สตรีกับความบริสุทธิ์ ในคัมภีร์ไบเบิล
โดย ติรมิซีย์ อิบนฺ อรุวะห์
สถานะของสุภาพสตรีที่ถูกระบุในคัมภีร์ของศาสนาคริสต์นั่นคือ คัมภีร์ไบเบิลในพันธะสัญญาฉบับเก่า ได้ระบุถึงการดูถูกเกียรติยศของผู้หญิง ความน่าอับอายของผู้เป็นสุภาพสตรีที่ถูกลดเกียรติโดยคัมภีร์ไบเบิล ดังเช่นในกรณีของเจ้าสาวในการแต่งงาน ซึ่งถูกกล่าวหา และถูกล่วงละเมิดในขณะที่แต่งงาน (Deuteronomy / พระราชบัญญัติ 22: 13-21) บอกไว้ว่า
13 จงลงโทษผู้ชายที่กล่าวร้ายเรื่องภรรยาที่ไร้ความผิด ถ้าชายคนใดได้ภรรยา และได้สมสู่อยู่กับนาง แล้วเกิดเกลียดชังนาง 14 และหาเหตุว่าหญิงนั้นประพฤติ สิ่งน่าอาย กระทำให้ชื่อเสียงของนางเสียหาย โดยกล่าวว่า `ข้ารับหญิงคนนี้มาเป็นภรรยา ครั้นข้าเข้าสมสู่กับนางก็เห็นว่านางมิได้เป็นพรหมจารี' 15 บิดาของหญิงสาวคนนั้นและมารดาจะต้องนำของสำคัญอันเป็นพยานว่า หญิงนั้นเป็นพรหมจารีมาให้พวกผู้ใหญ่ของเมืองนั้นที่ประตูเมือง 16และบิดาของหญิงสาวนั้นจะบอกกับพวกผู้ใหญ่ว่า `ข้าได้ยกลูกสาวของข้าให้เป็นภรรยาชายคนนี้ และเขากลับเกลียดชัง 17 ดูเถิด ชายผู้นี้หาเหตุกล่าวติเตียนว่า "ข้าพเจ้าไม่เห็นว่าบุตรสาวของท่านเป็นพรหมจารีเลย" นี่แหละเป็นของสำคัญว่าลูกสาวของข้าเป็นหญิงพรหมจารี' แล้วเขาจะคลี่ผ้านั้นออกต่อหน้าพวกผู้ใหญ่ของเมืองนั้นให้เป็นพยาน 18 ให้พวกผู้ใหญ่ของเมืองนั้นจับชายคนนั้นมาเฆี่ยน 19 และปรับเขาเป็นเงินหนึ่งร้อยเชเขล และมอบเงินนั้นให้แก่บิดาของหญิงสาว เพราะเขาทำให้หญิงพรหมจารีอิสราเอลคนหนึ่งเสียชื่อ
หญิงนั้นจะเป็นภรรยาของเขาต่อไป เขาจะหย่าร้างไม่ได้เลยตลอดชีวิต 20 จงเอาหินขว้างคนผิดประเวณีให้ ตายเสีย แต่ถ้าเรื่องนั้นเป็นความจริง และหาของสำคัญอันเป็นพยานว่า หญิงนั้นเป็นพรหมจารีสำหรับหญิงสาวนั้นไม่ได้ 21 เขาจะพาหญิงสาวนั้นออกมานอก ประตูเรือนบิดาของเธอ แล้วพวกผู้ชายในเมืองจะเอาหินขว้างเธอให้ตาย เพราะเธอได้กระทำความโง่เขลาในอิสราเอล คือเป็นหญิงโสเภณีในเรือนของบิดา ดังนี้แหละท่านจะกำจัดความชั่วออกจากท่ามกลางท่าน
มีสองประเด็นสำคัญด้วยกันจากโองการของคัมภีร์ไบเบิล ที่ได้อ้างอิงซึ่งเราจะนำมาวิเคราะห์ ดังนี้
ประการแรกถ้าหากหญิงที่เป็นเจ้าสาวถูกตำหนิจากการไม่พอใจของชายที่เป็นเจ้าบ่าวแล้ว บิดาของทางเธอจะต้องรับผิดชอบในการพิสูจน์ให้ประชาชนแห็นโดยการเปลื้องผ้าต่อหน้าผู้ใหญ่ของเมือง ส่วนในเรื่องของผ้าที่ระบุถึงที่ใช้รองในระหว่างการร่วมหลับนอนกันในคืนของการแต่งงาน หากว่าผ้าที่ใช้รองนั้นมีคราบเลือด จะสามารถบ่งชี้ได้ว่าเลือดนั้นเกิดจากการฉีกขาดของเยื่อพรหมจารีของสตรีในช่วงที่มีเพศสัมพันธ์ในคืนแรกของการแต่งงาน ถึงตอนนั้นฝ่ายสตรีจึงจะถูกพบว่าบริสุทธิ์และหลุดพ้นจากการกล่าวหาของสามีของเธอ
