11 กันยา'เคาท์ดาวน์อเมริกา
  จำนวนคนเข้าชม  6237

11 กันยา'เคาท์ดาวน์อเมริกา

อ.บรรจง  บินกาซัน

          ในตอนเป็นเด็กผมชื่นชอบภาพยนต์คาวบอยอเมริกันจากฮอลลีวู้ดเป็นอย่างมาก เพราะเนื้อเรื่องตื่นเต้นเร้าใจ พระเอกในภาพยนต์ทั้งเท่ห์และเก่ง จนหลายคนเป็นพระเอกในดวงใจผมและเพื่อนรุ่นเดียวกัน เราดูฉากการต่อสู้ที่ดุเดือดระหว่างคาวบอยกับอินเดียแดงอย่างสนุกสนาน และสะใจเมื่อคาวบอยปราบหรือฆ่าพวกอินเดียแดงได้ โดยไม่รู้สึกว่านั่นเป็นการรุกราน การปล้นชิงทรัพยากร การฆาตกรรม การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่คนผิวขาวกระทำต่อชาวอินเดียแดงที่ออ่นแอกว่า มิหนำซ้ำคนที่ดูภาพยนต์คิดว่าการกระทำเยี่ยงนั้นเป็นการกระทำของวีรบุรุษ

          เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่พอมีสติปัญญา ผมและเพื่ออีกหลายคนพึ่งทราบว่า ทวีปอเมริกาเหนือเดิมทีเป็นดินแดนของชนเผ่าอินเดียแดง แต่เมื่อชาวตะวันตกอพยพไปหาเสรีภาพในการนับถือศาสนา ชาวตะวันตกเข้าไปเข่นฆ่า ขับไล่ และยึดแผ่าดินของชาวอินเดียแดงด้วยอาวุธที่ทันสมัยกว่า มิหนำซ้ำยังเอาพฤติกรรมของตนเองส่งไปล้างสมองเด็กทั่วโลกให้เห็นความชั่วว่าเป็นวีรกรรมและกอบโกยเงินสร้างความมั่งคั่งให้แก่ชาติของตนมาโดยตลอด

     ในอดีตสื่อภาพยนต์จึงเป็นเครื่องมือสนับสนุนการทำสงคราม โดยการล้างสมองมนุษย์ให้เห็นว่าการรุกรานของผู้แข็งแรงต่อผู้อ่อนแอเป็นความชอบธรรม

          สหรัฐอเมริกาก่อร่างสร้างตัวด้วยสงครามและการปล้นชิงทรัพย์ จนกระทั่งเป็นมหาอำนาจภายในเวลาประมาณ 200 ปี เมื่อโลกเจริญมากขึ้นนโยบายทำสงครามของสหรัฐจึงถูกผู้คนทั่วโลกต่อต้าน แต่นั่นก็มิได้ทำให้โลกเกิดสันติภาพ เพราะรัฐบาลสหรัฐอเมริกาทุกสมัยเสพติดสงครามเสียแล้ว..... ถ้าโลกไม่มีสงครามสหรัฐอเมริกาก็ลำบาก เพราะอุตสาหกรรมการผลิตอาวุธทำให้เกิดการจ้างงานเป็นจำนวนมาก ซึ่งรัฐบาลอเมริกาสามารถเก็บภาษีจากชาวอเมริกัน และมีรายได้จากการขายอาวุธให้แก่ชาติต่างๆเป็นจำนวนมหาศาล

ดังนั้นเพื่อให้สงครามดำรงอยู่ สหรัฐอเมริกาจึงต้องสร้างเหตุผลขึ้นมา และใช้สื่อเพื่อเพร่เหตุผลในการทำสงครามต่อไป

          กรณีที่สื่อกระแสหลักของอเมริกัน CNN BBC ออกมาแพร่ข่าวว่า อดีตประธานาธิบดี ซัดดัม ฮุดเซน ประเทศอิรัก สะสมอาวุธทำลายร้ายแรง และกรณีเหตุการณ์เครื่องบินโดยสารพุ่งชนตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2001 เป็นตัวอย่างของการใช้สื่อทันสมัยแพร่ขยายเหตุผลที่ตัวเองสร้างขึ้นเพื่อทำสงครามรุกรานชาติมุสลิม เหมือนกับที่เข่นฆ่าสังหารชาวอินเดียแดงในอดีตอย่างที่ผ่านมา

