กลุ่มชนที่ลืมตัวเอง....?
“ พวกเจ้าใช้ผู้คนให้กระทำความดี โดยที่พวกเจ้าลืมตัวของพวกเจ้าเองกระนั้นหรือ? และทั้งๆที่พวกเจ้าอ่านคัมภีร์กันอยู่ แล้วพวกเจ้าไม่ใช้ปัญญาดอกหรือ ? ”
(ซูเราะฮฺ อัล-บะกะเราะฮฺ : 44)
กลุ่มชนบะนีอิสรออีล หนึ่งในกลุ่มชนที่อัลลอฮ์ ติเตียนพวกเขาจากการประพฤติที่ออกนอกลู่นอกทาง กระทำสิ่งที่ไม่ชอบด้วยสติปัญญา และไม่ชอบด้วยบัญญัติศาสนา นั่นคือใช้ให้ผู้อื่นทำความดี แต่ตัวเองกลับไม่กระทำ พระองค์ทรงติเตียนเพื่อให้พวกเขาเลิกประพฤติผิดดังกล่าว
อนึ่ง พวกที่อ้างอยู่เสมอว่า พวกเขาประเสริฐกว่าประชาชาติอื่น เพราะพวกเขาได้รับคัมภีร์จากพระผู้เป็นเจ้านั้น สมควรที่พวกเขาจะประพฤติตนตามบัญญัติ ซึ่งปรากฏอยู่ในคัมภีร์อย่างเคร่งครัด แต่น่าเสียดายที่พวกเขาไม่ได้อ่านคัมภีร์ด้วยความใคร่ครวญ ดังนั้นความศรัทธาของพวกเขาจึงมีเปอร์เซ็นต่ำ ดังตัวอย่างจากนักปราชญ์ และนักบวชซึ่งเป็นผู้ที่ทำหน้าที่แนะนำสั่งสอน มักไม่ยอมกล่าวความจริง นอกจากที่พ้องกับความต้องการของเขาเองเท่านั้น หรือไม่ก็อุปโลกน์เรื่องขึ้นเอง โดยไม่คำนึงถึงบทบัญญัติที่แท้จริง
เกี่ยวกับลักษณะของท่านนบีมุฮัมมัด นั้นมีปรากฏอยู่ในคัมภีร์ไบเบิ้ลเดิม ตอนหนึ่งว่า
“แท้จริงพระองค์จะทรงให้มีนะบี คนหนึ่งจากพี่น้องของพวกเขา ซึ่งเขาจะธำรงไว้ซึ่งความจริง”
และปรากฏในพระบัญญัติบทที่ 18 วรรคที่ 17 ความว่า
“พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสแก่ฉัน (มูซา) ว่า พวกเจ้าจงทำให้ดี ในสิ่งที่พวกเจ้าพูด”
พวกบนีอิสรออีลได้บิดเบือนข่าวเกี่ยวกับท่านนบี มุฮัมมัด โดยให้พ้องกับความต้องการของพวกเขา ความจริงพวกอิสรออีลมีวันสำคัญทางศาสนาหลายวันที่ให้รำลึกถึงความกรุณาของอัลลอฮ์ และส่งเสริมให้ธำรงไว้ซึ่งศาสนา แต่วันเวลาอันเนิ่นนาน ทำให้หัวใจของพวกเขาแข็งกระด้าง และหันเหออกจากคำสอนของศาสนา
ความที่ว่า “ พวกเจ้าใช้ให้ผู้คนกระทำความดี โดยที่พวกเจ้าลืมตัวของพวกเจ้าเองกระนั้นหรือ ?”
