ผู้ก่อกบฏ (ผู้ละเมิด)
ผู้ก่อกบฏ
คือ กลุ่มบุคคลที่เป็นภัยอันตรายและไม่ปฏิบัติตาม ซึ่งพวกเขาต่อต้านผู้นำโดยการตีความที่ชอบด้วยกฎหมาย พวกเขาต้องการที่จะถอดถอน ขัดแย้ง ทำลายการเชื่อฟังปฏิบัติตามผู้นำ
ลักษณะของผู้ก่อกบฏ
บุคคลทุกกลุ่มที่ไม่ปฏิบัติตามหน้าที่หรือได้แยกตัวออกจากผู้นำของมวลมุสลิมหรือได้ถอนตัวออกจากการปฏิบัติตามผู้นำ ดังนั้นพวกเขาถือว่าเป็นกลุ่มกบฏผู้อธรรมและบรรดากบฏก็ยังเป็นมุสลิมไม่ได้เป็นผู้ปฏิเสธแต่อย่างใด
วิธีการปฏิบัติต่อผู้ที่เป็นกบฏ
1. เมื่อผู้เป็นกบฏได้ออกมาต่อต้านผู้นำจำเป็นที่ผู้นำจะต้องส่งคนไปเจรจาแล้วถามพวกเขาในสิ่งที่ต้องการ หากพวกเขาได้บอกถึงสิ่งที่พวกเขาไม่ได้รับความเป็นธรรมก็ให้ผู้นำปรับปรุงแก้ไข และหากพวกเขาได้กล่าวอ้างถึงสิ่งที่คลุมเครือก็ให้นำมาแสดงเปิดเผย ดังนั้นหากพวกเขายอมกลับมาเชื่อฟังปฏิบัติตามและหากพวกเขาไม่ยอมกลับให้กล่าวตักเตือนและขู่ให้พวกเขาหวาดกลัวถึงการปราบปราม หากพวกเขายังยืนกรานให้ลงมือปราบปราม ประชาชนผู้อยู่ภายใต้การปกครองต้องให้การช่วยเหลือผู้นำ จนกระทั่งสามารถกำจัดความชั่วร้ายและสกัดความโกลาหลวุ่นวายให้หมดไป
2. เมื่อผู้นำต้องการจะปราบปรามกลุ่มกบฏให้ละเว้นการใช้อาวุธที่ร้ายแรง เช่น ลูกกระสุนที่มีประสิทธิภาพทำลายล้าง และไม่เป็นที่อนุญาตให้ฆ่าลูกหลานของพวกเขา หรือผู้ที่ยอมหันกลับมาปฏิบัติตาม หรือผู้ที่บาดเจ็บ และผู้ที่ไม่ได้ลุกขึ้นมาต่อสู้ สำหรับผู้ถูกจับเป็นเชลยให้กักขังไว้จนกระทั่งเหตุการณ์สงบ ส่วนทรัพย์สินของพวกเขาก็ไม่นับว่าเป็นทรัพย์เชลยและลูกหลานของพวกเขาไม่ถือว่าเป็นเชลยศึกแต่อย่างใด
3. หลังจากการปราบปรามและความวุ่นวายได้ยุติลง สิ่งที่เสียหายจากทรัพย์สินของพวกเขาขณะที่ปราบปรามก็ถือว่าสูญเปล่า ผู้ที่ถูกฆ่าก็ไม่ได้รับการชดใช้แต่อย่างใด และพวกเขาก็ไม่ต้องรับผิดชอบในทรัพย์สินและชีวิตที่เสียหายขณะที่ทำการปราบปราม
สิ่งที่จำเป็นต้องปฏิบัติขณะที่มีการเผชิญหน้ากันสองฝ่าย
เมื่อสองกลุ่มได้เผชิญหน้าต่อสู้กันเนื่องจากการเข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดหรือช่วงชิงการเป็นผู้นำทั้งสองกลุ่มต่างก็เป็นผู้อธรรม ทั้งสองฝ่ายจะต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ทำให้อีกฝ่ายเสียหาย และจับเป็นที่จะต้องทำให้เกิดการปรองดองกันระหว่างทั้งสองฝ่าย
1. อัลลอฮฺตะอะลาตรัสว่า
“และหากมีสองฝ่ายจากบรรดาผู้ศรัทธาทะเลาะวิวาทกัน ดังนั้นพวกเจ้าก็จงประนีประนอมระหว่างทั้งสองฝ่าย
หากฝ่ายหนึ่งในสองฝ่ายนั้นละเมิดอีกฝ่ายหนึ่ง พวกเจ้าก็จงปรามฝ่ายที่ละเมิด จนกว่าฝ่ายนั้นจะกลับไปสู่บัญชาของอัลลอฮฺ
ฉะนั้นหากฝ่ายนั้น (ฝ่ายกลับสู่บัญชาของอัลลอฮฺ) พวกเจ้าก็จงประนีประนอมระหว่างทั้งสองฝ่ายด้วยความยุติธรรม
และพวกเจ้าจงให้ความเที่ยงธรรมแก่ทั้งสองฝ่ายเถิด แท้จริงอัลลอฮฺทรงรักใคร่แก่บรรดาผู้ให้ความเที่ยงธรรม”