         การถ่ายทอดสดผ่านดาวเทียมเพื่อให้คนทั่วโลกได้เห็นกองเรือสหรัฐยิงขีปนาวุธโจมตีอิรักและอัฟกานิสถาน ก็คือการแสดงแสนยานุภาพ และไม่ต่างอะไรกับการสาธิตอาวุธทันสมัยให้ชาติต่างๆ ได้เห็นเพื่อตัดสินใจในการซื้อไว้ประจำกองทัพ แต่เมื่อไม่มีเหตุผลที่จะอธิบายต่อชาวโลกในการรุกรานเช่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ในชาติอื่นๆ อย่างเช่นลิเบีย สื่อกระแสหลักอเมริกาอย่าง CNN BBC ก็หุบปากเงียบ ไม่ออกมาแพร่ภาพให้ชาวโลกเห็นว่า กองทัพนาโต้ใช้เครื่องบินขับไล่ทั้งมีคนขับและไร้คนขับ สนับสนุนพวกกบฏในลิเบียยิงขีปนาวุธสังหารพลเรือนที่บริสุทธิ์เสียชีวิตหลายพันคน ไม่เว้นแม้กระทั่งเดือนถือศีลอดของชาวมุสลิม เพียงเพื่อไล่ล่าประธานาธิบดี มุอัมมาร์ กัดดาฟี่ เพียงคนเดียว

          ช่วงทศวรรษที่ผ่านมาสหรัฐพ่ายแพ้จีนในสมรภูมิการค้าอย่างหมดรูป เพราะจีนเป็นประเทศใหญ่และมีอิทธิพล สหรัฐจึงไม่กล้าทำกับจีนเหมือนที่ทำกับชาวอินเดียแดง ดังนั้นสหรัฐจึงหันมารุกรานเข่นฆ่าชาวอัฟกานิสถาน ชาวอิรัก และชาวลิเบีย เพื่อปล้นชิงทรัพยากรแทน แต่ในขณะนี้รัฐบาลสหรัฐ และชาวอเมริกันรู้ดีว่า ประเทศของตนกำลังติดหล่มสงครามจนยากจะถอนตัวออกพร้อมกับชัยชนะ

นายเฮนรี คิสซิงเจอร์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐกล่าวว่า "สงครามเต็มรูปแบบถ้าไม่ชนะก็คือแพ้ แต่สงครามกองโจร ถ้าไม่แพ้ก็คือชนะ"

          ปัจจุบันรัฐบาลสหรัฐกำลังกระอักเลือดรับผลกรรมจากสงครามที่รัฐบาลทุกสมัยที่ผ่านมาได้ก่อไว้ โดยต้องใช้จ่ายเงินจำนวนมากดูแลทหารผ่านศึกที่พิการจากสมรภูมิตะวันออกกลาง และสถิติทหารผ่านศึกที่เป็นโรคเครียดจากสงคราม กลับมาทำร้ายครอบครัวตนเอง ชาวอเมริกันถูกตัดสวัสดิการเพราะรัฐบาลมีหนี้สินจากการทำสงครามมากขึ้น และปัญหาจากภัยพิบัติที่เกิดขึ้นเป็นประจำ

          สงสารชาวอเมริกันที่ยังเข้าใจผิดคิดว่า รัฐบาลของตนเป็นพระเอกเหมือนในภาพยนต์คาวบอยในอดีต ดังที่ผมรู้สึกเมื่อตอนเป็นเด็ก เพราะในขณะที่ชาวอเมริกันกำลังยากจนนั้น คนในรัฐบาลอเมริกันกลับร่ำรวยจากการซื้อขายอาวุธและมีรายได้จากบริษัททหารรับจ้างที่กระทรวงกลาโหมจ้างทำสงครามควบคู่ไปกับทหารประจำการ

         11 กันยายน 2001 เป็นวันสุดยอดของการวางแผนประสานเทคโนโลยีล้ำยุคในการควบคุมเครื่องบินทางไกล กับการระเบิดทำลายตึกใหญ่ และการเผยแพร่ข่าวสารลวงโลก แต่วันนั้นก็เป็นวันเริ่มต้นความเสื่อมถอยของสหรัฐอเมริกาเช่นกัน

 

 ที่มา : เอกสารข่าว มูลนิธิเพื่อศูนย์กลางอิสลามแห่งประเทศไทย