มีรายงานจากท่านอิบนิอับบ๊าสว่า อายะฮ์นี้ถูกประทานลงมาเกียวกับนักปราชญ์ยิวแห่งนครมะดีนะฮ์ เนื่องจากพวกเขาได้แนะนำบางคนเป็นการลับๆให้ศัทธาต่อท่านนบีมุฮัมหมัด โดยที่พวกเขาเองไม่ยอมศัทธา
อัซสุดีย์กล่าวว่า “ พวกเขาเคยกำชับประชาชนให้เชื่อฟังอัลลอฮ์ และห้ามปรามมิให้ฝ่าฝืนพระองค์ ทั้งๆที่พวกเขาเองกระทำในสิ่งที่พวกเขาห้าม”
คำว่า “ ลืมตัวเอง “ นั้น หมายถึงละเลยตัวเองเนื่องจากความหย่อนยานต่อการศัทธา เพราะตามปกตินั้นมนุษย์ย่อมจะไม่ลืมตัวเองในประโยชน์ที่ตนจะได้รับ แต่ที่พระองค์ทรงใช้คำนี้ เพื่อสกิดใจให้สำนึกในสิ่งอันเป็นหน้าที่ที่ตนจะต้องปฏิบัติ คล้ายกับพระองค์ทรงกล่าวแก่พวกเขาว่า
“ถ้าพวกเจ้าเชื่อมั่นในคำสั่งของคัมภีร์ที่ให้กระทำความดี ละเว้นความชั่ว จนกระทั่งแนะนำผู้อื่นให้ปฏิบัติแล้วไซร้ เหตุไฉนพวกเจ้าเองไม่ปฏิบัติเล่า?”
ข้อความดังกล่าวนี้ เป็นการตำหนิอย่างรุนแรง เพราะผู้ที่ใช้ให้คนอื่นกระทำในสิ่งที่ตนไม่กระทำนั้น นับเป็นการสร้างหลักฐานมัดตัวเองด้วยลมปากของตน
ความว่า “ ทั้งๆที่พวกเจ้าอ่านคัมภีร์กันอยู่ แล้วพวกเจ้าไม่ใช้ปัญญาดอกหรือ ?”
หมายถึง พวกนักปราชญ์ และบักบวชของอิสรออีลย่อมรู้ดีว่า อะไรถูกและอะไรผิด ยิ่งกว่านั้นพวกเขารู้อีกว่า ถ้าพวกเขาไม่ปฏิบัติสิ่งอันเป็นหน้าที่ที่จำเป็นแล้ว จะเกิดอะไรขึ้นแก่พวกเขา ทั้งนี้เนื่องจากพวกเขาอ่านคัมภีร์กันอยู่ แต่แทนที่พวกเขาจะปฏิบัติในฐานะผู้รู้ กลับเฉยเมยเสีย แล้วใช้ให้ผู้อื่นปฏิบัติ
ส่วนความที่ว่า “ แล้วพวกเจ้าไม่ใช้ปัญญาดอกหรือ ?” เป็นคำถามในเชิงปฏิเสธ เพื่อย้ำว่าการกระทำของพวกเขานั้น มิใช่อื่นใดแต่เป็นความมุ่งหมายของคัมภีร์หากแต่เป็นการกระทำที่จงใจฝ่าฝืน ทั้งๆที่รู้ เพราะว่าเห็นแก่ทรัพย์และเกียรติที่บรรดาลูกน้องผู้งมงายหยิบยื่นให้สำคัญกว่าคำสั่งของพระผู้เป็นเจ้า และมีค่าเหนือกว่าสิ่งที่พระองค์ทรงเตรียมไว้ตอบแทน
อนึ่ง ข้อความของอายะฮ์ดังกล่าว แม้ว่าจะมุ่งหมายในชาวยิว แต่ก็เป็นบทเรียนแก่ผู้คนทั่วๆไปด้วย ดังนั้นประชาชาติใดก็ตาม สิ่งใดๆทั้งที่เป็นส่วนบุคคล และส่วนรวมย่อมจะต้องระมัดระวัง อย่าให้เป็นเช่นสภาพของยิว เพราะจะทำให้ตกอยู่ในฐานะเดียวกัน ทั้งนี้เพราะการตอบแทนของอัลลอฮ์ ขึ้นอยู่กับผลงาน หาใช่ขึ้นอยู่กับผู้หนึ่งผู้ใด หรือชนชาติหนึ่งชนชาติใดโดยเฉพาะก็หาไม่
คัดจาก วารสารสายสัมพันธ์ ( อัร-รอบิเฏาะฮ์ )