สถานะของสตรีในคัมภีร์ไบเบิล
  จำนวนคนเข้าชม  12932

 

 

สถานะของสตรีในคัมภีร์ไบเบิล 

(พระพันธะสัญญาเดิม) Old Testament


โดย ติรมิซีย์ อิบนฺ อรุวะห์

 

           การสรรเสริญทั้งมวลเป็นสิทธิของอัลลอฮฺ ผู้ที่เราทำการสักการะ ผู้ที่เราขอความช่วยเหลือให้พ้นจากสิ่งชั่วร้ายจากตัวของเราเอง ผู้ใดที่พระองค์ประสงค์จะไม่มีวันหลงทาง และหากปราศจากทางนำของพระองค์แล้วก็จะไม่มีทางได้พบกับทางนำ ขอสรรเสริญต่อพระองค์ในสิ่งที่ประเสริฐที่สุดในชีวิตที่พระองค์ทรงประทานให้กับเราคือ อัล-อิสลาม ศาสนาที่ไม่มีข้อสงสัย ศาสนาที่ครบถ้วนสมบูรณ์แบบ ไม่ใช่เพียงเท่านั้น อิสลามยังครอบคลุมถึงวิถีชีวิตทุกย่างก้าว ซึ่งไม่มีศาสนาใดในโลกนี้ที่จะครบถ้วนสมบูรณ์ไปกว่าอิสลาม

          สิทธิเสรีภาพผู้หญิงในอิสลามถือว่าเป็นที่กระจ่างถึงความสวยงามของกรอบและขอบเขตที่ถูกจัดวางไว้โดยพระผู้เป็นเจ้า แต่น้อยคนนักที่จะมองเห็นถึงความสวยงามของสิ่งนี้ ความเป็นอิสระในการดำรงชีวิตตามวิถีอิสลามได้ถูกปกป้องจากการถูกจ้องมองด้วยสายตาของผู้ที่ไม่มีสิทธิ์ ยิ่งกว่านั้นสิทธิ์ของสตรีในรูปแบบอิสลามยังเป็นประเด็นที่ถือว่าคนทั้งโลกให้ความสนใจ เป็นที่น่าประหลาดใจคือ มันไม่ใช่ความสนใจที่จะนำมาประยุกต์ใช้แต่มันกลับเป็นสิ่งที่สังคมตะวันตกมองบรรดาสตรีมุสลิมว่าน่าสงสาร ถูกกดขี่เสรีภาพ เป็นเพศที่ถูกจัดเป็นชนชั้นสอง

          ด้วยเหตุผลต่างๆที่พวกเขาได้อ้างถึง หนึ่งในสาเหตุเหล่านั้นคือ ประเด็นของ ฮิญาบ คือผ้าคลุมศีรษะของผู้หญิงมุสลิม ซึ่งศาสนาอิสลามระบุให้ผู้หญิงสวมผ้าคลุมผมจนปิดถึงหน้าอก เพื่อเป็นการปกปิดสิ่งยั่วยวนในร่างกายให้มิดชิดนั่นเอง  ฮิญาบ (ที่ให้ความหมายของการปกปิด) ถูกกล่าวไว้ในกุรอานมากกว่า 10 ครั้ง ซูเราะฮ์อะอ์รอฟ โองการที่ 26:


          “ ลูกหลานอาดัมเอ๋ย! แท้จริงเราได้ให้ลงมาแก่พวกเจ้าแล้ว ซึ่งเครื่องนุ่งห่มทีปกปิดสิ่งที่อันน่าละอายของพวกเจ้าและเครื่องนุ่ง ห่มที่ให้ความสวยงาม และเครื่องนุ่งห่มแห่งความยำเกรง นั่นคือสิ่งที่ดียิ่ง นั่นแหละคือ ส่วนหนึ่งจากบรรดาโองการของอัลลอฮ์ เพื่อที่ว่าเขาเหล่านั้นจะได้รำลึก”

 

ซูเราะฮ์มัรยัม โองการที่ 17:

          “แล้วนางได้ใช้ม่าน กั้นให้ห่างพ้นจากพวกเขาแล้วเราได้ส่งวิญญาณของเรา (ญิบรีล) ไปยังนางแล้วเขาได้จำแลงตนแก่นาง ให้เป็นชายอย่างสมบูรณ์”

 

ซูเราะฮ์นูร โองการที่ 30:

          “จงกล่าวเถิดมุฮัมมัดแก่บรรดามุอ์มิน ให้พวกเขาลดสายตาของพวกเขาลงต่ำ และให้พวกเขารักษาทวารของพวกเขา นั่นเป็นการบริสุทธิ์ยิ่งแก่พวกเขา แท้จริงอัลลอฮ์ทรงรอบรู้สิ่งที่พวกเขากระทำ”,

 

ซูเราะฮ์ฟุศศิลัต โองการที่ 5 และซูเราะฮ์อะซาบ โองการที่ 59 :

          “ โอ้นะบีเอ๋ย ! จงกล่าวแก่บรรดาภริยาของเจ้า และบุตรสาวของเจ้า และบรรดาหญิงของบรรดาผู้ศรัทธา ให้พวกนางดึงเสื้อคลุมของพวกนางลงมาปิดตัวของพวกนาง  นั่น เป็นการเหมาะสมกว่าที่นางจะเป็นที่รู้จัก เพื่อที่พวกนางจะไม่ถูกรบกวน  และอัลลอฮฺทรงเป็นผู้อภัยผู้ทรงเมตตาเสมอ”


         สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นข้อบัญญัติในศาสนาที่สวยงามสำหรับบรรดาสตรี เพื่อปกป้องจากการถูกจ้องมองด้วยสายตาที่มิได้หวังดีจากบรรดาผู้ชาย เมื่อสังคมตะวันตกได้สร้างกระแสโจมตีมากขึ้นเท่าไร ก็เปรียบเสมือนว่าพวกเขากำลังต่อต้านคำสอนที่ปรากฎอยู่ใน คัมภีร์ไบเบิลของพวกเขามากเท่านั้น ไบเบิลได้กล่าวถึงการคลุมฮิญาบอย่างชัดเจน ถือเป็นกฎชารีอะฮ์เลยก็ว่าได้ ดังที่ได้ปรากฎใน  New Testament (พันธะสัญญาฉบับใหม่),1 CORINTHIANS (พระธรรม 1 โครินธ์  ฉบับที่ 11 วรรคที่ 5-10


          “แต่หญิงทุกคนที่กำลังอธิษฐานหรือพยากรณ์ ถ้าไม่คลุมศีรษะ ก็ทำความอัปยศแก่ศีรษะ เพราะเหมือนกับว่านางได้โกนผมเสียแล้ว,เพราะถ้าผู้หญิงไม่ได้คลุมศีรษะ ก็ควรจะตัดผมเสีย แต่ถ้าการที่ผู้หญิงจะตัดผมหรือโกนผมนั้นเป็นสิ่งที่น่าอับอาย จงคลุมศีรษะเสีย,

         เพราะการที่ผู้ชายไม่สมควรจะคลุมศีรษะนั้น ก็เพราะว่าผู้ชายเป็นพระฉายาและสง่าราศีของพระเจ้า ส่วนผู้หญิงนั้นเป็นสง่าราศีของผู้ชาย,เพราะว่าพระองค์ไม่ได้ทรงสร้างผู้ชายจากผู้หญิง แต่ได้ทรงสร้างผู้หญิงจากผู้ชาย, และไม่ได้ทรงสร้างผู้ชายไว้สำหรับผู้หญิง แต่ทรงสร้างผู้หญิงไว้สำหรับผู้ชาย, ด้วยเหตุนี้เอง ผู้หญิงจึงควรจะเอาสัญญลักษณ์แห่งอำนาจนี้คลุมศีรษะ เพราะเห็นแก่พวกทูตสวรรค์”


         เป็นที่ชัดเจนว่าศาสนาคริสต์ไม่ใช่แค่ส่งเสริมแต่ยังบังคับใช้ในเรื่องของการคลุมศรีษะ อันเนื่องมาจากเพื่อเป็นการสำรวมสำหรับบรรดาสตรี  แต่ผลที่ปรากฎกลับเป็นเพียงแค่คำสอนแต่ไม่มีการนำมาปฏิบัติ ต่างจากศาสนาอิสลามที่นำมาปฏิบัติใช้อย่างชัดเจน

 