(อัลหุญุรอต / 9)
2. จากอิรฟะญะฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺอันฮุ กล่าวว่า ฉันได้ยินท่านรอสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
عن عرفجة رضي الله عنه قال: سمعت رسول الله ﷺ يقول: «مَنْ أَتَاكُمْ وَأَمْرُكُمْ جَـمِيْـعٌ، عَلَى رَجُلٍ وَاحِدٍ، يُرِيدُ أَنْ يَشُقَّ عَصَاكُمْ، أَوْ يُفَرِّقَ جَـمَاعَتَـكُمْ فَاقْتُلُوْهُ». أخرجه مسلم
“ผู้ใดมาหาพวกท่านในขณะที่กิจการงานพวกท่านเป็นหนึ่งเดียว อยู่ที่บุคคลเพียงคนเดียว
ผู้นั้นต้องการทำลายการเชื่อฟังปฏิบัติตาม หรือทำให้พวกท่านเกิดความแตกแยก ดังนั้นจงฆ่าเขาเสีย”
(บันทึกโดยมุสลิม หมายเลขหะดีษ 1852)
บทบัญญัติว่าด้วยการเป็นกบฏต่อผู้นำของมวลมุสลิม
1. การแต่งตั้งผู้นำนับเป็นความจำเป็นที่สำคัญอย่างยิ่งของศาสนา ห้ามมิให้ฝ่าฝืนและตั้งตัวเป็นกบฏต่อผู้นำถึงแม้ว่าเขาจะเป็นผู้ที่อธรรมก็ตาม ตราบใดที่เขายังมิได้กระทำในสิ่งที่เป็นการปฏิเสธอย่างชัดเจนและก็ได้รับการชี้แจง ไม่ว่าการเป็นผู้นำของเขามาจากมติของมวลมุสลิม หรือจากการแต่งตั้งของผู้นำคนก่อน หรือโดยการพิจารณาของผู้ทรงคุณวุฒิ หรือโดยการใช้กำลังให้ผู้คนยอมจำนนต่อการเป็นผู้นำของเขาก็ตาม และผู้นำจะไม่ถูกถอดถอนเพราะการกระทำความผิดที่เป็นบาปใหญ่ตราบใดที่เขายังมิได้กระทำในสิ่งที่เป็นการปฏิเสธอย่างชัดเจน
2. ผู้ที่ตั้งตนออกจากการเชื่อฟังปฏิบัติตามผู้นำไม่ว่าจะโดยการปล้นชิงทรัพย์ หรือตั้งตนเป็นกบฏ หรือเป็นพวกนอกรีต (เคาะวาริจญฺ) โดยที่พวกเขาปฏิบัติตนที่เป็นบาปใหญ่ถึงขั้นปฏิเสธ และสำหรับพวกเขาแล้วชีวิตและทรัพย์สินเป็นสิ่งที่อนุมัติ พวกเขาเป็นผู้ที่ฝ่าฝืนอนุญาตให้ต่อสู้เป็นการปราบปรามได้
พวกเขาทั้งสามกลุ่มนั้นคือ กบฏที่ออกจากการเชื่อฟังปฏิบัติตามผู้นำ ผู้ใดที่ตายจากพวกเขาดังนั้นข้อบัญญัติก็คือข้อบัญญัติเดียวกับบรรดามุสลิมที่ฝ่าฝืน (อุศอตุลมุวะฮิดีน)
สิ่งที่จำเป็นเหนือผู้นำมวลมุสลิม
1. ผู้นำของมวลมุสลิมจำเป็นต้องเป็นผู้ชายไม่ใช่ผู้หญิง เพราะกลุ่มชนหนึ่งกลุ่มชนใดจะไม่ได้รับความสำเร็จหากพวกเขามอบกิจการงานให้กับผู้หญิงเป็นผู้นำ
และภารกิจที่จำเป็นของผู้นำคือ ปกปักษ์ประเทศอิสลาม รักษาศาสนา ดำเนินตามบทบัญญัติของอัลลอฮฺ ดำรงไว้ซึ่งบทลงโทษ รักษาดินแดน จัดเก็บซะกาต ตัดสินปัญหาด้วยความยุติธรรม ต่อสู้กับเหล่าศัตรู เชิญชวนผู้คนสู่อัลลอฮฺ และเผยแผ่อิสลาม
2. จำเป็นต่อผู้นำจะต้องให้คำตักเตือนชี้แจงต่อผู้ที่อยู่ภายใต้การปกครองและไม่ทำให้พวกเขาพบกับความทุกข์ยาก และอยู่ร่วมกับพวกเขาด้วยกับความอ่อนโยนนุ่มนวลในทุกสภาวการณ์ แท้จริงท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
«مَا مِنْ عَبْدٍ يَسْتَرْعِيهِ الله رَعِيَّةً، يَـمُوتُ يَومَ يَـمُوتُ وَهُوَ غَاشٌّ لِرَعِيَّتِـهِ إلَّا حَرَّمَ الله عَلَيْـهِ الجَنَّةَ». متفق عليه
