การกตัญญูและการเนรคุณต่อผู้บังเกิดเกล้า
โดย อาจารย์ ดารี บิน อะหฺมัด
จากโองการแห่งอัลกุรอาน พระองค์อัลลอฮ์ ตรัสความว่า
“และสูเจ้าทั้งหลายจงเคารพสัการะอัลลอฮ์ และอย่าให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นภาคีพระองค์ และจงทำดีแก่ผู้บังเกิดเกล้าทั้งสอง”
(ซูเราะฮ์ อัน-นิซาอฺ :36)
“จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ท่านทั้งหลายจงมา ฉันจะอ่านให้ฟังสิ่งที่พระเจ้าของพวกท่านได้ทรงห้ามแก่พวกท่านไว้
คือ ท่านทั้งหลายจะต้องไม่ให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นภาคีกับพระองค์ และจงทำดีแก่ผู้บังเกิดเกล้าทั้งสอง”
(ซูเราะฮ์ อัล-อันอาม :151)
“และพระเจ้าของเจ้าได้บัญญัติไว้ว่า สูเจ้าทั้งหลายจะต้องไม่เคารพสักการะ นอกจากพระองค์เท่านั้น และจงทำดีแก่ผู้บังเกิดเกล้าทั้งสอง
บางทีอาจจะคนใดในสองคน หรือทั้งสองคนบรรลุวัยชราอยู่ที่เจ้า ก็จงอย่าได้กล่าวแก่เขาทั้งสองว่า อุฟ (เป็นคำที่แสดงถึงถึงความรำคาญ และรังเกียจ)
และจงอย่าขับไล่เขาทั้งสอง และจงกล่าวแก่ทั้งสองอย่างสุภาพและอ่อยโยน และจงน้อมกายแห่งการถ่อมตนลงแก่เขาทั้งสองอันเนื่องจากความเอ็นดู เมตตา
และจงกล่าวว่า “ ข้าแต่พระเจ้าแห่งข้าพระองค์ โปรดเอ็นดู เมตตา แก่เขาทั้งสองด้วยเถิด เช่นเดียวกับที่เขาทั้งสองได้เลี้ยงดูข้าพระองค์มาตั้งแต่เยาว์วัย
พระเจ้าของสูเจ้าทั้งหลายนั้นทรงเป็นผู้รู้ยิ่งในสิ่งที่อยู่ในจิตใจของสูเจ้าหากสูเจ้าทั้งหลายจะเป็นคนดีแล้ว
แน่นอนพระองค์นั้นทรงเป็นผู้ทรงอภัยโทษแก่บรรดาผู้กลับเนื้อกลับตัวเสมอ”
(ซูราะฮ์ อัล-อิสรออฺ :23-25)
จากฮะดีสของท่านเราะซูล
จากรายงานของท่านอะบีฮุร็อยเราเราะฮ์ว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ได้กล่าวว่า
“ ไม่มีบุตรคนใดจะตอบแทนผู้บังเกิดเกล้าของเขา (ให้ครบถ้วนได้) นอกจากว่าเขาได้พบผู้บังเกิดเกล้าของเขาเป็นทาส
แล้วขาก็ซื้อผู้บังเกิดเกล้าของเขากลับคืน เพื่อปลดปล่อยเขาเป็นอิสระ”
( เล่าโดย มุสลิม และอะบูดาวุด)
จากรายงานของท่านอับดุลลอฮ์บุตรของอัมรฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุมา ว่า
ได้มีชายคนหนึ่งมาหาท่านเราะซูล และกล่าวว่า “ ฉันมาทำสัตยาบันแก่ท่านในการอพยพ และฉันได้ละทิ้งบิดา และมารดาของฉันไว้ในสภาพที่ทั้งสองกำลังร้องไห้อยู่”
แล้วเราะซูลุลลอฮ์ได้กล่าวว่า “ เจ้าจงกลับไปหาท่านทั้งสองเถิด แล้วจงทำให้ท่านทั้งสองหัวเราะ เช่นเดียวกับที่เจ้าได้ทำให้ท่านทั้งสองร้องไห้”
( เล่าโดย อะบูดาวุด)
จากรายงานของอับดุลลอฮ์บุตรของมัสอูด เราะฎิยัลลอฮุอันฮุมา ว่า
“ ฉันได้ถามท่านเราะซูล ว่า งานใดเป็นที่โปรดปรานแก่อัลลอฮ์ยิ่ง?”
ท่านได้กล่าวว่า “ คือการละหมาดตามเวลาของมัน ”
ฉันได้กล่าว่า “ แล้วก็งานใดอีก ”
ท่านกล่าวว่า “ การทำดีต่อผู้บังเกิดเกล้าทั้งสอง ”
ฉันได้กล่าวว่า “ แล้วก็งานใดอีก”
ท่านกล่าวว่า “ การต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮ์ ”
(เล่าโดย อัล-บุคอรีย์ และมุสลิม)
จากรายงานของอะบีฮุร็อยเราะฮ์ ว่า มีชายคนหนึ่งมาหาท่านนบี โดยที่จะขออนุญาตท่านในการญิฮาด (การสู้รบเพื่อป้องกันศาสนา)
แล้วท่านได้กล่าวว่า “ผู้บังเกิดเกล้าของเจ้ายังมีชีวิตอยู่หรือ?
เขากล่าวว่า “ ครับ” ( หมายถึงยังมีชีวิตอยู่)
ท่านได้กล่าวว่า “ เจ้าจงดิ้นรนต่อสู้เพื่อเขาทั้งสองเถิด”
(เล่าโดย มุสลิม และ อะบูดาวุด)
จากรายงานของอัสมาอฺ บินติ อะบีบักรฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุมา ว่า
“ มารดาของฉันได้มาหาฉันขณะที่ท่านเป็นหญิงมุชริกอยู่ในสมัยกุร็อยชฺ แล้วฉันได้ขอให้ท่านเราะซูล ชี้ขาด โดยกล่าวว่า
“ มารดาของฉันได้มาหาฉันในฐานะผู้ปรารถนา (ความช่วยเหลือ) ฉันจะติดต่อกับมารดาของฉันได้ไหม? ”
ท่านกล่าวว่า “ จงติดต่อกับมารดาของเจ้าเถิด ”
( เล่าโดย อัล-บุคอรีย์ และมุสลิม)
จากรายงานของอะบีอุมามะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ว่า
“ แท้จริงมีชายคนหนึ่งกล่าวขึ้นว่า ยา เราะซูลุลลอฮ์ ! “ อะไรคือสิทธิของผู้บังเกิดเกล้าทั้งสองที่อยู่เหนือบุตรของเขา”
ท่านได้กล่าวว่า “ ทั้งสองนั้น คือสวรรค์ของเจ้าและนรกของเจ้า”
(เล่าโดย อิบนุฮิบบาน)
คัดจาก วารสารสายสัมพันธ์ ( อัร-รอบิเฏาะฮ์ )