          นอกจากเรื่องฮิญาบแล้วเราจะเห็นได้ว่าอิสลามเป็นศาสนาที่ถูกโจมตีและเข้าใจผิดถึงเรื่องของการลงโทษ ในบทลงโทษของการละเมิดประเวณีโดยขว้างด้วยหินจนกว่าจะเสียชีวิต กล่าวกันว่าในคัมภีร์ไบเบิลได้ลดเกียรติและศักดิ์ศรีของความเป็นผู้หญิง เริ่มตั้งแต่เด็กแรกเกิดที่เป็นผู้หญิง จากคำสอนของศาสนาคริสต์ในยุคแรก สตรีจะมีช่วงที่ไม่สะอาด เช่นในช่วงระหว่างการมาประจำเดือนและหลังจากการคลอดบุตร เป็นที่น่าสนใจยิ่งหากเราจะเปรียบเทียบถึงคำสอนของอิสลามและคริสต์ที่พูดถึงเรื่องของความไม่สะอาดของสตรีเหล่านี้ อิสลามไม่ได้แยกความแตกต่างในเรื่องของเพศทารกที่สตรีคลอดออกมา ในทางกลับกันศาสนาคริสต์ได้ทำให้สิ่งเหล่านี้แตกต่างกัน สตรีที่คลอดบุตรหญิงจะต้องรอคอยภายหลังจากการคลอดเป็นระยะเวลาสองเท่าของการคลอดบุตรชาย

ใน Old Testament (พระพันธะสัญญาเดิม) Leviticus เลวีนิติ ฉบับที่ 12:2-7  ได้บอกว่า


         "  2 จงกล่าวแก่คนอิสราเอลว่า ถ้าหญิงคนใดมีครรภ์คลอดบุตรเป็นชาย นางต้องเป็นมลทินเจ็ดวัน นางจะเป็นมลทินอย่างเดียวกับมลทินเวลาที่นางมีประจำเดือน ,

          3 ในวันที่แปดให้ตัดหนังปลายองคชาตของเด็กนั้นเสียเพื่อเป็นการเข้าสุหนัต,

          4 ให้นางคอยอยู่อีกสามสิบสามวันด้วย เรื่องโลหิตชำระของนาง อย่าให้นางแตะต้องของบริสุทธิ์อันใด หรือเข้าไปในสถานบริสุทธิ์ จนกว่าจะครบวันชำระของนาง

          5 แต่ถ้านางคลอดบุตรเป็นหญิง นางจะมลทินไปสองสัปดาห์ อย่างเดียวกับเรื่องการมีประจำเดือน และนางจะต้องคอยอยู่หกสิบหกวัน ด้วยเรื่องโลหิตชำระของนาง ,

         6 และเมื่อวันชำระของนางครบแล้ว ไม่ว่าเป็นกำหนดของบุตรชายหรือบุตรสาว ให้นางไปหาปุโรหิตที่ประตูพลับพลาแห่งชุมนุม นำลูกแกะอายุหนึ่งขวบตัวหนึ่งไปเป็นเครื่องเผาบูชาและนกพิราบหนุ่มตัวหนึ่ง หรือนกเขาตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป,

          7 ให้ปุโรหิตนำถวายต่อพระพักตร์พระ เยโฮวาห์ และทำการลบมลทินให้นาง แล้วนางจะสะอาดในเรื่องโลหิตของนางตก นี่เป็นพระราชบัญญัติกล่าวด้วยเรื่องการคลอดบุตร ไม่ว่าเป็นชายหรือหญิง " 


          จากคัมภีร์ไบเบิลในบทนี้เราจะสังเกตเห็นว่า จากคำสอนต้นตำรับของคริสเตียน(Judeo-Christian) อะไรที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดความจำเป็นถึงขนาดต้องให้ระยะเวลาในการคลอดบุตรหญิงนั้นไม่บริสุทธิ์นานกว่าบุตรชายถึงสองเท่าตัว ! จะเป็นการกล่าวเกินจริงหรือไม่ที่ศาสนาคริสต์ได้กำหนดชนชั้นสองให้กับสตรี ? หรือว่านี่ถือเป็นการลงโทษสตรีที่คลอดบุตรเป็นหญิง แทนที่จะเป็นชาย ข้อความเหล่านี้แม้แต่สุภาพสตรีชาวคริสต์หลายคนก็ยังไม่มีเคยรับรู้ข้อมูลเรื่องนี้ โดยหลงเข้าใจผิดมาตลอดว่าศาสนาคริสต์ให้ความเสมอภาคกับผู้หญิงที่สุด เพราะการที่มัวแต่มาวิจารณ์เรื่องการคลุมฮิญาบ แต่ฮิญาบกลับเป็นสิ่งที่ถูกระบุอยู่ในคัมภีร์ไบเบิลของชาวคริสต์เช่นกัน