร็วๆนี้พบว่าส่วนผสมของน้ำตาลอันมีลักษณะเฉพาะนี้ เป็นตัวช่วยขจัดความเหนื่อยล้าและเพิ่มสมรรถนะของร่างกายในด้านการออกกำลังและเล่นกีฬาที่มีประสิทธิภาพที่สุด
มีสารต้านเชื้อแบคทีเรีย และป้องกันการอักเสบ
ทั้งนี้จากการเปิดเผย ที่ได้จากการสังเกตด้านการรักษาพยาบาล และการศึกษาวิจัย น้ำผึ้งมีประสิทธิภาพอย่างมากในการขจัดการติดเชื้อ และเซลล์ที่ตายแล้ว โดยไม่ทำให้อวัยวะบริเวณนั้นรู้สึกเจ็บ ในการพัฒนาทำให้เกิดเนื้อเยื่อใหม่ มีการพูดถึงการใช้น้ำผึ้งเป็นยาไว้ในตำราโบราณที่เก่าแก่ที่สุด ปัจจุบันบรรดาแพทย์ และนักวิทยาศาสตร์เอง ก็กำลังทำการศึกษาวิจัย เกี่ยวกับประสิทธิภาพของน้ำผึ้งที่ใช้ในการรักษาบาดแผล
ดร.ปีเตอร์ โมลาน นักวิจัยชั้นนำเรื่องน้ำผึ้ง ซึ่งได้ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้มาเป็นเวลา 20 ปีแล้ว และเป็นศาสตราจารย์ด้านไบโอเคมีของมหาวิทยาลัยวายกาโตของนิวซีแลนด์ ได้กล่าวถึงน้ำผึ้งและคุณภาพด้านการต้านเชื้อจุลินทรีย์เอาไว้ดังนี้
จากการทดลองโดยใช้วิธีสุ่มตัวอย่าง พบว่าน้ำผึ้งให้ผลในการควบคุมการติดเชื้อของแผล ที่เกิดจากไฟลวกได้ดีกว่าการใช้ซิลเวอร์ซัลฟาไดอะซิน ซึ่งเป็นขี้ผึ้งต้านเชื้อแบคทีเรียที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในโรงพยาบาล (จากเรื่องน้ำผึ้งต้านผิวเสียที่เกิดจากการติดเชื้อ – www.apitherapy.com/honeysk.htm. )
ช่วยในการสร้างเลือด
น้ำผึ้งให้พลังงานที่เป็นส่วนสำคัญที่ร่างกายจำเป็นต่อการนำไปใช้ในการสร้างเลือด นอกจากนี้ยังช่วยทำให้เลือดสะอาด ให้ผลดีทำให้เลือดไหลเวียนได้สะดวก และยังทำหน้าที่ป้องกันปัญหาเกี่ยวกับเส้นเลือดฝอย และหลอดเลือดแดงแข็งตัว
นอกจากนั้น น้ำผึ้งยังป้องกันการเป็นแหล่งสะสม ของแบคทีเรีย ซึ่งคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียนี้เอง มีชื่อเรียกว่า “ สารต้านแบคทีเรีย ” ยังมีเหตุผลอีกหลายประการ ที่บ่งบอกถึงคุณภาพด้านการป้องกันเชื้อจุลินทรีย์ของน้ำผึ้ง เช่น การมีปริมาณน้ำตาลสูงซึ่งช่วยจำกัดจำนวนของจุลินทรีย์น้ำ การมีกรดสูง (ด่างต่ำ ) และส่วนประกอบที่ป้องกันแบคทีเรียออกไปจากไนโตรเจนซึ่งเป็นกระบวนการ ที่จำเป็นต่อการนำไนโตรเจน กลับมาใช้ใหม่ ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ และสารต้านอนุมูลอิสระในน้ำผึ้งยังช่วยป้องกันการเจริญเติบโตของแบคทีเรียได้ด้วย
มีสารต้านอนุมูลอิสระ
สำหรับผู้ที่ต้องการให้ตัวเองมีสุขภาพดีมากยิ่งขึ้น ควรบริโภคสารต้านอนุมูลอิสระ อันเป็นองค์ประกอบที่มีอยู่ในเซลล์ ซึ่งจะคอยกำจัดสารส่วนเกิน ที่เป็นอันตราย ที่เกิดจากการทำหน้าที่เผาผลาญทั่วๆไป ของร่างกาย โดยสารดังกล่าวนี้ จะเป็นตัวชะลอปฏิกิริยาทางเคมี ที่เป็นอันตรายและเป็นสาเหตุของการเกิดอาหารเน่าเสีย และโรคเรื้อรังต่างๆ นักวิจัยเชื่อว่า ผลิตภัณฑ์อาหาร ที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระอาจช่วยป้องกันโรคหัวใจและโรคมะเร็งได้ สารต้านอนุมูลอิสระที่พบมากในน้ำผึ้งได้แก่ พิโนเซ็มบริน ไพโนแบ็กซิน คริสซิน และ แกละจิน และโดยเฉพาะสารพิโนเซ็มบรินนั้นจะพบได้โดยง่ายในน้ำผึ้ง