แต่ที่น่าสงสารคือความอับอายขายหน้าของฝ่ายเจ้าสาวที่ต้องถูกเปลื้องผ้ากลางที่สาธารณะโดยบิดาเพื่อเป็นการพิสูจน์ข้อกล่าวหาที่ฝ่ายเจ้าบ่าวได้ทำการต่อว่าถึงความบริสุทธิ์ของนาง ซึ่งมันไม่สามารถหาสิ่งใดมาชดเชยได้ ยิ่งกว่านั้นเธอยังจะต้องทนอยู่เป็นภรรยาของผู้ชายที่กล่าวหาเธออย่างเสียๆหายโดยไม่มีสิทธิที่จะทำการหย่าได้ มิหนำซ้ำค่าชดเชยจากที่ฝ่ายเจ้าบ่าวจะต้องจ่ายให้กับทางเจ้าสาวนั้น ไม่ใช่เป็นค่าเสียหายที่เจ้าสาวจะได้รับ แต่!บิดาของเธอต่างหากที่ได้รับเงินส่วนนั้นไป อะไรบ้างที่ฝ่ายผู้เสียหายซึ่งเป็นสตรีได้รับ นอกเสียจากความเจ็บปวด และการสูญเสียเกียรติของผู้เป็นสตรีเอง
ประการที่สองเกี่ยวกับผ้าขาวที่ใช้สำหรับคืนแต่งงาน ถ้าไม่สามารถที่จะหาความบริสุทธิ์จากตัวเจ้าสาวได้ บรรดาผู้ชายทั้งหมดจากเมืองๆนั้นจะต้องทำการขว้างเธอจนกว่าเธอจะตาย จะสังเกตุได้ว่าเจ้าสาวจะถูกลงโทษนอกจากเธอจะสามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเธอด้วยวิธีใช้ผ้าขาวรอง ซึ่งเป็นเพียงวิธีเดียวและเป็นวิธีที่ไม่ยุติธรรมสำหรับฝ่ายเจ้าสาว เพราะถ้าเธอผ่านการทำงานหนักๆมาตั้งแต่เด็ก การออกแรงในการทำงานในรูปแบบต่างๆมีโอกาสที่จะทำให้เยื่อพรหมจารีย์ฉีกขาดด้วยได้เช่นกัน ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับการผ่านการมีเพศสัมพันธ์มาก่อน ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น แต่ตามกฎหมาย คัมภีร์ว่าอย่างไรก็จำเป็นที่จะทำตามนั้น เธอจะต้องทำตามกฎโดยไม่มีข้อแม้ นั่นคือการถูกขว้างจนตาย
สิทธิและสถานะของสตรีในคัมภีร์ไบเบิลนั้นไม่ค่อยที่จะให้ความสำคัญกับผู้เป็นสตรีสักเท่าไร มีการใช้ระบบสองมาตรฐานอย่างเห็นได้ชัดตั้งแต่แรกเกิด สิทธิของเด็กผู้หญิงแรกเกิดจะถูกมองว่ามีมลฑิลและสกปรกมากกว่าผู้ชายถึงสองเท่า สิทธิที่จะได้คู่ครองและการที่จะได้อยู่กับคู่ครองนั้นน่าหดหู่ยิ่งนัก นอกจากเธอจะไม่สามารถเลือกคู่ครองเองแล้ว หากแต่งงานและเกิดไม่มีความสุขขึ้นมาเธอก็ยังไม่สามารถที่จะทำการหย่าร้างได้อีกด้วย เธอจะต้องทนอยู่กับสามีที่ทำให้เธอต้องอับอายขายหน้าไปตลอดชีวิต เงินค่าเสียหายที่ทางฝ่ายผู้ชายได้จ่ายให้หลังจากที่พบความบริสุทธิ์จากข้อกล่าวหานั้นฝ่ายสตรีก็ไม่สามารถที่ครอบครองมันได้เพราะเป็นสิทธิ์ของผู้เป็นบิดาเท่านั้น ตกลงสถานะของผู้หญิงจริงๆแล้วคืออะไรกันแน่ คน