“ไม่มีบ่าวคนใดที่อัลลอฮฺได้ให้เขาทำหน้าที่ปกครอง เขาได้เสียชีวิตในสภาพที่เป็นผู้คดโกงต่อหน้าที่ที่รับผิดชอบ
นอกจากอัลลอฮฺจะห้ามเขาไม่ให้เข้าสวนสวรรค์”
(บันทึกโดยอัลบุคอรียฺ หมายเลขหะดีษ 7151 และมุสลิม หมายเลขหะดีษ 142 สำนวนหะดีษเป็นของท่าน)
จำเป็นต้องเชื่อฟังปฏิบัติตามผู้นำในสิ่งที่ไม่ฝ่าฝืนต่ออัลลอฮฺ
1. อัลลอฮฺตะอะลาตรัสว่า
“โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย จงเชื่อฟังอัลลอฮฺและเชื่อฟังรอสูลของพระองค์และผู้ปกครองในกลุ่มของพวกเจ้า
แต่ถ้าหากพวกเจ้าขัดแย้งกันในเรื่องใดก็จงนำเรื่องนั้นกลับไปหาอัลลอฮฺและรอสูล หากพวกเจ้าเป็นผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮฺและวันอาคิเราะฮฺ
ดังกล่าวเป็นสิ่งที่ดียิ่งและเป็นการกลับไปที่สวยงามยิ่ง”
(อัลนิสาอ์ : 59)
2. จากอิบนุอุมัร เราะฎิยัลลอฮฺอันฮุมา จากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
«عَلَى المَرْءِ المُسْلِـمِ السَّمْعُ وَالطَّاعَةُ فِيْـمَا أَحَبَّ وَكَرِهَ إلَّا أَنْ يُؤْمَـرَ بِمَعْصِيَةٍ، فَإنْ أُمِرَ بِمَعْصِيَةٍ، فَلا سَمْعَ وَلا طَاعَةَ»
“จำเป็นต่อมุสลิมต้องเชื่อฟังและปฏิบัติตาม (ผู้นำ) ในสิ่งที่เขารักและรังเกียจ นอกจากเขาถูกสั่งใช้ในสิ่งที่ฝ่าฝืน (อัลลออฮฺ)
ดังนั้นหากเขาได้รับคำสั่งใช้ในสิ่งที่ฝ่าฝืนก็ไม่มีการเชื่อฟังและปฏิบัติตาม”
(บันทึกโดยอัลบุคอรียฺ หมายเลขหะดีษ 2955 และมุสลิม หมายเลขหะดีษ 1839 สำนวนหะดีษเป็นของท่าน)
การกลับตัว (เตาบะฮฺ) ของผู้กระทำความผิดที่มีบทลงโทษ
หากการสารภาพผิดของเขาหลังจากถูกจับดำเนินคดี การสารภาพผิดนั้นจะไม่ทำให้บทลงโทษเป็นโมฆะไป และหากการสารภาพผิดก่อนที่ถูกจับดำเนินคดี การสารภาพผิดนั้นจะถูกตอบรับและเขาจะไม่ถูกลงโทษ ทั้งนี้เป็นเพราะความเมตตาจากอัลลอฮฺโดยการยกโทษให้ผู้ที่กระทำความผิดที่กลับตัวกลับตัว
1. อัลลอฮฺตะอะลาตรัสว่า
“แท้จริงการตอบแทนแก่บรรดาผู้ที่ทำสงครามต่ออัลลอฮฺและรอสูลของพระองค์และพยายามสร้างความเสื่อมเสียบนผืนแผ่นดิน นั้นคือ
การที่พวกเขาจะถูกฆ่า ถูกตรึงบนไม้กางเขน หรือมือและเท้าของพวกเขาจะถูกตัดสลับข้าง หรือถูกเนรเทศออกไปจากแผ่นดิน
ดังกล่าวนี้พวกเขาจะได้รับความอัปยศในโลกดุนยานี้และจะได้รับการลงโทษอย่างใหญ่หลวงในโลกอาคิเราะฮฺ
นอกจากบรรดาผู้ที่สารภาพผิดก่อนที่พวกเจ้าจะสามารถลงโทษพวกเขา พึงรู้เถิดว่าแท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงอภัยโทษ ผู้ทรงเอ็นดูเมตตา”
(อัลมาอิดะฮฺ : 33-34)
2. อัลลอฮฺตะอะลาตรัสว่า
“และบรรดาผู้ที่ประกอบความชั่วแล้วหลังจากนั้นสารภาพผิด และศรัทธาแล้วไซร้
แท้จริงพระผู้อภิบาลของเจ้านั้นหลังจากนั้นแล้วแน่นอนย่อมเป็นผู้ทรงอภัยโทษ ทรงเอ็นดูเมตตา”
(อัลอะอฺรอฟ : 153)
มุหัมมัด บิน อิบรอฮีม อัตตุวัยญิรีย์
แปลโดย : ยูซุฟ อบูบักรฺ / Islam House