เป็นแหล่งรวมวิตามินและแร่ธาตุ
น้ำผึ้งประกอบไปด้วยน้ำตาลชนิดต่างๆ ได้แก่ กลูโคส และฟรุคโตส รวมทั้งแร่ธาตุอื่น ๆ เช่น แมกนีเซียม โปแตสเซียม แคลเซียม โซเดียมคลอไรท์ ซัลเฟอร์ เหล็ก และฟอสเฟต น้ำผึ้งมีวิตามินบี 1 บี 2 วิตามินบี 6 บี 5 และบี 3 แร่ธาตุทุกชนิดที่ได้มา จะขึ้นอยู่กับคุณภาพของต่อมน้ำหวานของดอกไม้ และจากเกสรที่ผึ้งสะสมไว้ นอกจากแร่ธาตุดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ยังมีแร่ธาตุชนิดอื่น เช่น ทองแดง ไอโอดีน และสังกะสี ที่แม้จะพบในปริมาณเพียงเล็กน้อยก็ตาม
ใช้ในการรักษาบาดแผล
ในการนำน้ำผึ้งมาใช้ในการรักษาบาดแผลนั้น ต้องอาศัยความสามารถ ในการดูดซึมความชื้นในอากาศของน้ำผึ้งด้วย เพราะเป็นกระบวนการรักษา และช่วยป้องกันการเป็นแผลเป็น ทั้งนี้ เนื่องมาจากน้ำผึ้ง จะกระตุ้นการเจริญเติบโตของเซลล์บุผิวหนัง ซึ่งสร้างผิวใหม่ขึ้นมาปกคลุมบริเวณบาดแผลที่ได้รับการรักษา และด้วยวิธีนี้เองที่ แม้จะเป็นบาดแผลสำคัญ ก็สามารถใช้น้ำผึ้งรักษาบาดแผลนั้น ได้โดยไม่ต้องอาศัยวิธีปลูกถ่ายเนื้อเยื่อเข้ามาช่วย
ช่วยกระตุ้นให้มีการเจริญเติบโต ของเนื้อเยื่อขึ้นแทนที่
ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งอยู่ในกระบวนการรักษา กระตุ้นการสร้างหลอดโลหิตฝอยขึ้นมาใหม่ และการเจริญเติบโตของเซลล์ที่กลายเป็นเนื้อเส้นใยมาแทนเนื้อเยื่อ ที่เป็นตัวเชื่อมชั้นของผิวหนังที่อยู่ลึกลงไป รวมทั้งเส้นใยคอลเลเจน ที่ให้ความแข็งแกร่งในการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ
มีปฏิกิริยาต้านการอักเสบ
โดยจะลดอาการบวมบริเวณรอบ ๆ บาดแผลได้ ลักษณะดังกล่าวนี้เอง ช่วยให้การไหลเวียนของโลหิตดีขึ้น และกระบวนการรักษาเห็นผลเร็วยิ่งขึ้นและช่วยลดความเจ็บปวด เพราะจะไม่ติดเนื้อเยื่อของบาดแผลสำคัญ ดังนั้น จึงไม่ทำให้เนื้อเยื่อที่สร้างขึ้นใหม่ เกิดการฉีกขาด และไม่รู้สึกเจ็บปวด ในกรณีที่มีการตกแต่งบาดแผล หรือต้องทำแผล
ทั้งนี้ การมีคุณภาพ ในการยับยั้งการเจริญเติบโต ของจุลิน-ทรีย์ดังกล่าว ถือเป็นสิ่งที่มีคุณค่าอย่างมาก เนื่องจากน้ำผึ้งจะเป็นตัวป้องกันไม่ให้บาดแผลเกิดการติดเชื้อ และให้ผลดีเต็มที่ในแผลที่ติดเชื้อ ทำให้หายดีเร็วยิ่งขึ้นแม้ว่า จะเป็นบาดแผลที่เกิดจากแบคทีเรียสายพันธุ์ที่สามารถต้านยาปฏิชีวนะได้ก็ตาม น้ำผึ้งไม่เหมือนกับยาฆ่าเชื้อประเภทแอนติเซฟติก และแอนติไบโอติค (ยาปฏิชีวนะ) ทั้งหลาย คือ ไม่มีผลเสียในเรื่องของกระบวนการรักษา ที่อาจให้ผลในทางตรงกันข้าม ซึ่งเป็นอันตรายต่อเนื้อเยื่อของบาดแผลนั้น ๆ
จากข้อมูลนี้เอง เห็นได้ชัดว่า “น้ำผึ้งนั้นมีคุณภาพมหาศาลในด้านการรักษา” และไม่ต้องสงสัยเลยว่าสิ่งนี้เป็นหนึ่งในบรรดาความมหัศจรรย์ทั้งหลายในอัลกุรอานของพระองค์อัลลอฮฺ ผู้ทรงพลานุภาพได้ทรงบอกเอาไว้...
มูลนิธิ ชี้นำสู่สันติสุข