หรือว่าทรัพย์สินสาธารณะ สิ่งเหล่านี้จะไม่เป็นเรื่องหน้าแปลกนักหากมันปรากฎบนหน้าหนังสือนิตยาสารหรือนิยายทั่วไป แต่มันแปลกที่สิ่งเหล่านี้ไปปรากฎลงบนคัมภีร์ที่ถูกศรัทธาโดยชาวคริสต์ว่าเป็น คำพูดของพระเจ้านั่นคือคัมภีร์ไบเบิล คำถามจึงมีอยู่ว่าใครเป็นคนแต่งสิ่งเหล่านี้ขึ้นมากันแน่? แน่ใจแล้วหรือว่าสิ่งเหล่านี้มาจากพระผู้เป็นเจ้า ผู้ที่ทรงรักมวลมนุษย์ศาสนาอิสลามให้เกียรติกับทุกเพศอย่างเหมาะสม สิทธิและสถานะสตรีในอิสลามถูกจำกัดในกรอบที่เหมาะสม ศาสนาอิสลามมิได้กำหนด ฮิญาบสำหรับบรรดาผู้หญิงเท่านั้น แต่ฮิญาบสำหรับผู้ชายก็มีเช่นกัน เมื่อเดินผ่านผู้หญิง อิสลามมีคำสั่งให้ผู้ชายลดสายตาลงต่ำเพื่อการให้เกียรติเธอ ชายอื่นนอกจากสามีหรือเครือญาติที่เป็นที่อนุมัติในอิสลามแล้ว จะไม่มีสิทธิที่จะจ้องมองเธอด้วยสายตาอันปราศจากการให้เกียรติ เพราะความสวยงามของผู้หญิงมิใช่สิ่งที่เอาไว้โอ้อวด ผู้ชายมุสลิมจะไม่ตัดสินผู้หญิงจากการมองเพียงความสวยความงามภายนอกเท่านั้น ความสวยความของผู้หญิงในอิสลามมีค่าเกินกว่าที่จะให้ผู้ชายที่ไหนก็ได้มามอง
ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่เราจะกลับมามองอิสลามด้วยหลักการ คำสอน หากเราจะเลือกรถยนต์จงอย่าเลือกที่ผู้ขับ แต่จงมองที่คุณภาพรถยนต์ และกฎระเบียบการใช้รถเพื่อให้มีสมรถนะที่ดีเยี่ยม การมองศาสนาก็เช่นเดียวกันแทนที่เราจะตัดสินศาสนาด้วยการมองที่ผู้นับถือศาสนาเพียงอย่างเดียวคงไม่เป็นการเพียงพอ เพราะทุกศาสนาต่างก็มีทั้งคนดีและคนชั่ว เราต้องกลับมามองที่หลักการและคำสอนด้วยเช่น สภาพความเป็นจริง ศาสนาจะต้องเข้ามามีมีบทบาทตั้งแต่ชีวิตส่วนตัว ครอบครัว สังคม ไปจนถึงระดับประชาชาติ ในโลกทุกปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมมีทางออก ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการติดของมึนเมา ปัญหาการถูกข่มขืน ปริมาณการเพิ่มจำนวนของผู้หญิงที่มากกว่าผู้ชาย รวมทั้งปัญหาการกินดอกเบี้ยที่สร้างความปวดร้าวให้กับผู้ที่ต้องการกู้เงินเป็นอย่างมาก ในคัมภีร์ไบเบิลบอกกับเราว่า
12 เรายังมีอีกหลายสิ่งที่จะบอกท่านทั้งหลาย แต่เดี๋ยวนี้ท่านยังรับไว้ไม่ได้ 13 เมื่อพระองค์ พระวิญญาณแห่งความจริงจะเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำท่านทั้งหลายไปสู่ความจริงทั้งมวล john 16:12-13
แน่นอนยิ่งถ้าวิเคราะห์จากบทนี้ จะเห็นได้ว่าหลังจากที่ พระเยซู หรือ อีซา อะลัยฮิสสลาม ได้ทำการบอกลาโดยได้สั่งเสียว่าจะมีวิญาณแห่งความจริงมา และเขาจะนำความจริงมาสู่มวลมนุษย์ทั้งมวล หากเราถามชาวคริสต์ว่าใครคือวิญาณแห่งความจริงที่เอ่ยมานั้น เขาก็จะตอบว่าเป็นพระจิต อยากทราบว่าพระจิตได้นำอะไรมาให้มวลมนุษยชาติบ้าง ? ความจริงเหล่านี้ต้องเป็นทางออกของปัญหาที่เกิดขึ้นกับมวลมนุษย์ พระเยซูบอกไว้ว่า เรายังมีอีกหลายสิ่ง หลายสิ่งย่อมมากว่าสิ่งเดียว เราไม่ต้องการมากขอแค่ทางออกในการแก้ปัญหาจำนวนของผู้หญิงที่มากขึ้น ผู้หญิงหลายล้านในแถบตะวันตกจะต้องตายโดยไร้คู่ครอง ไหนล่ะคือทางออกที่ชาวคริสต์เชื่อว่าเป็น พระจิต
มุสลิมเชื่อว่าบุคคลผู้นั้นคือท่านนะบีมูฮัมหมัด ซึ่งนำทางออกของทุกปัญหา นั่นคือ คัมภีร์ อัลกุรอาน อิสลามได้พิสูจน์ให้ชาวโลกได้เห็นแล้วว่าหากโลกอยู่ภายใต้ศาสนาอิสลามจะมีแต่ความสงบสุข หลักฐานทางประวัติศาสตร์คงเป็นสัญลักษณ์ที่ยืนยันได้อย่างดีกว่า 1400 ปี หลังจากที่ศาสนทูตของพระเจ้า ชื่อว่า มูฮัมมัด ได้ทำให้อิสลามปรากฏบนโลกใบนี้ โลกอยู่ภายใต้แสงสว่างมาตลอด ผู้หญิงสามารถเดินคนเดียวในทางเปรี่ยวที่มืดมิด โดยปราศจากการระแวง สถาบันการเงินไม่มีสักครั้งที่จะมีระบบการใช้ดอกเบี้ย ประชาชนสามารถดำรงอยู่ได้โดยที่ไม่เกิดช่องว่างระหว่างฐานะ โลกภายใต้อิสลาม 1400 กว่าปีของมึนเมาเป็นสิ่งต้องห้าม และอีกหลายประการที่บ่งชี้ได้ว่าหลักการคำสอนของอิสลามสามารถแก้ทุกปัญหาในโลกนี้ได้อย่างเด็ดขาด เพราะผู้ที่ให้ศาสนานี้กับชาวโลกคือผู้ที่สร้างโลก สร้างบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดิน รวมทั้งสิ่งที่อยู่ระหว่างมันทั้งสอง ผู้สร้างย่อมรู้ดีว่ามนุษย์ต้องการอะไร ปัญหาของมนุษย์จะแก้ไขอย่างไร และผู้สร้างนั้นก็มีเพียงผู้เดียวนั่นก็คือ อัลลอฮ์
อัลลอฮ์ คือ ชื่อที่แม้แต่ชาวคริสต์เองในภาษาฮิบรู เรียกว่า Ella หรือ Elohim ศาสนาคริสต์และอิสลามมีพระเจ้าองค์เดียวกัน อิสลามสอนให้ยอมรับและศรัทธาในบรรดาศาสนทูตทั้งหมดที่ศาสนาคริสต์มี ถึงแม้ว่าศาสนาคริสต์จะไม่ยอมรับในการมาของท่านนะบีมูฮัมมัด ที่ปรากฏในไบเบิลก็ตาม เราเชื่อและรักท่านนะบี เดวิด, จอร์น บาบติส, โมเสส , เยซู อิสลามเป็นศาสนาเดียวบนโลกนี้ที่ถูกกำหนดให้ศรัทธาในบรรดาศาสนทูตคนก่อนๆ มีอยู่หลายสิ่งที่ศาสนาคริสต์และศาสนาอิสลามมีความเหมือนและคล้ายคลึงกัน
หากชาวคริสต์เชื่อว่า คัมภีร์โตราห์ของโมเสสเป็นพันธะสัญญาเก่า คัมภีร์ไบเบิลเป็นพันธะสัญญาฉบับใหม่แล้ว ก็จงรู้เถิดว่าคัมภีร์อัลกุรอานที่ถูกประทานลงมายังท่านนะบีมูฮัมมัดเป็นพระพันธะสัญญาฉบับสุดท้าย ที่ลงมาเติมเต็มคัมภีร์ก่อนหน้านี้และเป็นทางออกในทุกๆปัญหาของมนุษยชาติทั้งในโลกนี้และในโลกหน้า